ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนดังอย่าง X-Men หรือ Superman เราต่างก็เฝ้าฝันถึงความสามารถในการมองเห็นทะลุทะลวงถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่เหมือนใช้รังสีเอ็กซ์เรย์กันมาตั้งนานแล้ว ล่าสุดความฝันดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นแค่ความฝันอีกต่อไป อีกไม่นานบรรดาแพทย์จะสามารถตรวจสภาพอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายของเราได้ โดยที่ไม่ต้องผ่านการเข้าเครื่องตรวจสอบอะไรให้มากวิธีอีกต่อไป ด้วยแว่นเอ็กซ์เรย์ Eyes-On ผลงานของ Evena Medical ที่ถือเป็นครั้งแรกที่อุปกรณ์ตรวจจับเส้นโลหิตถูกพัฒนามาให้เป็นอุปกรณ์สำหรับการสวมใส่ แค่เพียงสวมมันเข้าไป แพทย์และพยาบาลก็สามารถเห็นระบบการไหลเวียนโลหิตใต้ผิวหนังของคนไข้ได้ทันที ซึ่งทางผู้ผลิตหวังว่าจะทำให้พยาบาลไม่ต้องคลำหาเส้นเลือดเวลาเจาะตัวอย่างเลือดจากคนไข้อีกต่อไป
ที่มา : http://news.th.msn.com/
____________________
คลิป จากกล้องวงจรปิด เผยให้เห็น ปริศนาน่าฉงน ว่าสิ่งนี้คืออะไร ลักษณะ ตัวมีสีขาว มีเงาเมื่อแสงกระทบแสง และเงาสะท้อนบนผืนน้ำ
สิ่งนี้ไม่น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตบนมิติของเราอย่างแน่นอน จากท่าทางการเดินไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม และหยุดชงักเมื่อเจอสระน้ำ
และมันเดินบนน้ำได้
หรืออาจจะเป็น ภูติชนิดหนึ่ง เพราะตัวเล็กคล้ายกับ Gnome
ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรลองใช้วิจารณญาณ ในการรับชมกันดูครับ
อ้างอิง : https://www.youtube.com/watch?feature=player_detailpage&list=TL4zkyOn1fMOQZk-rEdUHiQ5EXa4w9VBYq&v=ZkvzReIX-Ws
________________________________
วันนี้อยากพูดถึงเรื่อง "สิ่งมีชีวิต และอารยะธรรมนอกโลก"
จะเชื่อหรือไม่ก็ไม่ทราบหลายคนเชื่อหลายคนไม่เชื่อ แต่ตัวผมนี่เชื่อแน่นอนต่อให้ข้อมูลไม่พอก็ตาม อย่างเมื่อก่อนที่คนเถียงกันว่า โลกแบนกับโลกกลม ในที่สุดแล้ว โลกกลม
ถ้าคุณได้ดูสารคดีบ้างจะรู้ว่า แค่ทางช้างเผือกของเรานั้น ดาวงดาวนั้นมีมากแค่ไหน ยังไม่นับกาแล็กซี่อื่นๆอีก
แล้ว "สิ่งมีชีวิต และอารยะธรรมนอกโลก" แยกได้ตามนี้ครับ
สิ่งมีชีวิตก็นับได้ตั้งแต่พวกสิ่งมีชีวิตเล็กๆเลยแม้แต่เชื้อโรคก็นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิต แต่ตอนนี้เราก็ยังไม่พบเลยแม้แต่ดาวดวงเดียว
ส่วนอารยะธรรมนอนกโลก
คือสิ่งมีชีวิตที่มีสังคมมีการพัฒนาตัวเองเหมือนมนุษย์เรานี้ แต่ใช่ว่ารูปร่างจะเหมือนกับเรา ซึ่งอาจจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพของดาว และไม่จำเป็นว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ด้วยอ๊อกซีเจนเสมอไป
ไฟฟ้าอาจจะมีใช้ แต่หลอดไฟก็ใช่ว่าจะสร้างขึ้นมาเหมือนเรา และแต่อารยะธรรมก็ทันสมัยไม่เท่ากัน อย่างโลกเราก็ถือว่าทันสมัยระดับนึงเพราะสามารถออกจากนอกโลกไปดาวดวงอื่นๆได้
คราวนี้มาเข้าประเด็นตรงที่ว่า "ทำไมเราถึงไม่เจอ"
ต่อให้เรารู้จริงๆว่า เรามีเพื่อนบ้าน แต่เราก็ไม่สามารถจะสื่อสารหรือเห็นดาวของเขาได้ และเขาก็ไม่สามารถติดต่อกับเราได้เหมือนกันเพราะ ระยะทาง การที่จะเดือนทางมาหากันนั้นอาจจะต้องใช้เวลาเป็นแสนเป็นล้านปี
เอาแค่ส่งสัญญานหากันแชทกันยังต้องใช้เวลาในการส่งเป็นหลายร้อยปีกว่าจะได้รับข้อความ และยังไม่นับถ้าสัญญานหายกลางทางอีก เห็นหรือยังว่า ทำไมเราถึงไม่เจอเพื่อนบ้านเราสักที
อุปสรรคในการติดต่อหากันคือระยะทางยิ่งระยะทางมากเวลายิ่งมาก คิดเอาครับว่าสัญญานเสียงเดินทางเร็วขนาดไหน และแสงเดือนทางเร็วขนาดไหน สิ่งมีชีวิตไม่สามารถที่จะเดินทางได้เร็วขนาดนั้นแน่นอน ตัวคงแหลกเหลวอย่างแน่นอน
เอาแค่ใกล้ๆแสงจากดวงอาทิตย์กว่ามาถึงโลกยังหลายนาทีเลย และคุณลองมองดาวบนฟ้า แสงดาวที่คุณเห็นนั้นคือ "แสงแห่งอดีต" เพราะอะไรหรือ เพราะว่า แสงกว่าจะเดินทางมาถึงโลกให้เราเห็นมันได้ใช้เวลาเดินมามาหลายร้อย หมื่น แสน ล้านปี
ตอนที่เราเพิ่งเห็นแสง สิ่งมีชีวิตคงสูญสิ้นหายไปหมดแล้ว และนึกดูว่าแค่ส่งข้อความหากัน ส่งเฟสทักกันอีกฝั่งกว่าจะได้รับ ก็หลายร้อยปี ไกลหน่อยก็ถึงล้านปี ก็นึกสภาพเอานะครับ
ส่วนที่เราเห็นบนโลกพวกจานบินอะไรนั้น ส่วนใหญ่มาจากของคนบนโลกนี่ละครับ เพราะเป็นเรื่องทางการทหารและเทคโนโลยี่ก็เลยต้องเป็นความลับ แต่เมื่อพัฒนาแล้วก็ต้องทดลอง ตอนที่ทดลองคนถึงได้เห็นแล้วก็ตกใจ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ก็เลยคิดว่าน่าจะมาจากนอกโลก
แล้วของจริงมีไหม ผมว่าก็น่าจะมีนะ แต่ที่น่าคิดคือ "มนุษย์ต่างดาวทันสมัยสุดๆ" แต่ทำไมไม่สีเสื้อผ้าใส่ ไม่มีอาวุธเลย ถ้าเอาพื้นฐานความทันสมัยของเขามาคิด คิดดูว่าทันสมัยขนาดนั้นเขาต้องมีอะไรบ้าง ซึ่งก็แปลก จากที่มีข้อมูลมาอ่านมาดูมา มีแต่ยานกับตัวเปล่าๆ บางทีตกมาเอง บ้างก็โดนยิงตก
ก็ให้เพื่อนๆคิดกันเล่นๆนะครับ มีไหมผมว่ามันมีอยู่แล้วครับ เอาง่ายๆแล้วทำไมถึงมีคนแบบพวกเราละครับ มีเราได้ก็ต้องมีเขาได้จริงไหมครับ ^^
เครดิต : คุณ Ittiphol Live
________________________________
สำนักข่าวต่างประเทศเผยแพร่ภาพจำลองสามมิติ งานการสร้างอาณาจักรบนพื้นผิวดวงจันทร์ โดยใช้เครื่องยนต์ประกอบโครงสร้างที่พักอาศัยต่างๆ ออกแบบโดยบริษัทขององค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA มีลักษณะเป็นโดมที่สร้างจากพื้นดินดวงจันทร์
ขณะที่บางส่วนจะสร้างและประกอบจากโลก ก่อนจะขนส่งไปยังดวงจันทร์โดยกระสวยอวกาศ ซึ่งจะสามารถป้องกันและหลบภัยจากอุกกาบาต รังสีแกมมา และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ คาดว่ามนุษย์จะสามารถเข้าไปพักอาศัยได้ภายใน 40 ปี
แม้ว่าการศึกษาลักษณะทางกายภาพ และภูมิอากาศที่เอื้อต่อสิ่งมีชีวิต ที่ผ่านมายังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า จะดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ด้วยความทะเยอทะยานของมนุษย์ย่อมไม่หยุดนิ่ง ประเทศมหาอำนาจต่างๆได้วางยุทธศาสตร์การขยายอำนาจสู่อวกาศแล้ว เป็าหหมายที่จะนำมนุษย์โลกไปอยู่นอกโลกจึงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป
ที่มา : http://news.mthai.com/headline-news/216293.html
____________________
เจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำจังหวัดสุราษฏร์ธานี เข้าค้นหาวัตถุประหลาดที่ชาวบ้านแจ้งว่าตกลงในบึงขุนทะเล ตำบลวัดประดู่ อำเภอเมือง โดยจุดที่มีวัตถุประหลาดตกลงมาจากฟ้า อยู่ตรงกลางคลองสาขาของบึงขุนทะเล ที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำตาปีก่อนไหลออกสู่ทะเล ขณะที่การค้นหาเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะทำการค้นหากันในช่วงน้ำลง กระแสน้ำเชี่ยว ประกอบกับท้องน้ำเป็นดินโคลน หากมีวัตถุตกลงมาอย่างแรง คาดว่าจะจมลงไปในดินโคลน เบื้องต้นชุดดำน้ำใช้วิธีการดำเพื่อหาตำแหน่งที่วัตถุประหลาดตกลงมา ท่ามกลางความสนใจจากประชาชนในพื้นที่ ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ก็ยังไม่พบจึงยกเลิกภารกิจ โดยจะดำน้ำอีกครั้งในวันนี้ ประมาณ 11.00 น.
ส่วนผู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวคือ นางสาวนันทิชา ฉายาจิตร อายุ 20 ปี ขณะที่เกิดเหตุมานั่งรับลมอยู่หน้าบ้าน ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 80 เมตร นางสาวนันทิชาเล่าว่า ได้ยินเสียงคล้ายเสียงวัตถุต้านลมอย่างรุนแรง จึงเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า พบวัตถุประหลาดลักษณะคล้ายโอ่งแต่เป็นเสี้ยว สีเทาคล้ายสีของก้อนอิฐบล็อกตกลงในน้ำเสียงดังสนั่น จึงเล่าให้พ่อแม่และเพื่อนบ้านฟัง โดยเหตุการณ์นี้มีชาวบ้านเห็นพร้อมๆ กันหลายคน ก่อนแจ้งเจ้าหน้าที่ให้รับทราบเพื่อทำการค้นหา
ที่มา : http://news.bugaboo.tv/watch/111135?link=2
____________________
การสูญหายของมาเลเซีย แอร์ไลนส์ทำให้หลายคนปักใจเชื่อว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด อาทิ มีการเชื่อมโยงกับมนุษย์ต่างดาว การลักพาตัวข้ามชาติ และญาติบางส่วนเชื่อว่าผู้โดยสารบนเครื่องบินยังมีชีวิตอยู่
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานเกี่ยวกับการสูญหายของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลนส์ เที่ยวบิน MH370 ว่าข่าวลือต่างๆ โหมกระพืออย่างรวดเร็วเพราะตอนนี้มีสื่ออินเทอร์เน็ต และเนื่องจากหลายคนก็ปักใจเชื่ออยู่แล้วว่าต้องเป็นทฤษฎีสมคบคิดที่ทำให้ เครื่องบินลำนี้หายสาบสูญ นอกจากนี้อีกทฤษฎีหนึ่งที่หยิบยกขึ้นมาก็คืออาจเกิดเรื่องฉับพลันทันด่วนที่ทำให้เครื่องบินร่วงลงกะทันหัน โดยในช่วงที่เครื่องบินเทคออฟอาจเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาบางอย่างจึงทำให้ เครื่องเปลี่ยนเส้นทางบิน แล้วตัวเครื่องก็ไปตกลงที่เกาะแห่งหนึ่งในขณะที่ผู้โดยสารอาจจะยังมีชีวิตอยู่
ทั้งนี้ การคาดการณ์ปรากฏตามสื่อออนไลน์มากมาย มีทั้งเรื่องที่เชื่อมโยงกับมนุษย์ต่างดาว การลักพาตัวข้ามชาติ แม้กระทั่งคาดเดาว่าเรื่องทั้งหมดอาจเป็นแผนโปรโมทภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ญาติพี่น้องชาวจีนของผู้โดยสารต่างร้องไห้คร่ำครวญเพราะล่วงเลยมาหลายวันแต่ยังไม่รู้ชะตากรรมของผู้โดยสารบนเครื่องบินที่หายสาบสูญไป และตอนนี้ก็มีการคาดการณ์กันหลายเรื่องเกี่ยวกับการหายไปอย่างลึกลับ ซึ่งญาติพี่น้องบางคนยังมีหวังเพราะพวกเขาลองโทรศัพท์ติดต่อไปยังมือถือของผู้โดยสารบนเครื่องบินลำดังกล่าวแล้วยังได้ยินเสียงรอสายตอบกลับมา
ที่มา :http://news.springnewstv.tv/44898/มนุษย์ต่างดาว-ลักพาตัว-มีชีวิต!? สถานะของแอร์มาเลย์ (คลิป)
____________________
รายการ "คนดังนั่งเคลียร์" พิธีกร อ. ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์
ออกอากาศทุกวัน เวลา 07.00 /11.00 / 17.00 / 20.00 / 23.00 น.
ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=0TiH9mDUlVA
____________________
ออกอากาศทุกวัน เวลา 07.00 /11.00 / 17.00 / 20.00 / 23.00 น.
ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=0TiH9mDUlVA
____________________
เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่นักดาราศาสตร์สงสัยถึงแสงอินฟราเรดลึกลับรอบดาวฤกษ์เกิดใหม่ ซึ่งมีการปล่อยออกมามากกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆ ที่มีมวลน้อยกว่าดวงอาทิตย์ของเราอยู่หลายเท่า งานวิจัยใหม่เผยว่าสนามแม่เหล็กในแถบจานกำเนิดดาวเคราะห์น่าจะเป็นต้นเหตุของปริศนานี้
ข้อมูลจากองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ระบุว่านักวิจัยได้ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ (Spitzer Space Telescope) ของนาซา ศึกษาปริศนาที่ยากจะแก้ดังกล่าว ด้วยการสำรวจดาวเกิดใหม่และพบว่า แสงอินฟราเรดดังกล่าวมาจากแหล่งกำเนิดแสงที่ไม่รู้จัก
การสำรวจดังกล่าวสอดคล้องกับทฤษฎีใหม่จากการคำนวณโดยใช้แบบจำลองสามมิติของแถบจานกำเนิดดาวเคราะห์รอบดาวฤกษ์ ซึ่งชี้ว่าแสงอินฟราเรดที่สว่างจ้าเกินกว่าจะมาจากดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อยกว่าดวงอาทิตย์ 2-3 เท่านั้น น่าจะมาจากก๊าซและฝุ่นที่แขวนลอยอยู่ในวงรอบสนามแม่เหล็กเหนือแถบจานกำเนิดดาวเคราะห์ ดูดกลืนแสงจากดาวฤกษ์และเรืองแสงในย่านอินฟราเรด
ด้าน นีล เทอร์เนอร์ ผู้วิจัยจากห้องปฏิบัติการจรวดขับเคลื่อนความดัน ของนาซา ระบุว่า หากไผยืนอยู่ในแถบจานดชกำเนิดดาวเคราะห์แล้วมองไปยังดาวฤกษ์ดวงแม่ จะเห็นเหมือนตอนพระอาทิตย์ตก โดยสนามแม่เหล็กดังกล่าวคล้ายสนามแม่เหล็กจากเปลวสุริยะที่เกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์ของเรา
แบบจำลองใหม่นี้อธิบายถึงองค์ประกอบที่หมุนวนรอบดาวฤกษ์ แล้วก่อตัวเป็นดาวเคราะห์ ดาวหางและดาวเคราะห์น้อยได้ดีกว่าทฤษฎีอื่นๆ ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากได้ทฤษฎีนี้แล้ว ยังต้องทดลองต่อไปในอนาคต เพื่อพิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้ถูกต้อง
แม้ว่าแนวคิดเกี่ยวสนามแม่เหล็กบนแถบจานกำเนิดดาวเคราะห์ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่นาซาระบุว่างานวิจัยของเทอร์เนอร์และคณะเป็นงานแรกที่เชื่อมโยงกับการสังเกตพบแสงอินฟราเรดที่มากเกินปกติในดาวฤกษ์เกิดใหม่
ทั้งนี้ ดาวฤกษ์เกิดจากการยุบตัวของกลุ่มเมฆฝุ่นและก๊าซปริมาณมหาศาล และหมุนไปพร้อมกับการหดตัวเนื่องจากแรงดึวของแรงโน้มถ่วง เมื่อขนาดของดาวโตขึ้นก็จะมีวัตถุจากกลุ่มเมฆร่วงใส่ดาวมากขึ้น และการหมุนก็เหวี่ยงให้วัตถุเหล่านั้นแบนเป็นแถบจาน สุดท้ายดาวเคราะห์ก็จับตัวเป็นก้อนหมุนจากแถบจาน
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000027037
____________________
ภาพจิตรกรรมจีน พบฮ่องเต้ หมิง สยวนจ้ง (ยุคราชวงศ์หมิง ค.ศ. 1425 - 1534) ทรงเล่นกีฬากอล์ฟ โดยบุคคลที่สวมชุดสีทอง กำลังหวดไม้ที่ลูกบอล คือ ฮ่องเต้ หมิง สยวนจ้ง นั่นเอง (ภาพเอเจนซี)
เอเจนซี - สื่อออนไลน์จีน เผย (10 มี.ค.) ภาพอุปกรณ์ของใช้ และสิ่งประดิษฐ์โบราณ 3,000 ปี ของจีนที่จะทำให้โลกทึ่งในความเจริญก้าวหน้าล้ำยุคสมัยกว่าชาติใดในโลก โดยสิ่งเหล่านี้มี อาทิ กีฬากอล์ฟ สบู่ก้อน แป้งเครื่องสำอางค์ ท่อส่งน้ำ หลายชิ้นเป็นนวัตกรรมระดับต้นแบบทีเดียว ตะเกียงประหยัดพลังงานเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หัวเข็มขัดระบบเขี้ยว อุปกรณ์ทางเพศ มิเตอร์วัดระยะทาง รองเท้าหนัง รองเท้าสาน และรองเท้าส้นสูง แปรงสีฟัน ฯลฯ
1. กอล์ฟ
ภาพจิตรกรรมจีน พบฮ่องเต้ หมิง สยวนจ้ง (ยุคราชวงศ์หมิง ค.ศ. 1425 - 1534) ทรงเล่นกีฬากอล์ฟ โดยบุคคลที่สวมชุดสีทอง กำลังหวดไม้ที่ลูกบอล คือ ฮ่องเต้ หมิง สยวนจ้ง นั่นเอง โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่า กีฬาในภาพนั้นโบราณเรียกว่า ฉุ่ยว่าน ซึ่งเล่นโดยการใช้ไม้ตีลูกหิน มีการเล่นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960-1279) และนิยมเล่นกันมากในกลุ่มชนชั้นสูงสมัยราชวงศ์หยวน ก่อนจะเป็นการละเล่นที่นิยมกันทั่วไปในสมัยราชวงศ์หมิง
2. กล่องสบู่
กล่องสบู่ดังกล่าวพบในสุสานสมัยราชวงศ์หมิง โดยแบ่งเป็น 2 ช่อง ช่องหนึ่งสำหรับใส่น้ำมันทาผิว เพื่อความชุ่มชื้น ขณะที่อีกข้างเป็นสบู่สำหรับชะล้างทำความสะอาดใบหน้าฯ
3. แป้งเสริมสวยอัดก้อนฯ
ก้อนเหล่านี้คือแป้งเสริมสวยที่สตรีสูงศักดิ์ในสมัยโบราณใช้ เป็นเครื่องสำอางค์สมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (ค.ศ. 1127-1279)
4. ท่อส่งน้ำ
นักโบราณคดีจีนขุดพบท่อส่งน้ำที่ใช้ในยุคจิ๋น (230 ปีก่อนค.ศ.) ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างก่อนการรวมแผ่นดินของจิ๋นซีฮ่องเต้ และถ้าหากท่อส่งน้ำที่พบยังโบราณไม่พอ นักโบราณคดียังพบท่อน้ำ ช่วงข้อต่อของท่อน้ำโบราณ 3000 ปี ยุคราชวงศ์ซาง (1600 - 1046 ก่อน ค.ศ.) ที่เมืองอันหยางด้วย โดยสามารถไปดูของจริงได้ที่พิพิธภัณฑ์ อันหยาง อวิ่นซู่ว์
5. ตะเกียงประหยัดพลังงานเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
6.หัวเข็มขัด
ผู้เชี่ยวชาญฯ แฟชั่นเมื่อได้เห็นหัวเข็มขัดโบราณยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 – 907) ถึงกับกล่าวว่าลืมหัวเข็มขัดหนังของบรรดาแบรนด์หรูยุคนี้ได้เลย
7. ที่รองนั่งขับถ่าย
นักโบราณคดีใช้เวลาอยู่นาน จึงสามารถพบการใช้งานของวัตถุโบราณดังกล่าว ซึ่งค้นพบในเขตอันจี๋ ซีอาน โดยสันนิษฐานว่าคือเก้าอี้รองนั่งขับถ่ายสำหรับผู้สูงอายุฯ นั่นเอง
8. อุปกรณ์ทางเพศ
9. มิเตอร์วัดระยะทาง
10. รองเท้าหนัง รองเท้าสาน และรองเท้าส้นสูง
11. กระเป๋าคล้องแขน
ถ้าคิดว่ากระเป๋าสมัยนี้ทันสมัย คงต้องคิดอีกครั้ง เพราะเป็นแบบดั้งเดิมที่เคยมีการใช้มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 – 907) กันก่อนแล้ว โดยมีหลักฐานยืนยันจากภาพเขียน และศิลปะวัตถุโบราณสมัยราชวงศ์ถัง
12. แปรงสีฟัน
ที่มา : http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9570000027405
____________________
กลายเป็นข่าวใหญ่ที่เรียกความสนใจจากคนทั้งโลกได้ในชั่วไม่กี่ชั่วโมง กับการหายไปอย่างไร้ร่องรอยของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส เที่ยวบินที่ MH370 ซึ่งสูญหายไปพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 239 ชีวิต โดยสัญญาณการติดต่อหายไปจากจอเรดาร์ขณะบินอยู่เหนือทะเลจีนใต้ทางตะวันออกของมาเลเซีย ระหว่างเดินทางมุ่งหน้าจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปยังกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2557 ปัจจุบันการค้นหายังคงเดินหน้าต่อไป ท่ามกลางคำถามที่ค้างคาใจทุก ๆ ฝ่ายว่า เครื่องบินทั้งลำ จู่ ๆ จะหายไปโดยไม่ปรากฏร่องรอยอะไรไว้เลยได้อย่างไรกัน แต่อย่างไรก็ดี นอกจากกรณีของเครื่องบินจากสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สนี้แล้ว ก็ยังมีสถานการณ์คล้าย ๆ กันที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้า มีทั้งที่สาเหตุการตกคลี่คลายได้แล้ว และที่เป็นปริศนาต่อไป ไม่มีใครทราบแน่ชัดถึงสาเหตุของโศกนาฏกรรมแห่งความสูญเสีย ลองมาดู 10 เหตุการณ์เครื่องบินหายและเครื่องบินตกที่ลึกลับและแปลกที่สุดในโลก ที่เว็บไซต์มิเรอร์ได้รวบรวมเอาไว้ดังต่อไปนี้กันค่ะ
1. การหายไปอย่างไร้ร่องรองของอะเมเลีย เอียร์ฮาร์ท ขณะบินสำรวจโลก
อะเมเลีย เอียร์ฮาร์ท ชาวอเมริกัน นักบินหญิงคนแรกที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแฟซิฟิคได้สำเร็จ ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยณะบินอยู่เหนือบริเวณเกาะฮาวแลนด์ ทางตอนกลางของมหาสมุทรแฟซิฟิก พร้อมกับ เฟร็ด นูแนน สหายนักสำรวจ ขณะนำเครื่องบินล็อกฮีด อิเล็กทรา บินสำรวจโลก เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1937
ชะตากรรมของทั้งคู่เป็นอย่างไรยังคงเป็นปริศนา บ้างว่าเชื้อเพลิงเครื่องบินหมดกลางทาง และตกลงสู่มหาสมุทรเบื้องล่าง บ้างว่าเพราะเธอเป็นสายลับให้ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ จึงถูกจับไว้โดยชาวญี่ปุ่น บ้างก็ว่าเครื่องบินตกแถบชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น นักบินบาดเจ็บ และเสียชีวิตในที่สุด ร่างของทั้งคู่ถูกกินและย่อยไปโดยปูชายฝั่งที่มีมากมาย บ้างบอกว่าเธออาจยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในนิวเจอร์ซี แต่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลไปแล้ว และแม้กระทั่งที่เชื่อว่าทั้งคู่ถูกลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาวก็มีเช่นกัน ซึ่งประการหลังสุดนี้ ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างละครโทรทัศน์ตอนหนึ่งของ Star Trek: Voyager ในปี 1995 ด้วย
2. การหายสาบสูญของเกล็น มิลเลอร์ เหนือช่องแคบอังกฤษ
เกล็น มิลเลอร์ นักดนตรีแจ๊ซชาวอเมริกัน ในฐานะหัวหน้าวงดนตรีแอร์ฟอร์ซแบนด์ ของกองทัพสหรัฐฯ ทำหน้าที่ผู้มอบเสียงเพลงและความรื่นรมย์ให้แก่กองกำลังของฝ่ายสัมพันธมิตร ในช่วงฤดูร้อนของปี 1944
มิลเลอร์ใช้เวลาในค่ำคืนสุดท้ายของชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านมิลตัน เอิร์นเนส ในมณฑลเบดฟอร์ดเชียร์ ประเทศอังกฤษ โดยไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าเครื่องบินเครื่องยนต์เดี่ยวที่เขาโดยสารในวันรุ่งขึ้น จะพาเขาหายสาบสูญไปบริเวณเหนือช่องแคบอังกฤษ ในวันที่ 14 ธันวาคม 1944 ขณะกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปทำหน้าที่ต่อที่ประเทศฝรั่งเศส
มีการคาดเดาสาเหตุของการหายสาบสูญของมิลเลอร์ไปต่าง ๆ นานา หลายกระแสเชื่อว่าเครื่องบินลำที่เขานั่งถูกลูกหลงจากฝ่ายเดียวกันเอง หลังจากที่เครื่องบินทิ้งระเบิด แลงคาสเตอร์ บอมเบอร์ เพิ่งได้รับคำสั่งยกเลิกการจู่โจมเมืองซีเก้น ของเยอรมัน และให้ทำลายระเบิดเพลิง 100,000 ลูก ที่เหนือช่องแคบอังกฤษก่อนบินกลับฐานทัพ ส่วนอีกกระแสหนึ่งที่อื้อฉาวมาก และไม่ค่อยมีใครเห็นด้วยมากนัก ว่าไว้โดยอูโด้ อูล์ฟโคทเทอ นักหนังสือพิมพ์ชาวเยอรมัน บอกว่าที่จริงมิลเลอร์บินไปถึงฝรั่งเศส แต่หัวใจวายตายในซ่องที่ปารีเซียงนั่นเอง
3. ฝูงบิน 19 และการหายสาบสูญที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
ฝูงบิน 19 (Flight 19) คือชื่อเรียกฝูงบินทิ้งระเบิด ทีบีเอ็ม เอเวนเจอร์ 5 ลำ ของสหรัฐฯ ซึ่งหายไประหว่างการบินทดสอบ หลังบินออกจากฟอร์ท ลอเดอร์เดล ในแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1945 โดยการบินครั้งนี้นำโดยนักบินประสบการณ์สูง ชาร์ลส์ เทเลอร์
หลังเริ่มทดสอบการบินไปได้หนึ่งชั่วโมงครึ่ง นักบินได้รายงานกลับมายังศูนย์ว่าเกิดเหตุสภาวะการแปรปรวน ไม่สามารถระบุตำแหน่งพื้นที่เบื้องล่างได้ เทเลอร์บอกเจ้าหน้าที่ผ่านการสื่อสารทางวิทยุว่า เข็มทิศทั้งสองของเครื่องไม่สามารถทำงานได้ปกติ แม้ว่าทางศูนย์ทางภาคพื้นจะมีความพยายามในการช่วยระบุตำแหน่ง แต่ก็ไร้ผลเมื่อฝูงบินทั้ง 5 ก็ไม่สามารถจับทิศทางได้ ในที่สุดเครื่องบินทั้ง 5 ลำ พร้อมนักบิน 14 ชีวิต ก็ล้มเหลวในการลงสู่พื้นดิน และพุ่งดิ่งสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ไม่มีใครได้พบแม้แต่เศษซากอีกเลย
ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้น เครื่องบินค้นหาพีบีเอ็ม ของกองทัพเรือ พร้อมนักบินอีก 13 นาย ที่รับหน้าที่ค้นหาร่องรอยของฝูงบิน 19 ที่สูญหาย ก็กลับหายสาบสูญไปด้วยเช่นกัน ซึ่งคาดว่าคงมีจุดจบไม่ต่างไปกับฝูงบิน 19 นั่นเอง
4. การหายไปของเครื่องบินสตาร์ดัสต์ และรหัสมอร์สปริศนา
เครื่องบินสตาร์ดัสต์ ของสายการบินบริติช เซาธ์ อเมริกัน แอร์เวย์ส (BSAA) ภายใต้การบังคับของกัปตันเรจินัลด์ คุก นักบินผู้มีชื่อเสียง นำเครื่องออกจากกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อเวลา 13.46 นาฬิกา ของวันที่ 2 สิงหาคม 1947 บินข้ามเทือกเขาแอนดีส มุ่งหน้าไปยังกรุงซานติอาโก ประเทศชิลี แต่ก็ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง การติดต่อสุดท้ายของเครื่องบิน คือรหัสมอร์สปริศนา ใจความว่า "STENDEC"
มีความพยายามแกะความหมายของรหัสมอร์สดังกล่าวมาตลอดหลายสิบปีหลังเกิดเหตุการณ์ มีการคาดเดาถึงหลายสาเหตุที่ทำให้สตาร์ดัสต์บินไปพบจุดจบ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ฟังดูเหลวไหลอย่างการโจมตีจากมนุษย์ต่างดาว ไปจนถึงการก่อวินาศกรรมทางอากาศ การตั้งใจระเบิดเครื่องกลางอากาศเพื่อทำลายเอกสารทางการทูตที่ผู้โดยสารรายหนึ่งนำขึ้นเครื่องมา และการคาดการณ์ที่ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น อย่างเครื่องบินอาจบินเข้าสู่ช่วงเทือกเขาที่มีการเลื่อนไถลในแนวดิ่งของหิมะ ทำให้เครื่องบินตก และซากถูกหิมะฝังไว้มิด
อย่างไรก็ดี ทฤษฎีสุดท้ายนี้ฟังดูสมจริงมากที่สุด เมื่ออีก 50 ปีภายหลังเกิดเหตุการณ์ มีสองนักปีนเขาชาวอาร์เจนตินาได้พบชิ้นส่วนเครื่องยนต์พร้อมกับเศษซากของเสื้อผ้า ระหว่างการปีนยอดเขาทูปันกาโต ของเทือกเขาแอนดีส
5. เครื่องบินสตาร์ไทเกอร์ กับการหายไปที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
เป็นอีกครั้งที่เกิดความสูญเสียกับเครื่องบินของสายการบินบริติช เซาธ์ อเมริกัน แอร์เวย์ส (BSAA) ในคราวนี้คือเครื่องบินสตาร์ไทเกอร์ พร้อมผู้โดยสาร 25 ชีวิต โดยหนึ่งในนั้นคือฮีโร่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งของสหราชอาณาจักร พลอากาศโทเซอร์อาเธอร์ โคนิงแฮม ที่บินออกจากเกาะซานตามาเรีย ประเทศโปรตุุเกส มุ่งสู่หมู่เกาะเบอร์มิวดา เมื่อวันที่ 30 มกราคม 1948 ท่ามกลางสภาพอากาศค่อนข้างเลวร้ายเนื่องจากลมพัดแรงจัด
สตาร์ไทเกอร์ออกบินพร้อมเชื้อเพลิงเหลือเฟือ บังคับเครื่องให้บินต่ำเพื่อเลี่ยงกรต้านกระแสลม โดยบินตามเครื่องบินขนส่งแลงคาสเทรนออกมาไม่ทิ้งห่างกันนัก จากระยะทางที่น่าจะกินเวลาบินราว 12 ชั่วโมง เครื่องบินแลงคาสเทรนมาถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ แต่ปรากฏว่าสตาร์ไทเกอร์นั้นไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย
เป็นที่คาดการณ์ว่าการบินที่ระดับต่ำ ประกอบกับกระแสลมแรงจัด พัดให้สตาร์ไทเกอร์ร่วงสู่พื้นมหาสมุทรเบื้องล่าง หรืออาจเป็นการทำงานที่ขัดข้องของมาตรวัดระดับความสูง บวกกับความเหนื่อยล้าของนักบินจากชั่วโมงบินที่ยาวนาน ทำให้เกิดความผิดพลาดบังคับเครื่องสตาร์ไทเกอร์พุ่งลงสู่ผืนน้ำก็เป็นได้ อย่างไรก็ดีทั้งเครื่องบิน และผู้โดยสารในเที่ยวบินทั้งทั้งหมด ยังคงหายสาบสูญจนถึงปัจจุบัน
เครื่องบิน Tudor Mark IV (หน้าตาคล้ายกับเครื่องบินสตาร์ไทเกอร์ที่หายสาบสูญไป)
คลิป AVRO Tudor โพสต์โดย คุณ Bomberguy
6. ปริศนาหายนะเที่ยวบิน 191
ซากเครื่องบินเที่ยวบิน 191 ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส
หากลองสังเกตดูจะพบว่าสายการบินหลาย ๆ แห่ง จะไม่ตั้งชื่อเที่ยวบินของตนว่า เที่ยวบิน 191 (Flight 191) ซึ่งปกติจะเป็นเที่ยวบินที่บินจากสนามบินนานาชาติโอแฮร์ ในชิคาโก ไปยังสนามบินนานาชาติลอสแอนเจลิส กันเท่าใดนัก สืบเนื่องมากจากหายนะหลาย ๆ ครั้งที่เคยเกิดขึ้นลอดช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมานี้ ล้วนเกียวข้องกับหมายเลขของเที่ยวบินดังกล่าว
หนึ่งในหายนะเที่ยวบิน 191 ที่ทำให้เกิดความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์การบินอเมริกา คือเที่ยวบิน 191 ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 1979 ที่เครื่องบินตกหลังออกจากสนามบินโอแฮร์ได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น คร่าชีวิตผู้โดยสาร 258 ชีวิต และลูกเรืออีก 13 ชีวิต
นอกจากนี้ก็ยังมี เครื่องบินเจท X-15 เที่ยวบิน 191 ซึ่งขึ้นบินเป็นการบินทดสอบเครื่อง โดยนักบินไมเคิล เจ. อดัมส์ ออกตัวที่ทะเลสาบร้างเดลามาร์ ในรัฐเนวาดา สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1967 แต่เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคหลังนำเครื่องขึ้นเพียงไม่กี่นาที ลงเอยด้วยการโหม่งโลก คร่าชีวิตนักบินในซากเครื่องบินไหม้พังยับเยิน และเหตุการณ์หวิดนำหลายชีวิตดิ่งสูญดับของเที่ยวบิน 191 สายการบินเจ็ตบลู แอร์เวย์ส ในปี 2012 ที่กัปตันผู้บังคับเครื่องเกิดอาการแพนิคกะทันหัน โชคดีที่ผู้โดยสายเข้าช่วยเข้าระงับอาการได้ทันท่วงที จึงไม่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น
ด้วยเหตุการณ์ที่น่าพิศวงเหล่านี้นี่เอง หลายสายการบินถึงพร้อมใจกันถอนการเรียกชื่อเที่ยวบิน 191 ไปโดยปริยาย
7. การหายที่เป็นปริศนาของเครื่องบินสตาร์แอเรียล
สตาร์แอเรียล นับเป็นเครื่องบินอีกลำของสายการบินบริติช เซาธ์ อเมริกัน แอร์เวย์ส (BSAA) ที่ต้องเผชิญชะตากรรมไม่คาดคิด จากไฟลท์ที่บินจากหมู่เกาะเบอร์มิวดามุ่งหน้าไปยังประเทศจาไมกา ในวันที่ 17 มกราคม 1949
สตาร์แอเรียล ออกบินอย่างรายรื่นสู่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ไม่มีสัญญาณของหายนะใด ๆ ปรากฏมาก่อน กระทั่งเกิดเหตุขัดข้องด้านสัญญาณการติดต่อกับนักบิน และแล้วสตาร์แอเรียลก็ไม่อาจพาผู้โดยสาร 20 ชีวิตพร้อมนักบินอีกหนึ่งนาย ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ นอกจากนี้ยังน่าแปลกใจที่ความพยายามในการค้นหาเครื่องบินลำนี้ดำเนินไปเพียงไม่นาน ก็ยุติลงในวันที่ 25 มกราคม
การสรุปสาเหตุการหายไปของสตาร์แอเรียลยังคงไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ดอน เบนเนตต์ อดีตผู้อำนวยการของ BSAA ออกมาระบุว่า เหตุความสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งกับสตาร์ไทเกอร์ และสตาร์แอเรียล คือการจงใจก่อวินาศกรรมทางอากาศ ทั้งยังพาดพิงถึงนายคลีเมนต์ แอทท์ลี นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในตอนนั้น ว่าเป็นผู้ออกคำสั่งอย่างลับ ๆ ให้ยุติการค้นหา และการสืบสวนเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมของเครื่องบินทั้งสองลำตัว
8. หายนะเที่ยวบิน 571 ที่เทือกเขาแอนดีส
เครื่องบินเช่าเหมาลำอุรุกวัยแอร์ฟอร์ซ นำผู้โดยสาร 45 ชีวิตรวมนักบิน และทีมรักบี้ของอุรุกวัย บินจากเมืองหลวงของอุรุกวัย มุ่งหน้าไปยังกรุงซานติอาโก ของชิลี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1972 แต่ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้ต้องหยุดพักที่สนามบินนานาชาติเมนโดซ่า ในอาร์เจนตินา ก่อนออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดมา โดยไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเป็นการเดินทางที่พาพวกเขาไปสู่หายนะที่คร่าชีวิตเพื่อนร่วมทางไปหลายสิบคน ส่วนผู้รอดชีวิตก็ต้องกินเนื้อจากร่างมนุษย์ด้วยกันเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
เครื่องบินลำดังกล่าวเกิดเหตุขัดข้อง ประกอบกับสภาพอากาศเลวร้าย จึงตกลงบนเทือกเขาแอนดีส ผู้โดยสาร 12 รายเสียชีวิตทันทีจากเหตุเครื่อบินตก อีก 6 รายเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันถัดมา และยังมีอีก 8 ชีวิตที่จบลงจากเหตุหิมะที่ถล่มลงมายังซากเครื่องบินซึ่งพวกเขาปักหลักยึดเป็นที่พักพิง
อีก 16 คนที่เหลืออยู่รอดได้ด้วยการกินเนื้อจากร่างผู้โดยสารที่เสียชีวิตไปแล้วเพื่อประทังชีวิตตัวเอง กว่าทั้งหมดจะถูกค้นพบและได้รับความช่วยเหลือก็เป็นเวลาอีก 72 วันถัดมา เมื่อ 2 คนในกลุ่มที่รอดชีวิต ตัดสินใจออกเดินเท้าข้ามเขตเขา ใช้เวลาถึง 10 วันจนกระทั่งได้พบกับเซลล์แมนนักเดินทางชาวชีลีที่ได้แบ่งปันน้ำและอาหารให้ พร้อมทั้งแจ้งขอความช่วยเหลือกู้ภัยเร่งด่วนไปยังทางการ
เรื่องราวหายนะของเที่ยวบิน 571 และการต่อสูของผู้รอดชีวิตทั้ง 16 คน กลายเป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่อง Alive (1993)
9. ชะตากรรมที่น่าเศร้าของเที่ยวบิน 990 สายการบินอิยิปต์แอร์
หายนะดับยกลำของเครื่องบินโบอิ้ง 767 สายการบินอียิปต์แอร์ เที่ยวบินที่ 990 ซึ่งบินออกจากสนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ เคนเนดี้ สหรัฐฯ มุ่งหน้าสู่กรุงไคโรของอียิปต์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1999 เครื่องบินลำนี้ได้พาผู้โดยสารรวมลูกเรือ นักบิน และกัปตัน ทั้งสิ้น 217 ชีวิต ไปสู่จุดจบทั้งหมด เมื่อเครื่องบินตกลงในมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตอนใต้ของรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐฯ
มีรายงานว่า ผู้ก่อเหตุคือนายกามิล เอล-บาตอตตี้ ผู้ช่วยนักบิน ที่เพิ่งจะถูกนายฮาเทม รัชดี้ หนึ่งในผู้บริหารของอียิปต์แอร์ ที่ร่วมโดยสารในเที่ยวบินนั้นด้วย ตำหนิอย่างรุนแรงเรื่องประพฤติตัวไม่เหมาะสมทางเพศ โดยหนึ่งในคำต่อว่าคือ "นี่จะเป็นไฟลท์สุดท้ายของนาย" ก่อนที่นายกามิลจะโต้ตอบด้วยคำพูดเดียวกันว่า "มันจะเป็นไฟลท์สุดท้ายของคุณเหมือนกัน"
ในภายหลังพบว่าเครื่องบันทึกเสียงภายในห้องนักบินที่สามารถบันทึกเสียงของนายกามิลพึมพัมว่า "ฉันเชื่อในพระเจ้า" ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กัปตันได้ขอตัวมาเข้าห้องน้ำ ก่อนที่ระบบออโต้ไพลอตจะถูกปิด และเครื่องบินก็ดิ่งหัวลงสู่เบื้องล่าง เสียงพึมพันนั้นยังคงดังต่อเนื่องในระหว่างที่เครื่องบินลดระดับลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งลุกไหม้และตกลงสู่มหาสมุทร
หน่วยงานสอบสวนอากาศของสหรัฐฯ (The US National Transportation Safety Board) มีความเห็นว่าเหตุเครื่องบินตกในครั้งนี้เป็นผลจากการกระทำของนายกามิล แต่ไม่ได้ระบุถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุของผู้ช่วยนักบินรายนี้แต่อย่างใด
สภาพกล่องบันทึกเสียงจากห้องนักบินของเที่ยวบินมรณะ
10. หายนะสะเทือนใจ เที่ยวบิน 447 สายการบินแอร์ฟรานซ์
เครื่องบินแอร์บัสรุ่น A330 ของสายการบินแอร์ฟรานซ์ เที่ยวบิน 477 มุ่งหน้าออกจากกรุงริโอ เดอ จานีโร ประเทศบราซิล สู่กรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2009 แต่ก็ไม่อาจพาผู้โดยสาร 214 ชีวิต และลูกเรืออีก 12 รายไปถึงจุดหมายได้
จากการสืบสวนระบุว่า เกิดผลึกน้ำแข็งก่อตัวในท่อของเครื่องบิน ขัดขวางการทำงานของระบบออโต้ไพลอต จนกระทั่งระบบไม่สามารถทำงานได้ ทำให้เครื่องบินทิ้งดิ่งตัวลงปะทะกับพื้นน้ำของมหาสมุทรแอตแลนติก ไม่พบผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างใด
ร่างผู้เสียชีวิต 50 ร่าง ถูกพบลอยอืดเหนือน้ำเป็นที่น่าสะเทือนใจในช่วงเดือนถัดมา กล่องดำถูกค้นพบในเดือนพฤษภาคม ในปี 2011 พร้อมกับพบร่างผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 104 ศพ ส่วนอีก 74 ร่างยังคงหาไม่เจอจนกระทั่งปัจจุบันนี้
เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในอุบัติเหตุที่นำมาซึ่งการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ก็คืออุบัติเหตุทางอากาศ ซึ่งเป็นความเสียหายที่สูงทั้งในแง่มูลค่า และยิ่งประเมินค่าไม่ได้ในด้านชีวิตของผู้โดยสารและลูกเรือ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ได้แต่ขอไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก และกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ก็ขอเป็นกำลังใจเจ้าหน้าที่ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการตามหาร่องรอยของเที่ยวบินดังกล่าว และเหนือสิ่งอื่นใดขอร่วมภาวนาและเอาใจไปอยู่เคียงข้างผู้ที่ยังคงรอคอยบุคคลอันเป็นที่รักด้วยนะคะ
ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/99104
____________________
รูปหลอดไฟเดนเดราที่สองนักเขียนชาวออสเตรียและวิศวกรการ์นได้กล่าวอ้างว่าเป็นหลอดไฟโบราณ.
ถ้าจะกล่าวถึงสิ่งประดิษฐ์โบราณที่มีวิทยาการ ผิดยุคผิดสมัย ก็มีอยู่หลากหลายชนิด รวมทั้งภาพสลักอีกภาพหนึ่ง ที่สร้างความฉงนฉงายให้กับหลายๆท่านที่มีโอกาสพบเห็นได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือภาพ สลักรูป "หลอดไฟฟ้า" ในวิหารแห่งหนึ่งของชาวไอยคุปต์ ซึ่งถือว่าเก่าแก่กว่าหลอดไฟฟ้าของโทมัส อัลวา เอดิสัน ถึงกว่า 2,000 ปีเลยทีเดียว
วิหารที่มีจารึกแปลกประหลาดรูปหลอดไฟแห่งนี้ก็คือหนึ่งในวิหารที่ยังหลงเหลือความสมบูรณ์ที่สุดวิหารหนึ่งของอียิปต์โบราณ นั่นก็คือวิหารแห่งเดนเดรา (Dendera) มหาวิหารที่บูชาเทพีแห่งความรักอย่างเทพีฮาเธอร์ (Hathor) นั่นเอง
วิหารแห่งเดนเดรา ตั้งห่างออกมาทางตอนเหนือของเมืองลักซอร์ (Luxor) ประมาณ 70 กิโลเมตร ตัววิหารเดนเดราโดดเด่นด้วยเสาทรงเทพีฮาเธอร์ ประดับด้านหน้าถึง 6 เสา ด้านในมีห้องโถง ห้องเสาไฮโปสไตล์ ห้องบูชาด้านในอีกหลากหลายห้อง ที่สำคัญที่สุดก็คือห้องบูชาหลัก (Sanctuary) ของเทพีฮาเธอร์ ที่ประดิษฐานรูปปั้นรวมทั้งเรือศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในขบวนแห่อีกด้วย
และบริเวณด้านหลังของวิหารเดนเดราแห่งนี้นี่เองครับ ที่มีช่องทางเดินลงไปยังคูหาใต้ดิน (Crypt) ซึ่งมีภาพหลอดไฟสุดล้ำของชาวอียิปต์โบราณสลักเอาไว้!!
จากหนังสือ "ดวงไฟแห่งฟาโรห์" (Lights of the Pharaohs) ของสองนักเขียนชาวออสเตรียได้กล่าวไว้ว่า ในภาพสลักรูปหลอดไฟนั้นประกอบไปด้วย ตัวนักบวชผู้ถือหลอดไฟที่มีส่วนประกอบของตัวหลอด พร้อมทั้งตัวปล่อยกระแสไฟฟ้าที่แสดงด้วยรูปงู ปลั๊กรูปดอกบัว ตามด้วยสายไฟ และไอโซเลเตอร์
วิหารเดนเดราในมุมกว้าง ยังหลงเหลือความยิ่งใหญ่อยู่มาก.
จากหนังสือ "ดวงไฟแห่งฟาโรห์" (Lights of the Pharaohs) ของสองนักเขียนชาวออสเตรียได้กล่าวไว้ว่า ในภาพสลักรูปหลอดไฟนั้นประกอบไปด้วย ตัวนักบวชผู้ถือหลอดไฟที่มีส่วนประกอบของตัวหลอด พร้อมทั้งตัวปล่อยกระแสไฟฟ้าที่แสดงด้วยรูปงู ปลั๊กรูปดอกบัว ตามด้วยสายไฟ และไอโซเลเตอร์
(Isolator) ที่แสดงด้วยภาพเสาดีเจด (Djed Pillar) ด้านข้างยังมีเทพเจ้าถือมีด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ "ผู้นำแสงสว่าง" จารึกประดับไว้ด้วย ในภาพสลักยังมีภาพของเทพเจ้าในท่านั่ง แสดงถึงกระแสไฟฟ้า และมีภาพของตัวจ่ายพลังงานหรือที่เราเรียกกันว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) อีกด้วยครับ
เสาดีเจด Djed Pillar
นอกจากนั้น วิศวกรนาม ดับเบิลยู การ์น (W. Garn) ยังได้สนับสนุนแนวคิดนี้ แถมด้วยการวาดแผนโครงสร้างของหลอดไฟฟ้าจากภาพบนผนังของวิหารเดนเดราเสียด้วย สิครับ
โดยเขาได้เสนอว่า หลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ ถ้ามีแท่งโลหะ 2 ชิ้นที่สัมผัสกับแขนที่ชูขึ้นมาของเสาดีเจด ก็จะสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้
แต่ก็ขึ้นกับขนาดของหลอดไฟด้วย ถ้าความดันภายในหลอดมีขนาดประมาณ 40 มิลลิเมตรปรอท เจ้างูในหลอดไฟที่ทำหน้าที่เป็นลวดที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่าน ก็จะค่อยๆเลื้อยตัวออกไปเรื่อยๆ และสามารถสร้างแสงสว่างได้เพิ่มมากขึ้น เจ้างูลวดตัวนี้สามารถที่จะเลื้อยตัวออกไปได้ยาวมาก จนยาวเต็มหลอดไฟเลยทีเดียว ซึ่งนี่ก็คือหลักการในการให้แสงสว่างของหลอดไฟแห่งเดนเดรา จากมุมมองของวิศวกรอย่างการ์น
แต่แนวคิดที่การ์นนำเสนอมา มันก็ยังขัดแย้งกันอยู่ในตัวของมันเอง เพราะถ้ามองที่ภาพหลอดไฟที่การ์นนำมาอ้างนั้น ภาพของเสาดีเจดชูแขนสองข้าง ที่เชื่อกันว่าทำหน้าที่เป็นไอโซเลเตอร์ ดูเหมือนว่าจะเข้าไปอยู่ด้านในของหลอดไฟ
ด้านหน้าของวิหารเดนเดรา แสดงความยิ่งใหญ่และงดงามด้วยเสารูปเทพีฮาเธอร์ถึง 6 เสา.
แต่แท้จริงแล้ว ภาพหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ มีถึง 6 หลอดครับ และอีก 5 หลอดที่เหลือ ก็จะเห็นได้ชัดว่าภาพของเสาดีเจดนั้น ไม่ได้เข้าไปในตัวหลอดแต่อย่างใด เพียงแต่ค้ำอยู่ด้านนอกเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หลอดไฟ อีก 5 หลอดของเดนเดราจะสามารถทำงานได้ตามหลักการของการ์น
หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า ภายในพีระมิด หรือสิ่งมหัศจรรย์หลายแห่งที่ชาวอียิปต์โบราณได้สร้างสรรค์ไว้ ไม่เคยพบเขม่าควันใดๆเลย แสดงว่าถึงแม้ว่าหลอดไฟแห่งเดนเดราจะไม่ได้หมายถึงหลอดไฟฟ้าจริงๆ แต่ชาวอียิปต์โบราณก็ควรจะต้องมีอุปกรณ์ให้แสงสว่างระหว่างการก่อสร้างด้วย แน่ๆ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะสร้างหรือวาดภาพในที่มืดๆ โดยใช้ตะเกียงแบบไม่มีเขม่าได้ยังไงกัน
แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าตามสถาน ที่อย่างภายใน ห้องหับของพีระมิดจะไม่มีเขม่าอย่างที่หนังสือหรือแหล่งข้อมูลบางแห่งบอกไว้ นะครับ เขม่าควันนั้นมีเช่นกัน แต่เป็นผลมาจากคบไฟของเหล่าโจรปล้นสุสานในสมัยโบราณ รวมทั้งนักเดินทางที่ปรารถนาจะเข้าไปชมความอลังการภายในพีระมิดได้ทิ้งเอาไว้
ตะเกียงและไส้ตะเกียงคือหลักฐานที่นักอียิปต์ วิทยาค้นพบจากหุบผากษัตริย์ (Valley of the Kings) ซึ่งบ่งบอกว่าชาวอียิปต์โบราณมีการใช้ตะเกียงในการให้แสงสว่างในการขุดเจาะและตกแต่งผนังสุสาน แต่เคล็ดลับในการลดควันหรือเขม่าจากตะเกียงของพวกเขานั้นก็ทำได้ง่ายดายมากครับ เพียงแค่ผสม "เกลือ" เล็กน้อยลงไปในน้ำมันตะเกียง เท่านี้ก็ไม่หลงเหลือเขม่าเกาะติดผนังมากนักแล้วครับ
ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่นักอียิปต์วิทยาค้นพบในห้องใต้ดินที่มีภาพหลอดไฟ ปริศนาก็คือ "เขม่าควัน" บริเวณภาพหลอดไฟพอดีครับ ดังนั้น ถ้าในช่วงการแกะสลักภาพหลอดไฟเดนเดรา ชาวอียิปต์ โบราณมีการใช้หลอดไฟรูปร่างเช่นนั้นในการให้ แสงสว่างจริงๆล่ะก็ ไม่น่าจะมีเขม่าควันหลงเหลืออยู่ในห้องนี้ เขม่าที่เห็นควรจะต้องเป็นควันจากการจุดตะเกียงในช่วงของการก่อสร้าง หรือไม่ก็เป็นเขม่าควันจากกลุ่มคนสมัยใหม่ ที่เข้ามาด้านในครับ
ถ้าไม่ใช่วิทยาการอันก้าวหน้าของชาวไอยคุปต์ แล้วหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ จารึกภาษาอียิปต์โบราณที่ประดับไว้เคียงข้างภาพหลอดไฟเหล่านี้มีคำตอบให้ ครับ
หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า ภายในพีระมิด หรือสิ่งมหัศจรรย์หลายแห่งที่ชาวอียิปต์โบราณได้สร้างสรรค์ไว้ ไม่เคยพบเขม่าควันใดๆเลย แสดงว่าถึงแม้ว่าหลอดไฟแห่งเดนเดราจะไม่ได้หมายถึงหลอดไฟฟ้าจริงๆ แต่ชาวอียิปต์โบราณก็ควรจะต้องมีอุปกรณ์ให้แสงสว่างระหว่างการก่อสร้างด้วย แน่ๆ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะสร้างหรือวาดภาพในที่มืดๆ โดยใช้ตะเกียงแบบไม่มีเขม่าได้ยังไงกัน
แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าตามสถาน ที่อย่างภายใน ห้องหับของพีระมิดจะไม่มีเขม่าอย่างที่หนังสือหรือแหล่งข้อมูลบางแห่งบอกไว้ นะครับ เขม่าควันนั้นมีเช่นกัน แต่เป็นผลมาจากคบไฟของเหล่าโจรปล้นสุสานในสมัยโบราณ รวมทั้งนักเดินทางที่ปรารถนาจะเข้าไปชมความอลังการภายในพีระมิดได้ทิ้งเอาไว้
ภาพคนถือสิ่งที่ดูคล้ายหลอดไฟ 2 หลอดจากวิหารเดนเดรา ยังมีสีดั้งเดิมหลงเหลืออยู่ด้วย.
ตะเกียงและไส้ตะเกียงคือหลักฐานที่นักอียิปต์ วิทยาค้นพบจากหุบผากษัตริย์ (Valley of the Kings) ซึ่งบ่งบอกว่าชาวอียิปต์โบราณมีการใช้ตะเกียงในการให้แสงสว่างในการขุดเจาะและตกแต่งผนังสุสาน แต่เคล็ดลับในการลดควันหรือเขม่าจากตะเกียงของพวกเขานั้นก็ทำได้ง่ายดายมากครับ เพียงแค่ผสม "เกลือ" เล็กน้อยลงไปในน้ำมันตะเกียง เท่านี้ก็ไม่หลงเหลือเขม่าเกาะติดผนังมากนักแล้วครับ
ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่นักอียิปต์วิทยาค้นพบในห้องใต้ดินที่มีภาพหลอดไฟ ปริศนาก็คือ "เขม่าควัน" บริเวณภาพหลอดไฟพอดีครับ ดังนั้น ถ้าในช่วงการแกะสลักภาพหลอดไฟเดนเดรา ชาวอียิปต์ โบราณมีการใช้หลอดไฟรูปร่างเช่นนั้นในการให้ แสงสว่างจริงๆล่ะก็ ไม่น่าจะมีเขม่าควันหลงเหลืออยู่ในห้องนี้ เขม่าที่เห็นควรจะต้องเป็นควันจากการจุดตะเกียงในช่วงของการก่อสร้าง หรือไม่ก็เป็นเขม่าควันจากกลุ่มคนสมัยใหม่ ที่เข้ามาด้านในครับ
ถ้าไม่ใช่วิทยาการอันก้าวหน้าของชาวไอยคุปต์ แล้วหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ จารึกภาษาอียิปต์โบราณที่ประดับไว้เคียงข้างภาพหลอดไฟเหล่านี้มีคำตอบให้ ครับ
ภาพหนึ่งของหลอดไฟเดนเดรา จะพบว่าแขนของเทพฮีฮ์ที่ค้ำหลอดไฟอยู่นั้น ไม่ได้เข้าไปข้างในแต่อย่างใด.
จารึกในห้องใต้ดินแห่งนี้กล่าวถึงวัฏจักรการโคจรของดวงอาทิตย์ที่กำลังหมดเวลาในวันสุดท้ายของปีเก่าและเข้าสู่เช้าวันรุ่งขึ้นของปีใหม่ รวมทั้งการจัดงานพิธีกรรมเฉลิมฉลองแด่สุริยเทพ ซึ่งก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับหลอดไฟแต่อย่างใด
เริ่มแรกที่ภาพของงู ที่สองนักเขียนชาวออสเตรียกล่าวว่าเป็นลวดที่นำไฟฟ้า แต่ตำนานของชาวอียิปต์โบราณไม่มีตำนานใดกล่าวว่างูเกี่ยว ข้องกับไฟเลย ภาพวงรีที่เหมือนตัวหลอดไฟนั้น ณ ที่นี้มีความหมายถึงท้องฟ้า ยามรุ่งอรุณ และงูที่อยู่ด้าน ในก็คือเทพฮาร์ซัมตัส (Harsomtus) ซึ่งเป็นร่างหนึ่งของเทพฮอรัส เกี่ยวข้องกับพระอาทิตย์ ในยามรุ่งอรุณตามความเชื่อของชาวกรีก-โรมัน โดยที่พวกเขาจะแสดงภาพของเทพฮาร์ซัมตัสด้วยร่างของงูเสมอในช่วงหลัง 300 ปีก่อนคริสตกาลเป็นต้นมาครับ
นั่นก็เพราะงูจะมีการลอกคราบ ซึ่งชาวอียิปต์ โบราณมองว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็คล้ายกับพระอาทิตย์ที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ขึ้นมาทุกเช้าในแต่ละวันนั่นเอง
ภาพหลอดไฟอีกหลอดหนึ่ง ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าแขนของเสา ไม่ได้เข้าไปสัมผัสกับงูด้านในหลอดไฟเช่นกัน.
สำหรับ เสาที่เชื่อกันว่าเป็นไอโซเลเตอร์ นั้น นักอียิปต์วิทยายังไม่สามารถหาคำตอบที่แน่นอนได้ว่า มีความหมายว่าอย่างไร เพราะว่าโดยตัวของมันเองแล้ว เสาสามารถสื่อได้หลายความหมาย ไม่ว่าจะหมายถึงเสาโดยตรง หรือหมายถึงความมั่นคง เสถียรภาพ และหมายถึงสิ่งที่อยู่ไปจนนิรันดร์ก็ได้เช่นกัน ดังนั้น ด้วยความที่เสาได้ค้ำท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ และบางภาพก็ได้ค้ำงูฮาร์ซัมตัส ที่เป็นตัวแทนของพระ อาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ก็อาจจะต้องการสื่อความหมายว่า สุริยเทพจะต้องเป็นผู้ที่คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ก็เป็นได้
มองลงมาด้านล่าง ที่เชื่อกันว่าเป็นสายไฟซึ่งต่อจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารูปเทพฮีฮ์มายังก้านดอกบัวที่เป็นปลั๊กนั้น แท้จริงแล้วเป็นภาพตัวแทนของเรือศักดิ์สิทธิ์ที่มีเทพเจ้ามาก มายนั่งอยู่ คล้ายๆกับเรือที่ปรากฏในคัมภีร์ ต่างๆของชาวอียิปต์โบราณ และหลักฐานที่กล่าวว่าเส้นสายไฟนี้คือเรือแน่ๆ ก็คืออักขระที่จารึกประกอบภาพเอาไว้บนผนังครับ
ส่วนดอกบัว ก็คือดอกบัวตามที่เห็น ไม่ได้สื่อถึงปลั๊กไฟแต่อย่างใด สำหรับอีกด้านหนึ่งของเรือที่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและเทพฮีฮ์ ก็สื่อความหมายว่าเทพฮีฮ์ทรงค้ำจุนท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ ด้วยความที่เทพฮีฮ์เกี่ยวข้องกับความเป็นนิรันดร์และเกี่ยวข้องกับจำนวนหนึ่งล้าน ทำให้เทพฮีฮ์สื่อความหมายคล้ายคลึงกับเสานั่นคือหมายถึงความเป็นนิรันดร์ของสุริยเทพ
สำหรับ เสาที่เชื่อกันว่าเป็นไอโซเลเตอร์ นั้น นักอียิปต์วิทยายังไม่สามารถหาคำตอบที่แน่นอนได้ว่า มีความหมายว่าอย่างไร เพราะว่าโดยตัวของมันเองแล้ว เสาสามารถสื่อได้หลายความหมาย ไม่ว่าจะหมายถึงเสาโดยตรง หรือหมายถึงความมั่นคง เสถียรภาพ และหมายถึงสิ่งที่อยู่ไปจนนิรันดร์ก็ได้เช่นกัน ดังนั้น ด้วยความที่เสาได้ค้ำท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ และบางภาพก็ได้ค้ำงูฮาร์ซัมตัส ที่เป็นตัวแทนของพระ อาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ก็อาจจะต้องการสื่อความหมายว่า สุริยเทพจะต้องเป็นผู้ที่คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ก็เป็นได้
มองลงมาด้านล่าง ที่เชื่อกันว่าเป็นสายไฟซึ่งต่อจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารูปเทพฮีฮ์มายังก้านดอกบัวที่เป็นปลั๊กนั้น แท้จริงแล้วเป็นภาพตัวแทนของเรือศักดิ์สิทธิ์ที่มีเทพเจ้ามาก มายนั่งอยู่ คล้ายๆกับเรือที่ปรากฏในคัมภีร์ ต่างๆของชาวอียิปต์โบราณ และหลักฐานที่กล่าวว่าเส้นสายไฟนี้คือเรือแน่ๆ ก็คืออักขระที่จารึกประกอบภาพเอาไว้บนผนังครับ
ส่วนดอกบัว ก็คือดอกบัวตามที่เห็น ไม่ได้สื่อถึงปลั๊กไฟแต่อย่างใด สำหรับอีกด้านหนึ่งของเรือที่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและเทพฮีฮ์ ก็สื่อความหมายว่าเทพฮีฮ์ทรงค้ำจุนท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ ด้วยความที่เทพฮีฮ์เกี่ยวข้องกับความเป็นนิรันดร์และเกี่ยวข้องกับจำนวนหนึ่งล้าน ทำให้เทพฮีฮ์สื่อความหมายคล้ายคลึงกับเสานั่นคือหมายถึงความเป็นนิรันดร์ของสุริยเทพ
รูปที่การ์นใช้ประกอบคำอธิบายหลักการทำงานของหลอดไฟเดนเดรา.
บรรดาสัญลักษณ์ต่างๆที่แสดงเป็นภาพหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสัญลักษณ์พื้นฐานทางตำนานความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณทั้งสิ้น ที่ประกอบกันเพื่อสื่อความหมายและแสดงออกถึงพิธีกรรมการเดินทางเข้าสู่ปีใหม่ของสุริยเทพ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลอดไฟฟ้าแต่อย่างใด
แต่ถึงแม้ว่าชาวอียิปต์โบราณจะไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าถึงขั้นผลิตหลอดไฟฟ้าได้จริง แต่เราก็คงจะปฏิเสธกันไม่ได้ใช่ไหมครับว่า วิทยาการที่ชาวอียิปต์มีอยู่จริงนั้น ก็ก้าวหน้าและก้าวล้ำเสียจริงๆครับ
ถ้าท่านผู้อ่านชอบศึกษาและค้นหาความจริงจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ก็ติดตามได้ จากนิตยสารต่วย'ตูนพิเศษนะครับ มีเรื่องน่าสนใจทั้งจากอดีตและอนาคตมานำเสนอแบบเข้าใจง่าย อ่านสนุกกันทุกต้นเดือนครับ.
ที่มา : http://www.mythland.org/v3/thread-6099-1-1.html
____________________
เครดิต : ต่วยตูนพิเศษ neutron.rmutphysics.com
________________________________
บรรดาสัญลักษณ์ต่างๆที่แสดงเป็นภาพหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสัญลักษณ์พื้นฐานทางตำนานความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณทั้งสิ้น ที่ประกอบกันเพื่อสื่อความหมายและแสดงออกถึงพิธีกรรมการเดินทางเข้าสู่ปีใหม่ของสุริยเทพ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลอดไฟฟ้าแต่อย่างใด
แต่ถึงแม้ว่าชาวอียิปต์โบราณจะไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าถึงขั้นผลิตหลอดไฟฟ้าได้จริง แต่เราก็คงจะปฏิเสธกันไม่ได้ใช่ไหมครับว่า วิทยาการที่ชาวอียิปต์มีอยู่จริงนั้น ก็ก้าวหน้าและก้าวล้ำเสียจริงๆครับ
ถ้าท่านผู้อ่านชอบศึกษาและค้นหาความจริงจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ก็ติดตามได้ จากนิตยสารต่วย'ตูนพิเศษนะครับ มีเรื่องน่าสนใจทั้งจากอดีตและอนาคตมานำเสนอแบบเข้าใจง่าย อ่านสนุกกันทุกต้นเดือนครับ.
ที่มา : http://www.mythland.org/v3/thread-6099-1-1.html
____________________
เครดิต : ต่วยตูนพิเศษ neutron.rmutphysics.com
________________________________