พุทธศาสนา นั้นมีอายุมากว่า 2,500 กว่าปี คริสตศาสนานั้นมีอายุมากว่า 2,000 ปี แต่ศาสนสถานแห่งนี้มีอายุกว่า 11,000 ปีล่วงมาแล้ว นับเป็น วัดที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเท่าที่มีการค้นพบมา
สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า Göbekli Tepe เป็นอาคารหินแกะสลักโดยมีแผ่นหินจัดเรียงเป็นวงกลม คาดว่าเป็น ศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเท่าที่มีการค้นพบในปัจจุบัน
Göbekli Tepe อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศตุรกี ในบริเวณจุดสูงสุดของเทือกเขา ที่อยู่ทางเหนือของเมือง Şanlıurfa
บนแถบยอดเขาแอนดีสแห่ง ทวีปอเมริกาใต้ ณ ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบริเวณที่แห้งแล้งที่สุดในโลก มีที่ราบขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่ตั้งของปริศนาชิ้นเบ้อเริ่มชิ้นหนึ่งของโลก ปริศนาที่ว่าเราๆท่านๆจะคุ้นเคยกันดีกับภาพอันมหึมาของลายเส้นบนพื้นโลก นาซก้า คือชื่อของที่ราบแห่งนั้น
ที่ราบนาซก้าปัจจุบันอยู่ในดินแดน ของทวีปเปรู ซึ่งประเทศนี้ได้มีปริศนามากมายทิ้งเหลือไว้ให้โลกได้ขบคิด เช่นเรื่องของอารยธรรมอินคา ที่มีเทวสถานอันโอฬารและมั่งคั่งไปด้วยทองคำ ความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรมของชนเผ่านี้เรียกได้ว่าคือหนึ่งในความ มหัศจรรย์ของอารยธรรมมนุษย์ ซึ่งนอกจากเมืองของชาวอินคาแล้ว
ปิระมิดทั้งหลายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกใบนี้ ล้วนแต่มีสถาปัตยกรรมและรูปแบบเป็นของตัวเอง นับว่าน่าแปลกนะครับ ปิระมิดเหล่านี้มีอยู่แทบจะทุกทวีป ทั้งใน ยุโรป อเมริกา แอฟริกา ตะวันออกกลางและตะวันออกไกล เอเชียแปซิฟิค รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราด้วย
อิรัค : สิ่งก่อสร้างทรงปิระมิดโบรารที่เราเรียกกันว่าซิกกูรัต(Ziggurat) ในเมือง Ur ของดินแดน Sumer โบราณ
Ziggurat อันยิ่งใหญ่ของชาวเมโสโปเตเมียโบราณ
ในราวปี 1930 นักบินชาวอเมริกันและออสเตรเลีย ได้รับภารกิจให้เป็นทีมสนับสนุนการสำรวจป่าลึกแห่งหนึ่งในนิวกีนี พวกเขาต้องทำการบินเพื่อลงจอดบนเกาะและลำเลียงเสบียงรวมไปถึงเครื่องมือต่างๆ แน่นอนว่าพวกเขาพบกับชาวพื้นเมืองของที่นั่น บนเกาะเล็กๆแถบนิวกีนีที่มีลักษณะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ชาวป่าประหลาดใจกับการมาของพวกเขา และยิ่งตระหนกกับ"นกยักษ์"ที่นักบินโดยสารมาด้วย นักบินทั้งสองมาที่เกาะบ่อยๆเพื่อส่งเสบียง และแน่นอน พวกเขาไม่ลืมที่จะทิ้งของฝากเล้กๆน้อยๆ เช่นอาหารกล่อง หรือ โค้ก ให้กับชาวป่าเพื่อสร้างมิตรภาพ ไม่มีใครเอะใจกับเหตุการณ์ช่วงนั้นจนกระทั่งเวลาผ่านไปสิบกว่าปี
นักสำรวจอีกทีมได้มาที่เกาะนี้ พวกเขาประหลาดใจกับพฤติกรรมของชนพื้นเมืองที่นี่ โดยเฉพาะเมื่อเครื่องบินของทีมสำรวจลงจอด ที่หมู่บ้านของชาวป่า นักสำรวจทีมนั้นได้พบกับเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวป่า เป็นรูปแกะสลัก"นกยักษ์"ที่เห็นได้ชัดว่าเลียนแบบเครื่องบินใบพัดสองชั้น เซอร์ไพรส์กว่านั้น... ชาวป่าเหล่านี้ได้ทำแม้กระทั่งกล่องที่เลียนแบบวิทยุสื่อสารของนักบินที่ทำ จากไม้ไผ่!!
The Yonaguni Factor
ณ บริเวณชายฝั่งของเกาะเล็กกระจ่อยร่อยในญี่ปุ่นนามว่า โยนากุนิ
ณ บริเวณชายฝั่งของเกาะเล็กกระจ่อยร่อยในญี่ปุ่นนามว่า โยนากุนิ
สิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายอนุสาวรีย์ยักษ์ได้จ่อมจมอยู่ใต้น้ำ
มันเป็นวิหารหินขนาดมหึมาที่แม้ปัจจุบันหลายฝ่ายก็ยังถกเถียง
และหาคำอธิบายที่ฟังขึ้นเกี่ยวกับมันไม่ได้ ประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุดก็คือว่า
อนุสาวรีย์แห่งโยรากุนินี้ เกิดขึ้นจากธรรมชาติหรือเกิดจากผลงานทางอารยธรรมของมนุษย์
ถ้าเป็นฝีมือมนุษย์ เทคโนโลยีขนาดไหนถึงจะรังสรรค์มันออกมาให้เกิดขึ้นได้ในรูปลักษณ์ที่โอ่อ่า
อลังการเช่นนี้ หากเกิดจากธรรมชาติ คำอธิบายเกี่ยวกับเหลี่ยมมุมและแนวกำแพงที่ตรงแหนวแม่นยำ
ราวกับเกิดจากการ วัดคำนวณของวิศวกรมือเอกนี่เล่า จะอธิบายอย่างไร?
โดยอุโมงค์ที่พบนั้น เมื่อใช้เรดาสำรวจมีความลึกถึง 120 ม.แต่นักโบราณคดีขุดได้เพียง 7 เมตรเท่านั้น
ภายในนั้นพบสัญลักษณ์รูปต่างๆมากมาย โดยสันนิษฐานกันว่าอุโมงค์นี้จะทะลุไปสู่ห้องได้อีก 3 ห้อง
และอาจเป็นกุญแจไขปริศนาแห่งอารยธรรมในสมัยนั้นด้วย
ตกเป็นข่าวใหญ่โต เมื่อสื่อหลายสำนักในต่างประเทศ
พูดถึงเด็กที่มีความทรงจำแปลกๆ
หลายคนได้ซักถามถึงความทรงจำครั้งเก่า
บ้างก็ว่าเป็นเด็กกลับชาติมาเกิดจากดาวอังคาร
เกี่ยวกับความทรงจำในอดีตชาติและสัมผัสพิเศษของเขา
ด้วยความตื่นเต้นแบบสุดๆ เขาใช้ค้อนและเครื่องมือขุด กระเทาะหินออกมาอย่างระมัดระวัง แทบไม่น่าเชื่อเลย สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเขาก็คือ รอยเท้าประทับเท้าข้างขวาของมนุษย์พร้อมด้วยตัวไทรโลไบต์ในหินก้อนเดียวกัน รอยประทับนี้คาดว่าเป็นรอยที่เจ้าของเท้าเหยียบลงไปในดินโคลน ซึ่งภูเขานี้เคยเป็นทะเลมาก่อน เวลาที่ผ่านไปก็ได้ทำให้ดินนี้แข็งเป็นหินและฝังรอยประทับเอาไว้ นี่มันอะไรกันครับคนที่ไหนถึงได้ไปมีชีวิตอยู่ในช่วงเดียวกับตัวไทรโลไบต์ 300 - ล้านปีก่อน... และที่มหัศจรรย์ไปยิ่งกว่านั้น อย่างที่ท่านสามารถเห็นได้ด้วยตาของท่านเองจากในภาพ เท้าข้างนั้นดันสวมรองเท้าเสียอีกแน่ะ
รอยเท้าดังกล่าวยาวประมาณ 10 นิ้ว เป็นเท้าขวาอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะรูปทรงของส่วนส้นเท้ามันชี้อยู่เห็นๆ แถมด้วยซากของตัวไทรโลไบต์ที่กับฝ่าเท้าอีก ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของรอยเท้าข้างนี้ เขาได้ทำกรรมขนานใหญ่คือเหยียบตัวไทรโลไบต์จนแบนแต๋ติดเท้า กลายเป็นหลักฐานรุ่นเก๋ากึ๊กให้คนรุ่นใหม่อย่างเราฉงนใจกันเล่นๆ
จากนั้นเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 1968 Antelope Spring ได้ถูกนักธรณีวิทยานาม Dr. Clifford Burdick เข้ามาสำรวจบ้าง ด้วยเวลาไม่นานนัก ดร.คลิฟฟอร์ด ก็ได้พบรอยเท้าของเด็กประทับอยู่ในหินเช่นกัน ท่านด็อกกล่าวว่า มันเป็นเรื่องน่าสนใจมากที่ได้พบรอยเท้าเช่นนี้ นี่เป็นรอยเท้าเด็กมีความยาวประมาณ 6 ฟุต ถือเป็นการค้นพบครั้งใหญ่ทางโบราณคดีเลยทีเดียว
ในวันที่ 8 กรกฎาคม 1947 เรืออากาศโทวอลเตอร์ โฮท ซึ่งเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกองทัพอากาศแห่งสหรัฐเมืองรอสเวลล์ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า กองทัพได้ครอบครองจานบินลำหนึ่ง ซึ่งตกลงมายังพื้นโลกเมื่อคืนวันที่ 4 กรกฎาคม 1947
บางครั้งบางคราวเมื่อเราได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์สุดพิสดารเหนือธรรมชาติ ที่ไม่อาจหาคำอธิบายได้หากเปิดเผยออกไปใครจะไปเชื่อ
เช่นเดียวกันนักปรจิตวิทยา หรือไซซิค หญิงชาวอเมริกัน มิเรียม ดีลิคาโด เคยถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวขึ้นไปบนยานอวกาศ แล้วเปิดมอนิเตอร์ให้ดูชะตากรรมของโลกในอนาคต ที่ต้องเผชิญกับมหาภัยพิบัติหนักที่สุดถึง 3 ประการ
มิเรียม ปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับเกือบ 20 ปี เมื่อเร็วๆนี้ เธอตัดสินใจ เปิดเผยกับสื่อมวลชน โดยพิจารณาแล้วว่า เหตุมหาภัยพิบัติโลกกำลังใกล้เข้ามาทุกที มีเรียม ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไปเมื่อครั้งเธอมีอายุ 22 ปี ขับรถยนต์เดินทางไปกับเพื่อนชาย 1 คน ไปตามถนนไฮเวย์ ระหว่างเมือง เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ ต้นเดือนตุลาคม ค.ศ. 1988 เธอถูกยานอวกาศต่างดาว หรือ ยู.เอฟ.โอ. ไล่ตาม
กลางป่าลึกของเม็กซิโกและกัวเตมาลา ลึกลงไปจากคาบสมุทรยูคาทานเป็นอดีตที่ตั้งของอาณาจักรมายา ซึ่งว่ากันว่าเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญสูงสุดเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่าสองพันปีล่วงมาแล้วนั่นเอง
ถึงจะมีความเจริญด้านอารยธรรมอย่างเหลือล้น มีร่องรอยของความรุ่งเรืองเหลืออยู่มากมาย แต่ที่มาและที่ไปของชาวมายาก็ยังเป็นความลับดำมืดอยู่ในหมู่นักประวัติ ศาสตร์ มายาเป็นที่รู้จักแก่ชาวโลกครั้งแรกในสมัยของการล่าอาณานิคม สเปนเป็นชาติแรกครับ ที่เข้าไปเหยียบย่ำดินแดนแห่งนี้ เหล่าชาวยุโรปในศตวรรษที่ 16 ต่างตื่นตะลึงไปตามๆกันเมื่อพบว่า กลางป่าลึกอันแสนรกร้างนั้นซุ่มซ่อนไปด้วยสิ่งก่อสร้างมากมาย โบราณสถานอันโอ่อ่าและปิระมิดที่สูงเสียดฟ้า คำเล่าลือเกี่ยวกับอาณาจักรนี้กระจายไปอย่างรวดเร็ว และดึงเอาผู้สนใจแห่กันมาศึกษาเสียมากมาย
ถึงจะมีความเจริญด้านอารยธรรมอย่างเหลือล้น มีร่องรอยของความรุ่งเรืองเหลืออยู่มากมาย แต่ที่มาและที่ไปของชาวมายาก็ยังเป็นความลับดำมืดอยู่ในหมู่นักประวัติ ศาสตร์ มายาเป็นที่รู้จักแก่ชาวโลกครั้งแรกในสมัยของการล่าอาณานิคม สเปนเป็นชาติแรกครับ ที่เข้าไปเหยียบย่ำดินแดนแห่งนี้ เหล่าชาวยุโรปในศตวรรษที่ 16 ต่างตื่นตะลึงไปตามๆกันเมื่อพบว่า กลางป่าลึกอันแสนรกร้างนั้นซุ่มซ่อนไปด้วยสิ่งก่อสร้างมากมาย โบราณสถานอันโอ่อ่าและปิระมิดที่สูงเสียดฟ้า คำเล่าลือเกี่ยวกับอาณาจักรนี้กระจายไปอย่างรวดเร็ว และดึงเอาผู้สนใจแห่กันมาศึกษาเสียมากมาย
1. มู ทวีปแห่งมารดร (Ancient Mu or Lemuria)
ก็เห็นพ้องต้องกันในวงการลึกลับศาสตร์แหละครับว่า อาณาจักรที่เก่าแก่ยืนนานที่สุดในโลกที่เป็นอารยธรรมของ"มนุษย์โลก"จริงๆนั้น คือ มู:ทวีปแห่งมารดร ระยะเวลาของอาณาจักรนี้ว่ากันว่า
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 27 พ.ค.ว่ามีการพบซากของสัตว์ประหลาดที่เชื่อว่ามาจากมหาสมุทร ที่บริเวณด้านใต้สะพานบรูคลินในมหานครนิวยอร์ค ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า ซากของสัตว์ประหลาดที่พบคือสัตว์ชนิดใด
พบสัตว์ประหลาดที่ริมทะเลสาบเมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ร่างกายเต็มไปด้วยขน แต่บริเวณหัวล้าน หน้าตาน่ากลัว ลำตัวยาว ขายาว มีหางคล้ายหนู
พยาบาล 2 คน จากหมู่บ้านคิทเชนอูห์เมย์กูซิบ เมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา พบสัตว์ประหลาด ขณะพาสุนัขออกเดินเล่นริมทะเลสาบ
มีนาคม 1995 ชาวบ้านที่ตำบลโอโรโดบิส และโมโรบิส แถบภูเชาตอนในของเกาะปอร์โตริโกต้องเผชิญกับสิ่งน่ากลัวที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาพบว่าแพะแกะของพวกตนนอนตายระเกะระกะเหมือนดั่งว่ามีใครทำร้ายพวกมัน ทีแรกก็ไม่ได้สนใจ คิดกันว่ามันอาจจะเป็นหมาป่าหรือหมาจิ้งจอก แต่พอสำรวจเจอเข้ากับรอยเจาะ 2 รูที่เปื้อนไปด้วยรอยเลือดเกรอะกรังขนาดเท่ากับหลอดกาแฟบนตัวสัตว์ทุกตัวที่นอนตาย ที่สำคัญที่สัตว์ที่ตายเหล่านี้สภาพศพตัวซีดเผือดและมีกลิ่นกำมะถันติดอยู่ แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีรอยเลือดอยู่ที่พื้นดินสักหยด แสดงว่าทุกตัวต้องถูกดูดเลือดจนหมดออกร่างไปจนหมด
ต่อมาเริ่มพบซากของสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นแพะ สุนัข ตายในลักษณะเดียวกันนี้มากขึ้น
ต่อมาเริ่มพบซากของสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นแพะ สุนัข ตายในลักษณะเดียวกันนี้มากขึ้น
แม้ว่าเราจะใช้กรรมวิธีในการดูออร่าที่มีความทันสมัยอย่างมาก แต่กระนั้น ทั้งสมรรถนะและประสิทธิภาพก็ยังจำกัดอยู่นั่นเอง เพราะเราจะได้เห็นแต่เพียงเฉพาะส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุดเท่านั้น ซึ่งตามหลักจิตวิทยาแล้วเราต้องการที่จะเห็นออร่าที่เป็นตัวตนทั้งหมดของเรา มากกว่าจะเป็นเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง ซึ่งทำให้เราไม่สามารถวิเคราะห์ตัวเองได้อย่างแน่ชัด ยิ่งไปกว่านั้น ประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีต ความสนใจทั้งมวล ทัศนคติ สิ่งที่เป็นความชอบพิเศษของเรา รวมไปถึงความอคติทั้งหลาย เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลต่อการสัมผัสรู้ของเราทั้งสิ้น
ออกจะโชคดีอยู่บ้างที่เราสามารถสร้างระยะความห่างนั้นขึ้นได้ด้วยการยื่นมือออกไปข้างหน้า ซึ่งอย่างน้อยก็ยังทำให้เรามองเห็นออร่าแม้จะค่อนข้างจำกัดก็ตาม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่ประการใดที่กรรมวิธีดูออร่าจากมือจึงเกิดขึ้น และถือได้ว่าเป็นกรรมวิธีในการดูออร่าของตนเองที่ค่อนข้างสะดวกและมีประสิทธิภาพ
โดยทั่วไปลักษณะของออร่าที่อยู่รอบมือของเราก็จะมีสีสัน และขนาดของการกระจายรัศมีได้ใกล้เคียงกับออร่าของตัวเองโดยรวมอยู่แล้ว
ออร่า(aura power) หรือการเปล่งแสงหรือรัศมีบางอย่างออกมารอบตัวคน
คำว่า ออร่า มาจากภาษาลาติน แปลว่า อากาศ มาจากภาษากรีก แปลว่า ลมหายใจ
แสง ออร่า อาจจะเป็นแสงสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็นหรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ตาสาม” ก็ได้
แสง ออร่า เป็นแสงซึ่งแตกต่างจากสิ่งชีวิตบางจำพวกสามารถแสดงคุณสมบัติของการเรืองแสงชีวภาพได้ด้วยตนเอง อันเป็นแสงเรืองสว่างปราศจากความร้อน ได้แก่ พวกเห็ดราบางชนิด แมงบางพันธุ์ ปลาที่อาศัยอยู่ทะเลลึก เป็นต้น
การมีแสงเรืองในตัวเองก็เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร การนำทาง หรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย …
คำว่า ออร่า มาจากภาษาลาติน แปลว่า อากาศ มาจากภาษากรีก แปลว่า ลมหายใจ
แสง ออร่า อาจจะเป็นแสงสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็นหรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ตาสาม” ก็ได้
แสง ออร่า เป็นแสงซึ่งแตกต่างจากสิ่งชีวิตบางจำพวกสามารถแสดงคุณสมบัติของการเรืองแสงชีวภาพได้ด้วยตนเอง อันเป็นแสงเรืองสว่างปราศจากความร้อน ได้แก่ พวกเห็ดราบางชนิด แมงบางพันธุ์ ปลาที่อาศัยอยู่ทะเลลึก เป็นต้น
การมีแสงเรืองในตัวเองก็เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร การนำทาง หรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย …
เมื่อประมาณ 5-6 ปี ที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ ได้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่บรรดาชาวไร่ ชาวนา ตลอดจนปศุสัตว์ต่างๆเป็นจำนวนมากเพราะเรื่องที่ว่า ก็เกี่ยวพันถึงชีวิตสัตว์เลี้ยงเป็นจำนวนมาก นั้นคือปรากฏการณ์ที่สัตว์เลี้ยงเช่น วัว แพะ แกะ ถูกฆ่าและโดนตัดเอาอวัยวะสำคัญบางส่วนไป โดยอวัยวะที่ถูกเฉือนไปนั้นก็ได้แก่ เนื้อบางส่วนตรงคอ อวัยวะสืบพันธุ์ หู ลิ้น หัวใจ เป็นต้น โดยใช้วิธีการหรือเครื่องมือที่ทันสมัยและล้ำหน้าเอามากๆ และทิ้งซากสัตว์จำนวนมากไว้ทุ่งร้าง