ในสมัยก่อน ผู้คนมักจินตนาการรูปร่างของสัตว์ คน และสิ่งอื่นๆ จากการจัดเรียงตัวของดวงดาวยามค่ำคืนที่อยู่บนท้องฟ้า เมื่อรวมๆ กันจะกลายเป็นกลุ่มดาว ในตอนนี้นักบินอวกาศได้นำรูปภาพที่คล้ายกับหน้าพร้อมกับรอยยิ้มในศูนย์กลางของภาพนี้มาเปิดเผย ซึ่งภาพนี้ถูกถ่ายโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิ้ล
ใบหน้านั้นอยู่ในกลุ่มของกาแล็กซี่ ซึ่งเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ของดวงดาว นักบินอวกาศได้ให้ชื่อกลุ่มดวงดาวนี้ซึ่งยากต่อการจดจำว่า SDSS J1038+4849
ดวงตาสองดวงที่เป็นสีส้มนั้นลอยอยู่เหนือกับจมูกที่เป็นแสงสีขาว ตาสองข้างนั้นจริงๆ แล้วเป็นกาแล็กซี่ที่มีความสว่างมากๆ ซึ่งอยู่ไกลประมาณ 4.5 พันล้านปีแสง รอยยิ้มและขอบของใบหน้านั้นไม่ได้มีอยู่จริงๆ เส้นที่เป็นส่วนโค้งเหล่านั้นเป็นแสงที่เกิดการบิดเบี้ยว ซึ่งมาจากผลกระทบที่เราเรียกกันว่า gravitational lensing ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จาก National Aeronautics and Space Administration and the European Space Agency (ESA) ได้อธิบายไว้
กลุ่มของกาแล็กซี่นั้นมีขนาดใหญ่มาก ในความจริงแล้ว พวกมันเป็นสิ่งที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในจักรวาล แรงโน้มถ่วงนั้นทำตัวคล้ายกับเลนส์ของแว่นตาที่มีความหนาหรือที่เรียกว่ากล้องโทรทรรศน์ แต่ gravitational lens นั่นมีความรุนแรงมากกว่าซึ่งมันไม่เพียงสามารถขยายแต่ยังบิดแสงด้านหลังของมันได้ด้วย “การค้นพบที่มากมายของกล้องฮับเบิ้ลนั้นเป็นไปได้ที่เกิดจากเลนส์แบบนี้” NASA ชี้แจงไว้
กว่าร้อยปีที่ผ่านมา Albert Einstein เป็นผู้เสนอคนแรกว่า แสงสามารถบิดโค้งได้โดยแรงโน้มถ่วงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฏีสัมพันธภาพ หลังจากนั้นอีก 21 ปี Einstein ได้เขียนวารสารทางวิชาการอธิบายเกี่ยวกับภาพของแสงที่ถูกบิดโค้งนั้นว่าสามารถเกิดขึ้นได้ มันได้รับขนานนามว่า Einstein ring เมื่อวัตถุขนาดใหญ่บางชนิดทำตัวคล้ายกับเลนส์ แสงที่โค้งอาจจะปรากฏขึ้นในลักษณะที่โค้งเป็นบางส่วนหรือเป็นวงกลม
ในภาพนี้ ภาพของแสงที่บิดโค้งได้ถูกสร้างขึ้นเป็นส่วนโค้งของรอยยิ้มและรูปโครงหน้า โดยดวงตานั้นทำให้เกิดเลนส์ขึ้นซึ่งทำให้เกิดรอยยิ้มเช่นนี้ แสงของมันมาจากแสงที่อยู่ด้านหลังของดวงตาซึ่งไกลกว่า 3 พันล้านปีแสง
นักบินอวกาศจับภาพลักษณะนี้ไว้ได้ในขณะที่ใช้กล้องฮับเบิ้ลสองตัว ศิลปิน Judy Schmidt ได้นำภาพนี้เข้าประกวดในงาน ESA’s Hubble’s Hidden Treasures contest
ที่มา : http://www.vcharkarn.com/vnews/501760
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ปรมาจารย์วิชาฟิสิกส์ชื่อดังของโลก อาจารย์ สตีเฟน ฮอว์กินส์, กล่าวเตือนย้ำอีกว่าระวังมนุษย์ต่างดาวจะบุกโลก ทำลายอารยธรรมและมนุษยชาติจนหมดสิ้น พร้อมกับเร่งเร้าเพิ่มการเดินทางในอวกาศเผื่อว่ามนุษย์จะพบที่หลบภัยใหม่
นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องชี้ว่า การเดินทางในอวกาศ นอกจากจะเป็นอนาคตระยะไกลแล้ว ยังเป็นหลักประกันของมนุษยชาติด้วย โดยได้อธิบายว่าการส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์นั้น เป็นการเปลี่ยนอนาคตของมนุษยชาติในทางที่ยังไม่สู้จะเข้าใจนัก มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาบนโลกได้ทันตา แต่มันก็ทำให้เราได้เห็นมิติใหม่ และรู้จักมองดูทั้งข้างในข้างนอก
“ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า อนาคตระยะไกลของชาติพันธุ์มนุษย์ จะต้องฝากความหวังไว้กับอวกาศ มันจะเป็นหลักประกันการอยู่รอดของเราในวันหน้าในฐานะเครื่องป้องกันการสูญหายของมนุษยชาติ จากการตกเป็นอาณานิคมของดาวเคราะห์ดวงอื่น” เขากล่าว.
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/483053
____________________
ต้องขอเกลิ่นนำก่อนว่า ฮิตเลอร์ สุดยอดผู้นำเผด็จการ มีความเชื่อในเรื่องของพลังเหนือธรรมชาติอยู่แล้ว เขาเชื่อว่าผู้ที่ได้ครอบครองพลังเหล่านั้นจะเป็นคนที่ถูกมอบหมายให้บริหารโลกนี้แต่เพียงผู้เดียว ฮิตเลอร์เชื่อในเรื่องเผ่าพันธ์เขามองว่า เผ่าอารยันที่มีผมสีทอง ตาสีฟ้า จะเป็นคนที่เข้ามาจัดการกับโลกนี้ให้ไปในเส้นทางที่ถูกต้อง
ฮิตเลอร์ ได้เสนอทฤษฏีที่ว่า ชาวเยอรมันนั้นมีต้นกำเหนิดมาจากชาวแอตแลนติส ที่เอาตัวรอดมาจากยุคน้ำแข็งได้สำเร็จจนมาสร้างความเกรียงไกรได้ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นชาวอารยันจึงมีความสำคัญต่อโลกในทุกๆทาง ทั้งการวิทยาศาสตร์ ศาสนา การเอาตัวรอด และการสงคราม นั่นนำมาสู่ความเชื่อและการกระทำที่ต้องคัดกรองมนุษย์ให้เหลือแต่อารยันแท้ๆ เท่านั้นที่สำคัญ ส่วนยิว หรือเผ่าอื่นๆต้องตายหรือถูกกำจัดไป
อย่างไรก็ตาม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นักวิทยาศาสตร์ของนาซีได้เข้าร่วมโครงการทดลองด้านอวกาศของสหรัฐฯเป็นจำนวนมาก โดยมีทางด้าน โจเซฟ แอนเดรียส์ วิศวกรคนหนึ่งของโครงการเปิดเผยว่า กองทัพนาซีสร้าง UFO ต้นแบบไว้ถึง 15 ลำ โดยห้องนักบินจะอยู่ส่วนกลางของตัวเครื่อง และมีปีกที่ปรับหมุนได้แผ่ออกเป็นวงกลม ซึ่งช่วยให้เครื่องสามารถลอยขึ้นได้
นอกจากนี้ อิกอร์ วิตคอว์สกี อดีตนักข่าวและนักประวัติศาสตร์การทหารชาวโปแลนด์ เขียนในหนังสือ “Prawda O Wunderwaffe” ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2000 ว่า กองทัพนาซีเคยสร้างเครื่องบินลักษณะคล้ายระฆังคว่ำ และ ฮิตเลอร์ สั่งให้รวบรวมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรมาช่วยงานกองทัพเป็นจำนวนมาก ซึ่งโครงการดังกล่าวของนาซีมีชื่อว่า “ชรีเวอร์-ฮาแบร์โมล” ทำการทดลองในกรุงปรากระหว่างปี 1941-1943 โดยมีรูดอล์ฟ ชรีเวอร์ เป็นวิศวกรและนักบินทดลอง และ ออตโต ฮาแบร์โมล เป็นวิศวกรคนที่ 2
ขณะเดียวกัน “พีเอ็ม” นิตยสารด้านวิทยาศาสตร์ ของประเทศ เยอรมัน ยังเปิดเผยอีกว่า กองทัพนาซีได้ทำลายบันทึกการทดลองทางวิทยาศาสตร์ไปเป็นจำนวนมาก แต่ในปี 1960 ผู้เชี่ยวชาญด้าน UFO ในแคนาดาได้ทดลองสร้างวัตถุดังกล่าวขึ้นใหม่ และพบว่ามันสามารถ บินได้จริง
ที่มา : http://www.flagfrog.com/top-secreat-ufo-hitler-plan/
____________________
พิษณุโลก-ชาวบ้านเนินมะปรางพบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์อายุกว่า360ล้านปี
พิษณุโลก-ชาวบ้านเนินมะปรางพบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์อายุกว่า360ล้านปี
เมื่อวันที่13ก.พ. มีชาวบ้านพบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์ ภายในคลองห้วยผึ้ง หมู่ 10 บ้านศาลเจ้า ต.บ้านน้อยซุ้มขี้เหล็ก อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ซึ่งอยู่ภายในไร่ของนายณัฐพงษ์ แก้วนวล อายุ 40 ปี อาชีพเกษตรกร
ที่เกิดเหตุพบชาวบ้านและนักอนุรักษ์กลุ่มเรารักเนินมะปราง กำลังจับกลุ่มยืนมุงดูซากฟอสซิลของพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์ที่เกาะตามโขดหิน และซอกหินจำนวนมาก หลังจากก่อนหน้านี้สภาพอากาศแห้งแล้ง ทำให้น้ำในลำคลองห้วยผึ้งแห้งขอดและลดลง และพบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์โดยบังเอิญ จึงได้แจ้งไปยังนักอนุรักษ์กลุ่มเรารักเนินมะปรางให้รับทราบเรื่องดังกล่าว
จากการตรวจสอบพบว่า ภายในคลองห้วยผึ้งบริเวณจุดที่พบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์ มีหินปูนขนาดใหญ่ จำนวน 4 ก้อน ซึ่งทุกๆ ก้อน เจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันใช้แปรงขัดและใช้น้ำราดชะล้างทำความสะอาดจนคราบตะไคร่น้ำออกจนหมด เผยให้เห็นถึงซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายเปลือกหอยแบนยาวประมาณ 5 – 10 ซม. เกาะติดฝังแน่นอยู่กับหินปูนทั่วทั้งก้อน
นอกจากนี้ยังพบว่า ที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาท่าพล ที่มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ ต.เนินมะปราง ต.บ้านน้อยซุ้มขี้เหล็ก ต.บ้านมุง ของ อ.เนินมะปราง โดยมีเนื้อที่ทั้งหมด 1,775 ไร่ ซึ่งอยู่ห่างจากคลองห้วยผึ้งจุดที่สำรวจพบซากฟอสซิลในวันนี้ ประมาณ 5 กม. โดยพื้นที่เป็นถ้ำและภูเขาหินปูน ก็มีการสำรวจพบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์เช่นกัน
สำหรับภูเขาผาท่าพลนั้นจัดเป็นเขาหินปูน อยู่ในมหายุคพาลีโอซีน (Palaeocene) และอยู่ในยุคย่อยคาร์บอนิฟอรัส (Caboniferus) มีอายุราว 286-360ล้านปีมาแล้ว เป็นภูเขาที่ทอดตัวยาวตามแนวเหนือ-ใต้ ภูเขาหินปูนบริเวณนี้
ส่วนมากเกิดจากการทับถมของเปลือกหอย พลับพลึงทะเล หรือปะการัง เมื่อตายแล้วถูกฝังในดินโคลน หรือทราย ก่อนจะเน่าเปื่อย และถูกฝังรักษาไว้ในหิน บางครั้งเปลือกหรือกระดูกของสัตว์ก็จะถูกแทนที่ด้วยแร่ธาตุ แต่ยังคงรูปร่างไว้เช่นเดิม จากการศึกษาและจำแนกซากดึกดำบรรพ์ทำให้ทราบว่า บริเวณนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน
ซึ่งหลังจากวันนี้ได้มีการสำรวจค้นพบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์แล้ว จะได้ติดต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้ามาดูแล และตรวจสอบหาอายุของซากฟอสซิลที่ค้นพบอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมทั้งจะประสานไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อหารือและปรับพื้นที่สำรวจพบเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ให้ประชาชนทั่วไป นักเรียน และนักศึกษา ได้เข้ามาศึกษาค้นคว้าประวัติความเป็นมาของวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้อีกด้วย
ที่มา : posttoday.com
____________________
ภาพวัตถุ ในเงามืด บนดาวอังคาร เมื่อลองปรับแสงสว่าง ถึงกับผงะ!!!
เมื่อวัตถุดังกล่าว คล้ายคลึง กับสิ่งมีชวิต หรือหุ่นยนต์ กำลังจ้องมองมาที่ยานสำรวจ
จะเป็นอะไร ต้องใช้ วิจารณญาณ ในการรับชมกันดูครับ
ภาพต้นฉบับ :http://www.midnightplanets.com/web/MERB/image/03789/1N464560442EFFCHT9P0755R0M1.html
____________________
เครดิต :เว็บต่างประเทศ
________________________________
เมื่อวัตถุดังกล่าว คล้ายคลึง กับสิ่งมีชวิต หรือหุ่นยนต์ กำลังจ้องมองมาที่ยานสำรวจ
จะเป็นอะไร ต้องใช้ วิจารณญาณ ในการรับชมกันดูครับ
ภาพต้นฉบับจากยานสำรวจ
ลองปรับแสง และสีเพิ่ม
ภาพต้นฉบับ :http://www.midnightplanets.com/web/MERB/image/03789/1N464560442EFFCHT9P0755R0M1.html
____________________
เครดิต :เว็บต่างประเทศ
________________________________
เป็นคำถามที่พวกเราเฝ้าถามกันมาตลอดว่า “มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่?” บางคนก็ไม่เชื่อ เพราะยังไม่เคยเห็นและยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่บางคนก็เชื่อเพราะจักรวาลนี้มันกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก ซึ่งก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาไม่น้อยกว่าชาวโลกอยู่บ้างแหละ แต่ทฤษฎีหลังนี้น่าจะมีแนวโน้มเป็นจริงมากขึ้น เมื่อมีแหล่งข่าวระดับสูงอ้างว่า
“มนุษย์ต่างดาวมีจริง และอยู่ปะปนกับมนุษย์โลกไม่ต่ำกว่า 80 ปีมาแล้ว”
สำนักข่าวท้องถิ่น เนวาด้าเดลี่เมล์ ได้รายงานเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อนักข่าวคนหนึ่งได้รับการติดต่อจากชายไม่ทราบชื่อ ที่ไม่ยอมบอกว่าตนเองเป็นใครมาจากไหน และได้ขอนัดนักข่าวไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่อาศัยอยู่บนโลก ซึ่งการพูดคุยครั้งนี้ ชายคนดังกล่าวไม่ขอเปิดเผยชื่อ ห้ามบอกรูปลักษณ์ภายนอกของเขา และไม่ยินยอมให้อัดวีดีโอและอัดเสียงเพื่อบันทึกการสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น
หลังจากได้พูดคุยกัน ชายคนดังกล่าว ซึ่งทางสำนักข่าวได้อ้างว่าเป็น “แหล่งข่าวระดับสูง” เคยทำงานอยู่ในแอเรีย 51 แต่ไม่ยอมบอกว่าทำตำแหน่งหน้าที่อะไร ได้เปิดเผยถึงข้อมูลที่ชาวโลกทุกคนสงสัย โดยมีข้อมูลที่สำคัญที่สรุปเอาไว้ได้ทั้งหมด 10 เรื่องดังนี้
แอเรีย 51
1. มนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง และอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์เรามานานกว่า 80 ปี
2. มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ค้นพบพวกเขา แต่พวกเขาติดต่อเรามาเอง
3. ช่วงเวลาที่ติดต่อมาคือ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือปี ค.ศ. 1946
4. หน้าตาของมนุษย์ต่างดาวเหมือนกับคนปกติ !! โดยพวกเขาอ้างว่า จริงๆ แล้วรูปลักษณ์ภายนอกปกติของพวกเขาไม่ได้เป็นแบบคนทั่วไป แต่เขามีวิธีการทำให้ตัวเองมีรูปลักษณ์แบบคนทั่วไปได้ (ข้อมูลตรงนี้ค่อนข้างเหลือเชื่อและขัดกับสิ่งที่เราเข้าใจมาโดยตลอดว่ามนุษย์ต่างดาวจะต้องตัวเล็ก หัวโต มีตาใหญ่ๆ เหมือนเอเลี่ยน)
5. พวกเขาติดต่อผ่านนายทหารระดับสูงของอเมริกาท่านหนึ่ง และหลังจากนั้นนายทหารท่านนั้นก็พาไปพบกับประธานาธิปดีสหรัฐในขณะนั้น (แฟรงคลิน ดี รูสเวลท์)
ภาพมนุษย์ต่างดาวจับมือกับนายทหารท่านหนึ่ง ไม่ทราบแหล่งที่มา แต่คาดเดาว่าไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ที่ชายดังกล่าวพูดถึง
6. ประเด็นที่เข้าพบคือเรื่องของสันติภาพของโลกในอนาคต สาเหตุจากสงครามโลกครั้งที่ 2 (ประเด็นการคุยเรื่องสันติภาจบแค่นี้ เพราะแหล่งข่าวไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า มนุษย์ต่างดาวมาเพื่อให้คำแนะนำหรือมาเพื่อบอกอะไรเราอีก)
7. จริงๆ แล้วมนุษย์ต่างดาวยังมีอีกหลายเผ่าพันธุ์ แต่พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ใกล้กับโลกมากที่สุดและมีสิ่งแวดล้อม แรงดึงดูด เวลาโคจรของดวงดาวใกล้เคียงกันมากที่สุด ส่วนเผ่าพันธุ์อื่นจะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจะโลกค่อนข้างมากและอยู่ไกลเกินกว่าจะมาถึงโลกได้บ่อยๆ แต่ก็มีแวะเวียนมาบ้าง
8. ส่วนเผ่าพันธุ์ของพวกเขาเพิ่งย้ายมาอยู่บนโลกมนุษย์อย่างเป็นทางการเมื่อ 10 มาแล้ว (10 ปีก่อนปี ค.ศ. 1946 ก็คือปี ค.ศ 1936)
9. พวกเขาย้ายมาอยู่บนมนุษย์โลกหลายสิบชีวิต แต่ละชีวิตกระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ บนโลก เป็นชนกลุ่มแรกของดาวเขาที่ทดลองย้ายเข้ามาอยู่เพื่อเรียนรู้และทดลองการใช้ชีวิต (นักวิทยาศาสตร์ในแอเรีย 51 และทีมงานหลายคนคาดเดาว่า อาจเป็นเพราะดาวของพวกเขาประสบปัญหาบางอย่าง และต้องการหาที่อยู่ใหม่)
10. พวกเขาเป็นมิตรกับมนุษย์แน่นอน หลังจากสงครามโลก จนถึงปัจจุบัน (2014) พวกเขาติดต่อกับพวกเรามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ส่วนใหญ่เป็นในการศึกษาและเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ และปัจจุบันก็มีพวกเขากว่า 100 ชีวิตอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
หรือพวกเขาจะมีลักษณะแบบนี้ ? คงไม่ใช่นะ
สำหรับข้อมูลการให้สัมภาษณ์ก็ถูกสรุปไว้เพียงคร่าวๆ เท่านี้ ส่วนคำถามสุดท้ายที่นักข่าวถามกับแหล่งข่าวไปก็คือ “ทำไมคุณถึงมาบอกข้อมูลนี้กับผม?” แหล่งข่าวบอกสั้นๆ แต่เพียงว่า “ถือว่าเป็นของขวัญวันคริสมาสต์สำหรับผมก็แล้วกัน ผมว่ามันถึงเวลาที่ทุกคนควรได้รู้ความจริงเสียที เพราะอีกไม่นานทุกคนก็จะต้องรู้ความจริงนี้อยู่แล้ว และที่สำคัญ ตอนนี้ผมไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกับที่นั่นอีกแล้ว” ชายคนดังกล่าวได้ทิ้งปริศนาเอาไว้
ซึ่งหลังจากที่ข้อมูลดังกล่าวถูกเผยแพร่ลงในเว็บไซต์เพียงไม่ถึง 2 วัน ก็ได้ถูกลบทิ้งไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีคำชี้แจงสั้นๆ ว่าเป็นการเข้าใจผิดของสำนักพิมพ์และต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ หรือว่ามันเป็นเรื่องจริงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการปกปิดเอาไว้หรือไม่ ? แล้วคุณล่ะ อาจแล้วเชื่อหรือไม่ว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริงและอาศัยอยู่บนโลกใบนี้กับเราด้วย !
ที่มา : petmaya.com/ , nevadadailymail