"ประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว สิ่งประหลาด กลุ่มหนึ่งซึ่งมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ได้นำยานอวกาศของเขาลงจอดที่นี่..." " พวกเขาถูกชาวพื้นเมืองตามล่าจนต้องหนี เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในถํ้า ต่อมาภายหลังชาวพื้นเมืองกลับนำเครื่อง บรรณาการมา ให้เป็นสัญญาณสันติภาพ" "เมื่อสิ่งประหลาดกลุ่มนั้นก้าวออกมา จากถํ้าก็ถูกฆ่าตายทันที เพราะว่าพวกเขา น่าเกลียดน่ากลัวเกินไปนั่นเอง..."
ทั้งหมดนี้และอีก มากเป็นข้อความในเอกสาร ซึ่งนักโบราณคดีชาวจีนรวบรวมเขียนขึ้น จากตำนานโบราณ และตีพิมพ์เป็นภาษาเยอรมัน เป็นครั้งแรกในปี 1962 ว่า กันว่าเป็นเอกสารกล่าวถึงการมาเยือนพิภพ ของมนุษย์ต่างดาวครั้งแรกเริ่มที่สุด และเป็น เอกสารแรกเหมือนกันที่เปิดเผยให้โลกรู้ว่า จานบินและมนุษย์ต่างดาว ก็เคยมาเยือนหลังม่านไม้ไผ่ ด้วยเหมือนกัน ผู้รวบรวมเขียนเอกสารนี้ ขึ้นเป็นศาสตราจารย์ประจำอยู่ที่สถาบันวิจัยก่อนประวัติศาสตร์ ของปักกิ่ง ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือจีนแดงอย่างที่เราๆ เรียกติดปากกัน ศาสตราจารย์ นี้คือ ซัม อัม นุย หรือเขียนเป็น ภาษาฝรั่งว่า Tsum Um Nui ศาสตราจารย์ นุย มีงานประจำอย่างหนึ่งคือ รวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์และ ตำนานเก่าแก่ของจีนเป็นหมวดหมู่ แต่งานสำคัญที่สุดของท่านผู้นี้ก็คือแปล และรวบรวมเรื่องราวที่ได้มาจากแผ่นศิลาจารึกโบราณ ซึ่งได้มาจากการขุดสำรวจถํ้าลี้ลับ แห่งหนึ่งในป่าลึกทางตะวันตกของจีน ก็การสำรวจอันนี้แหละที่นับว่าเป็นการเปิดเผยความลับที่ซุกซ่อนอยู่ตรงนั้นนานนมเต็มทีแล้ว ออกสู่หูตานักปราชญ์จีนเป็นครั้งแรก
ท่านผู้อ่านคง ทราบแล้วว่า หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา คนข้างนอกล่วงรู้ความเป็นไปภายในประเทศจีนน้อยเต็มที แม้เมื่อจีนเปิดประตูออกรับ นักท่องเที่ยวเมื่อไม่กี่ปีมานี่แล้ว แต่ความลับต่างๆ ของจีนก็ยังถูกปกปิดอยู่นั่นเอง หลังจากเอกสารของศาสตราจารย์นุยตีพิมพ์ในเยอรมันแล้วก็ไม่มีเอกสารอื่นใด กล่าวถึงการค้นพบ อันสำคัญและน่าสนใจอย่างยิ่งที่ถํ้าลึก ในโขดเขา เปเยง อรา อูลา (Bayan-Kara-Ula Mountain) ของจีนเพิ่มเติมอีกเลย
ภาพ นี้ถ่ายโดย Dr. Karyl Robin-Evans ในปี 1947 ระหว่างที่เขาสำรวจชนเผ่าดรอปา เป็นภาพหัวหน้าเผ่าและภรรยา ซึ่งทั้งสองมีส่วนสุงแค่ 4 ฟุต และ 3 ฟุต เท่านั้นเอง ซึ่งผิดจากคนอื่นๆ ในชนเผ่าดรอปาที่สูงเกิน 5 ฟุตทั้งนั้น คาดว่าหัวหน้าชนเผ่านี้แหละคือผู้ที่สืบเชื้อสายมนุษย์ต่างดาว ?
ผู้ค้นพบถํ้าแห่งความลับนี้ เป็นนักโบราณคดีชื่อ ชิ ปู ไต๋ (Chi Pu Tai) เขาเริ่มการสำรวจทาง โบราณคดีในเทือกเขาเปเยง อรา อูลา ในระหว่างปี ค.ศ. 1937-38 อันว่าภูเขานี้อยู่ประชิดติด กับแดนทิเบตเลยเชียวครับ ระหว่างที่ทำการขุดสำรวจอยู่นั่นเอง โปรเฟสเซอร์ไต๋ก็พบถํ้าใหญ่เข้าถํ้าหนึ่ง "พวกเราคิดว่าในถํ้านั้นคงมีความลับเกี่ยวกับชนเผ่าดรอปา (Dropas) ซุกซ่อนอยู่บ้าง" ศาสตราจารย์ไต๋อธิบาย "จึงพากันดีใจมาก เพราะชนเผ่าดรอปานี้เป็นเผ่าเก่าแก่ก่อน ประวัติศาสตร์ ซึ่งเคยอาศัยอยู่ ในบริเวณเทือกเขานี้เท่านั้น" แต่สิ่งที่ท่านโปรเฟสเซอร์พบน่ายินดีปรีดาเกินความคาดหมายเสียอีก แทน ที่จะเป็นเศษเครื่องมือเครื่องใช้เก่าแก่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ สิ่งที่ประจักษ์แก่ตา คณะนักโบราณคดีกลับลํ้าสมัยและน่าตื่นตามาก
สิ่งแรกที่กระทบสายตาก็คือ จิตรกรรมฝาผนัง ที่เป็นรูปท้องฟ้า มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวต่างๆ ครบครัน มองไปแล้วเหมือนแผนที่ดาราบนฟากฟ้าโดยฝีมือคนสมัยใหม่ยังไงก็ยังงั้น เพราะมันไม่ใช่รูปเขียนหยาบๆ ด้วยฝีมือมนุษย์ถํ้ายุคก่อนประวัติศาสตร์เลย นอกจากฝีมืออันดีเด่นทันสมัยแล้ว การวาดรูปดาวเดือนต่างๆ ยังบอกให้รู้ว่า ผู้วาดมีความรู้ทางดาราศาสตร์พอตัวทีเดียว คนมีความรู้ที่ไหนกันจะ มาเขียน รูปเหล่านั้นไว้ บนผนังและ เพดานถํ้าในป่าลึกเปล่าเปลี่ยว ปราศจากผู้เข้าไปเยี่ยมเยือนนาน นับร้อยนับพันปีมาแล้ว?
เมื่อ หมุนจานหินนี้ด้วยเครื่องจักรในลักษณะเดียวกับแผ่นเสียง จานหินจะส่งเสียงครวญครางเหมือนฮัมเพลงออกมาเบาๆ เป็นท่วงทำนองที่แปลกประหลาดเอาการสำหรับหูของมนุษย์อย่างเรา และเมื่อลองส่งกระแสไฟฟ้าผ่านจานหินเหล่านี้ ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทำนองเดียวกับเราปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านวงจรอิเล็ค ทรอนิคส์อีกด้วย
ด้วยความตื่นเต้น ระคนพิศวงงงงัน คณะนักโบราณคดีขุดพื้นถํ้ากันเป็นการใหญ่ ด้วยความระมัดระวังอย่างเต็มที่ คราวนี้สิ่งที่พบน่าสนใจยิ่งกว่าจิตรกรรมฝาผนังเสียอีก เพราะขุดพบแผ่น ศิลากลมๆ รูปร่างเหมือน จานเสียง จำนวนมากฝังอยู่ที่นั่น อะไรก็ไม่น่าประหลาดเท่าบนแผ่นหินนั้น มีลวดลายเป็นวงตั้งแต่ขอบเข้า ไปถึงจุดศูนย์กลางเหมือนแผ่นเสียงสมัยใหม่ แล้วก็มีอักขระหรือสัญลักษณ์บางอย่างที่ไม่มีใครอ่านออก หรือเคยพบเห็นจารึกอยู่จนเต็ม จำนวนที่ขุดพบนั้นมีมากถึง 716 แผ่น การ ขุดค้นยังนำไปสู่สิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เพราะตรงที่ที่พบแผ่นศิลาจารึกนั่นแหละ ศาสตราจารย์ไต๋และ คณะพบหลุมศพจำนวนมาก แน่ละในหลุมย่อมมีศพอยู่ด้วยเป็นของตาย แต่ศพเหล่านั้นนักโบราณคดีเห็นแล้วก็งงเต็กไปตามๆ กัน ไม่ใช่น่าเกลียดน่ากลัวอะไรนักหนาหรอก เพราะเป็นแค่โครงกระดูกที่ปราศจากเนื้อหนังแล้ว ลักษณะของโครงกระดูกนั่นแหละ ที่น่าประหลาดใจ เพราะเป็นโครงที่แบบบางสเลนเดอร์ เกินมนุษย์ธรรมดา นับว่าไม่ใช่โครงกระดูกของสัตว์หรือคนในตระกูลใดๆ ที่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย กะโหลกศีรษะอันใหญ่โตก็ผิดส่วนกับขนาดร่างกายอย่างเห็นได้ชัดเจนว่า ไม่เหมือนมนุษย์มนากะเขาเลย มัน ย่อมต้องไม่ใช่โครงกระดูกของชนก่อนประวัติศาสตร์ดรอปา หรือชนชาวพื้นเมืองเผ่าไหนๆ ของดินแดนแถบนี้แน่นอน เพราะชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆ ของจีนโบราณล้วนแต่มีรูปร่างสูงใหญ่ และขนาดศีรษะ ธรรมดาๆ ทั้งนั้น ลักษณะของโครงกระดูกเหล่า นี้คล้ายคลึงกับกระดูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่บินได้ หรือสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมซึ่งมีความดึงดูดตํ่า?
ลวดลายบนแผ่นหินปริศนา ที่ Dr. Karyl Robin-Evans ได้คัดลอกเอาไว้
อย่าง ไรก็ตาม ศาสตราจารย์ไต๋และคณะได้พากันออกจากถํ้าสำคัญนั้นกลับสู่ปักกิ่ง โดยไม่มีรายงานเพิ่มเติมถึงการค้นพบดังกล่าว ไม่มีใครทราบว่าเขานำโครงกระดูก และแผ่นศิลาจารึก ติดตัวไปด้วยทั้งหมด หรือทิ้งไว้ในถํ้าลึกลับมืดตื๋อของเทือกเขาพรมแดนนั้น? โครงกระดูกอันแปลกประหลาดผิดมนุษย์มนาก็ดูเหมือนหายสาบสูญไปเลย...สูญจาก ความทรงจำ และความรับรู้ของผู้สนใจ เพราะไม่มีใครกล่าวถึงมันอีกเลย อย่างไรก็ตาม ในตำนานเก่าแก่โบรํ่าโบราณของจีนกล่าวถึงมนุษย์ผิวเหลืองตัวน้อย หรือ "Little Yellow Creatures" ซึ่งมีหัวโตตัวเล็กไว้ด้วยเหมือนกัน แต่เป็นมนุษย์ที่ลงมาจาก สวรรค์ ไม่ใช่คนธรรมดา และยังมีตำนานประจำท้องถิ่นอันเก่าแก่กว่านั้นอีก กล่าวถึงสิ่งมีชีวิตที่สูญเสีย "ยาน" ของพวกเขาบนภูเขาสูงของจีน จนไม่อาจซ่อมแซมได้... ชะรอยจะเป็นภูเขาเปเยง อรา อูลา ที่พบซากดึกดำบรรพ์นี้เสียละกระมัง? บรินสลีย์ เลอ โปเอร์ เทร้นช์ เจ้าของทฤษฎี "โลกกลวง" กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เขาเคยพบเอกสารโบราณมากของจีน กล่าวถึงมนุษย์มีผิวกายสีอ่อน ซึ่งลงมาเยือนพิภพจากดวงจันทร์
ภาพศพมนุษย์ตัวจิ๋วที่ Dr.Chi Pu Tai ได้ค้นพบบริเวณถ้ำ
อย่าง ไรก็ตาม นักจานผีวิทยาที่ค้นคว้าเรื่องนี้จับเอาตำนานเก่าแก่ของมนุษย์จากโลกอื่น ซึ่งคนจีนจดบันทึกไว ้เป็นเรื่องราวโบราณกับโครงกระดูกมนุษย์ในถํ้าเทือกเขาทิเบตมารวมกัน กลายเป็นตำนานของมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลกและยานอวกาศประสบอุบัติเหตุ กลับบ้านเกิดไม่ได้ ก็เลยต้องอาศัยอยู่ในถํ้านั่นไป
ความลับในเรื่องนี้ก็คือ เจ้าของโครงกระดูกประหลาดในถํ้านั้นเป็นมนุษย์ต่างดาวที่เดินทาง มาจากโลกอื่นจริงๆ หรือ? ไม่ มีใครตอบคำถามนี้ได้ นอกจากจะนำเอาโครงกระดูกเหล่านั้นมาตรวจวิเคราะห์ ตามกรรมวิธีชันสูตรแบบสมัยใหม่เสียก่อน แต่ใครล่ะจะทำอย่างนั้นได้ ในเมื่อเจ้าของประเทศไม่เปิดเผยวี่แววเรื่องนี้ออกมาเลย
แผ่นหินปริศนา
อย่าง ไรก็ตาม (อีกที) มีรายงานเพิ่มเติม เกี่ยวกับแผ่นศิลารูปเหมือน จานที่จารึกอักขระประหลาดนั้นบ้าง กล่าวคือ มีผู้วิเคราะห์วิจัยดูแล้วปรากฏว่า มันไม่ใช่หินแท้ แต่มันเป็นส่วน ประกอบของหินแกรนิตกับโคบอลต์ อันว่าหินแกรนิตนี้เป็นหินอัคนีที่แข็งมาก ประกอบด้วยซิลลิเคทเป็นส่วนใหญ่ ส่วน โคบอลต์ เป็นส่วนประกอบของโลหะ ที่มีคุณสมบัติ เป็นแม่เหล็กด้วยการผสม ผสานกันอย่างนี้ ทำให้แผ่นจารึกอยู่ยง คงกระพันต่อ สภาพธรรมชาติ ของสิ่งแวดล้อมได้นานเท่านาน มีข่าวเล่าลือ ไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับแผ่นหินกลมนี้ บ้างก็ว่ามันมีคุณสมบัติพิเศษ คือชาร์จไฟได้ในตัว และบ้างก็ว่ามันมีปฏิกิริยาต่อเสียงและความถี่ของเสียงด้วยครับ บางคนอธิบายเสริมว่า มันไม่ใช่แผ่น ศิลาธรรมดา แต่เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของ มนุษย์ที่มีความเจริญทางวิทยาการสูงต่างหากเล่า แน่ นอนที่เชื่อได้แหงๆ ก็คือ แผ่นดินกลมอันมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ฟุตครึ่ง และหนาเกือบ 1 นิ้ว นี้ย่อมไม่ใช่ผลงานของชนก่อนประวัติศาสตร์ดรอปา คนด้อยพัฒนาเหล่านั้น ต้องไม่รู้วิธีกะเทาะหินอัคนีชนิดนี้ออกมาและตกแต่งเป็นรูปกลมดิกได้อย่าง นั้นเป็นแน่ จึงคิดกันไปว่าผู้ที่นำหินแกรนิต ผสมโคบอลต์มาใช้นี้ คงจะเป็นคนที่รู้จักคุณสมบัติของมันมาก่อน ซึ่งก็คงได้แก่มนุษย์ต่างดาวที่ยานมาตกในเทือกเขานั้นแหละเป็นผู้ค้นพบ และนำมาทำเป็นแผ่นจารึกด้วยความมุ่งหมายบางประการ บางทีข้อความที่จารึกอยู่ในนั้น อาจเป็นเทคโนโลยีและวิชาการที่มนุษย์ต่างดาวจารึกลงไว้ก็ได้ หรือไม่ก็เป็นจดบันทึก ประจำวันที่มนุษย์เหล่านั้น บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ตลอดเวลาที่ยานอับปางนั้นเอง
ศาสตราจารย์ซัม อัม นุย ผู้ศึกษาแผ่นจารึกที่นักโบราณคดีขุดมาได้นี้อย่างอุทิศทุกสิ่งทุกอย่าง ในที่สุดก็พอจะเข้าใจความหมายของแผ่นจารึกแผ่นหนึ่งได้ เขาได้นำข้อความมาเปรียบเทียบ กับพงศาวดารและตำนานโบราณดึกดำบรรพ์เห็นว่า ข้อความไปกันได้ดังนี้ "ประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว..." (เป็นข้อความในพงศาวดารจีนครับ) "...กลุ่มสิ่งประหลาดซึ่งน่าเกลียดน่ากลัว..." (เป็นตำนานประจำเผ่าดรอปา) "...ได้นำยานอวกาศของเขาลงจอดเพราะว่า..." (เป็นการตีความหมายจากแผ่นศิลาจารึกน่ะครับ เหตุผลของการลงจอดไม่ได้ระบุไว้) "...พวกเขาถูกชาวพื้นเมืองตามล่าจนต้องหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ..." (เป็นตำนานท้องถิ่น) "...ต่อมาภายหลัง ชาวพื้นเมืองกลับนำเครื่องบรรณาการ มาให้เป็นสัญญาณสันติ..." (ตีความจากแผ่นศิลาจารึก) "...เมื่อพวกเขาโผล่ออกมานอกถํ้าก็ถูกฆ่าตายทันที เพราะว่าพวกเขาน่าเกลียดน่ากลัวเกินไป..." (จากตำนานของท้องถิ่น)
ศาสตราจารย์ ซัม อัม นุย บอกว่า เขาสามารถตีความหมายของจารึกได้แผ่นเดียว ส่วนจารึก แผ่นอื่นๆอีก 715 แผ่นนั้น ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน จึงมีข่าวลือว่า โซเวียตรัสเซียได้มาแอบขน ไปมอสโกแล้ว ซึ่งตามความจริงน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะนอกจากจีนแดงกับโซเวียต จะตึงเครียดต่อกัน ทางการเมืองแล้ว การขนแผ่นหินแกรนิต หนักอึ้งกว่า 30 ตัน ข้ามเขากลับไปรัสเซียนั้นทำได้ยากเย็น เหมือนเข็นครกขึ้นเขาจริงๆ จาก โครงกระดูกอันแปลกประหลาด ผิดมนุษย์ในถ้ำบนเขาสูง บางส่วนจากพงศาวดารดึกดำบรรพ์ บางตอนของตำนานท้องถิ่น และส่วนน้อยที่ตีความได้จากแผ่นศิลาจารึกนำมารวมกันเข้า ดังข้อความที่ปรากฏอยู่นี้ ก็ทำให้ ศาสตราจารย์ซัม อัม นุย เขียนถึงประวัติการมา ประสบอุบัติเหตุยานอวกาศตก ในโลกของ มนุษย์ต่างดาวได้ชัดเจนพอควร สิ่งน่าคิดต่อมาก็คือ ถ้ามีมนุษย์ต่างดาว มาอยู่บนถ้ำ แห่งเทือกเขาเปเยง อรา อูลา หลายคนจริงแล้ว เขาก็น่าจะแพร่พันธุ์ต่อๆ มา ณ ดินแดน ที่ไม่มีใคร ย่างกรายเข้าไปนั้น ได้อย่างปราศจากการรบกวน ใครจะรู้ว่าสืบมาจนถึงสมัยใหม่นี้ ลูกหลานของมนุษย์ต่างดาวที่แพร่พันธุ์ กันต่อมาอาจจะยังคงอาศัยอยู่ ณ ดินแดนลี้ลับ แห่งนั้นก็ได้! ก่อนจบ ขอตบท้ายด้วยข้อเขียนของนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส อังเดร มิโกต์ ซึ่งเขาผู้นี้ได้สำรวจหาโบราณวัตถุในเทือกเขาเปเยง อรา อูลา เหมือนกัน แต่ผลที่ได้รับยัง ไม่เปิดเผย แต่สิ่งที่เปิดเผยก็คือเรื่องประหลาดที่เขาประสบในเช้าวันหนึ่ง " ผมตื่นแต่เช้าขี่ม้าขึ้นไปบนชะง่อนเขาเพื่อชมธรรมชาติ" มิโกต์เล่า"ทุกสิ่งรอบตัวสงบงาม อยู่ในยามเช้าอันสดชื่น แต่ทันทีทันใดนั้นผมก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อได้ยินเสียงหนึ่งแผดดัง ขึ้นในความเงียบห่างออกไปข้างหน้า" "มันไม่ ใช่เสียงของสิ่งที่หูเราเคยได้ยินเลยครับ ไม่ใช่เสียงลม เสียงสัตว์ เสียงคน หรือเสียงธรรมชาติอะไรทั้งนั้น เป็นเสียงที่บอกไม่ถูกเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ม้าของผมก็ตกใจจนหกหน้าหกหลัง ผมต้องรีบลงจากหลังของมัน พอเสียงนั้นสงบเงียบไป ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ ม้าของผมก็หายตื่น" อังเดร มิโกต์ ได้ยินเสียงอะไรกันแน่ครับ...เสียงของมนุษย์ต่างดาวใช่หรือไม่? เพราะว่าจุดที่เขายืนชมวิวและ ได้ยินเสียงประหลาดนั่นน่ะมันเป็นจุดที่ ศาสตราจารย์ ไต๋ขุดพบแผ่นหินจารึกอักขระประหลาดพอดิบพอดีนี่เอง
___________________________________________________________________
loading...