โลกหลากมิติ เจาะอดีตลับจากต่างดาว ตอน ผู้มาเยือนใต้พิภพ
อย่างแรกคือ มนุษย์จะพัฒนาศักยภาพด้านความคิดไปเรื่อยจนเป็น Super Human-Human ที่มีขนาดสมองเท่ากับรถยนต์ขนาดเล็ก
และอีกทางคือ การพัฒนาด้านร่างกายและความแข็งแกร่งขนเป็น Superman-like อย่างไรก็ตามนักวิชาการบางคนบอกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะอีกต่อไปเพราะมีเทคโนโลยีเข้ามาหยุดยั้งความสามารถในการเอาตัวรอดทางธรรมชาติไปแล้ว
เช่นเดิม คำตอบก็ยังไม่เป็นที่ยืนยัน แต่ไม่ต้องสงสัยเลย ลักษณะของมุนษย์จะเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา จากการค้นคว้าในปี 2009 ของมหาวิทยาลัยPennsylvaniaพบว่า ภายในปี ค.ศ. 2409
แล้วอะไรคือคำตอบที่แท้จริง
เช่นเดิม คำตอบก็ยังไม่เป็นที่ยืนยัน แต่ไม่ต้องสงสัยเลย ลักษณะของมุนษย์จะเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา จากการค้นคว้าในปี 2009 ของมหาวิทยาลัยPennsylvaniaพบว่า ภายในปี ค.ศ. 2409
ผู้หญิงจะเตี้ยลงโดยเฉลี่ย 2 เซนติเมตรและหนักขึ้นกว่าเดิม 2 กิโลกรัม แน่นอนว่านักวิทยาศาสตร์ผู้ทำโครงการยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถหยุดยั้งโดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร แต่นี่จะหมายความว่ารูปร่างของมนุษย์อาจจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยใช่ไหม
คำตอบคือ ไม่ มันจะเปลี่ยนแต่ก็ยากที่จะคาดการณ์ได้ทั้งรูปร่างและเวลาที่จะเปลี่ยน เพราะการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลาและความเจ็บปวด ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานว่ารูปร่างของมนุษย์ยังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
คำตอบคือ ไม่ มันจะเปลี่ยนแต่ก็ยากที่จะคาดการณ์ได้ทั้งรูปร่างและเวลาที่จะเปลี่ยน เพราะการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลาและความเจ็บปวด ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานว่ารูปร่างของมนุษย์ยังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ก็ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงยังไงกันแน่ วิทยาการณ์แขนงใหม่ๆจะเป็นตัวการหลักที่ยับยั้งการหยุดการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติของเราเพื่อให้พวกเราเป็นผู้เลือกเอง
แต่ในขณะเดียวกัน โรคระบาด ภัยธรรมชาติ และวิกฤติวันสิ้นโลก (อุกกาบาตชนโลก) ก็ยังเป็นตัวแปรสำคัญของการเลือกทางธรรมชาติเช่นกัน แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือ ถ้าอยากรู้ว่าในอนาคตมนุษย์จะมีรูปร่างอย่างไร พวกเราก็ต้องสามารถรู้อนาคตที่แน่นอนให้ได้เสียก่อน (ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้)
เพราะว่ามนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้โดยโดดเดี่ยว การผสมข้ามสายพันธุ์จะเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อเอาตัวรอด ซึ่งหลายๆคนก็เห็นว่านี่แหล่ะ คือภาวะที่โลกเป็นอยู่ตอนนี้ เนื่องจากมนุษย์ในปัจจุบันสามารถเดินทางไปได้ทั่วโลกและมีบุตรหลานกับคนจากต่างเชื้อ ชาติ ศาสนา หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเราสามารถทำได้ด้วยการควบคุมการสืบพันธุ์นั่นเอง
มนุษย์สามารถเลือกได้ว่าจะเลือกใครเป็นคู่ครอง และส่วนมากวัฒนธรรมเป็นตัวการสำคัญ ตัวอย่างเช่น เราตีค่าบุคคลที่ฉลาด มีรูปร่างดี ว่าเหมาะสมกับเราเสมอ ดังนั้นถ้าหากค่านิยมนี้ยังคงคงที่ต่อไป สิ่งนี้ก็จะเป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ พวกเราจะฉลาดขึ้นและแข็งแรงกว่าเดิม ในปัจจุบันมนุษย์ยังสามารถตรวจเช็ตทารกที่อยู่ในครรภ์ได้ด้วยเครื่องมือการแพทย์ และสามารถตัดสินใจเอาเด็กที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์ออก
เป็นไปได้ว่าเราจะสามารถเอาชนะเหนือกฏของร่างกายและเทคโนโลยีทั้งมวลและเปลี่ยนเป็นระบบชีวภาพในร่างกายเรา พวกเราจะกลายเป็น transhuman เช่น ไซบอร์ก (ครึ่งคนครึ่งหุ่นยนต์) เราอาจจะสามารถสแกนสมองตัวเองและเปลี่ยนลงไปในเครื่องจักร บิค บอสตรอม ผู้อำนวยการของสถาบัน the Future of Humanity Institute จากอ็อกฟอร์ดกล่าวว่า เราจะสามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงโดยการเปลี่ยนตัวเองเป็นข้อมูล บางทีก็อาจจะดาวโหลดข้อมูลลงหุ่นยนต์เพื่อไปเดินเที่ยวเวลาว่างๆ ใช้ความคิดได้เร็วกว่าเดิมด้วยระบบปฏิบัติการขั้นสูงสุด และบางทีอาจจะไม่ต้องกินอาหารเพื่อพลังงานอีกเลย
หากว่าเราสามารถหาที่อยู่ใหม่นอกโลกได้ พวกเราจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้นๆ เพราะที่โลกใหม่นั้นอาจจะมีแรงโน้มถ่วงไม่เท่ากับเรา กล้ามเนื้อในตัวเราจะเปลี่ยน โลกพวกนั้นจะร้อนไม่ก็หนาวกว่าโลกของเรา และมีรังสีที่โลกเราไม่มี ดังนั้นเมลานินในผิวเราก็จะเปลี่ยนไปและสีผิวของเราก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของเราจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงของโลกขนานใหญ่ และพวกเราก็คงแทบจะไม่รู้ตัวถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงนั้น จอห์น ฮอคค์ นักมานุษวิทยากล่าวว่า ตั้งแต่ที่คนกลุ่มแรกย้ายถิ่นมาที่อเมริกาเมื่อ 14,000 ปีก่อน จนถึงตอนนี้ รูปร่างของมนุษย์เราก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย
ที่มา : http://www.nextsteptv.com/mysci/?p=3224
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
แต่ถ้าจะพิจารณาถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ทฤษฏีต่างๆที่เคยปรากฏมีดังนี้
ทฤษฏีที่ 1 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ
เพราะว่ามนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้โดยโดดเดี่ยว การผสมข้ามสายพันธุ์จะเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อเอาตัวรอด ซึ่งหลายๆคนก็เห็นว่านี่แหล่ะ คือภาวะที่โลกเป็นอยู่ตอนนี้ เนื่องจากมนุษย์ในปัจจุบันสามารถเดินทางไปได้ทั่วโลกและมีบุตรหลานกับคนจากต่างเชื้อ ชาติ ศาสนา หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเราสามารถทำได้ด้วยการควบคุมการสืบพันธุ์นั่นเอง
ทฤษฏีที่ 2 เราจะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามแรงขับเคลื่อนของรูปแบบวัฒนธรรม
มนุษย์สามารถเลือกได้ว่าจะเลือกใครเป็นคู่ครอง และส่วนมากวัฒนธรรมเป็นตัวการสำคัญ ตัวอย่างเช่น เราตีค่าบุคคลที่ฉลาด มีรูปร่างดี ว่าเหมาะสมกับเราเสมอ ดังนั้นถ้าหากค่านิยมนี้ยังคงคงที่ต่อไป สิ่งนี้ก็จะเป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ พวกเราจะฉลาดขึ้นและแข็งแรงกว่าเดิม ในปัจจุบันมนุษย์ยังสามารถตรวจเช็ตทารกที่อยู่ในครรภ์ได้ด้วยเครื่องมือการแพทย์ และสามารถตัดสินใจเอาเด็กที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์ออก
ทฤษฏีที่ 3 การพัฒนาจะไปตามเครื่องมืออิเล็กทรอนิค
เป็นไปได้ว่าเราจะสามารถเอาชนะเหนือกฏของร่างกายและเทคโนโลยีทั้งมวลและเปลี่ยนเป็นระบบชีวภาพในร่างกายเรา พวกเราจะกลายเป็น transhuman เช่น ไซบอร์ก (ครึ่งคนครึ่งหุ่นยนต์) เราอาจจะสามารถสแกนสมองตัวเองและเปลี่ยนลงไปในเครื่องจักร บิค บอสตรอม ผู้อำนวยการของสถาบัน the Future of Humanity Institute จากอ็อกฟอร์ดกล่าวว่า เราจะสามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงโดยการเปลี่ยนตัวเองเป็นข้อมูล บางทีก็อาจจะดาวโหลดข้อมูลลงหุ่นยนต์เพื่อไปเดินเที่ยวเวลาว่างๆ ใช้ความคิดได้เร็วกว่าเดิมด้วยระบบปฏิบัติการขั้นสูงสุด และบางทีอาจจะไม่ต้องกินอาหารเพื่อพลังงานอีกเลย
ทฤษฏีที่ 4 มนุษย์ต่างดาวคือตัวแปร
หากว่าเราสามารถหาที่อยู่ใหม่นอกโลกได้ พวกเราจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้นๆ เพราะที่โลกใหม่นั้นอาจจะมีแรงโน้มถ่วงไม่เท่ากับเรา กล้ามเนื้อในตัวเราจะเปลี่ยน โลกพวกนั้นจะร้อนไม่ก็หนาวกว่าโลกของเรา และมีรังสีที่โลกเราไม่มี ดังนั้นเมลานินในผิวเราก็จะเปลี่ยนไปและสีผิวของเราก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของเราจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงของโลกขนานใหญ่ และพวกเราก็คงแทบจะไม่รู้ตัวถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงนั้น จอห์น ฮอคค์ นักมานุษวิทยากล่าวว่า ตั้งแต่ที่คนกลุ่มแรกย้ายถิ่นมาที่อเมริกาเมื่อ 14,000 ปีก่อน จนถึงตอนนี้ รูปร่างของมนุษย์เราก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย
ที่มา : http://www.nextsteptv.com/mysci/?p=3224
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง The Matrix คงจะจำกันได้ว่าพระเอกของเราสามารถเรียนรู้กังฟูได้ในเวลาชั่วพริบตาด้วยการโหลดเอาความรู้วิชากังฟูเข้าสู่สมอง ถึงแม้วิธีดังกล่าวจะฟังดูแฟนตาซีเกินจริงอยู่มาก แต่ในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบวิธีที่ใกล้เคียงกับในหนังแล้ว
นักวิจัยจากห้องทดลอง HRL ในแคลิฟอร์เนียกล่าวว่าพวกเขาได้ค้นพบวิธีที่จะทำให้การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆรวดเร็วขึ้น พวกเขาได้ทำการศึกษาคลื่นไฟฟ้าในสมองของนักบินฝึกหัดที่กำลังเรียนรู้การขับเครื่องบินผ่านโปรแกรมจำลองการบิน หลังจากนั้นก็ป้อนข้อมูลเข้าไปในสมองของพวกเขา ผลปรากฎว่านักบินฝึกหัดที่ได้รับการกระตุ้นด้วยวิธีดังกล่าวสามารถเรียนรู้การขับเครื่องบินได้ดีขึ้น 33% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการกระตุ้น ภายในระยะเวลาเดียวกัน
วิธีการป้อนข้อมูลดังกล่าวนี้จะเริ่มจากการศึกษาคลื่นไฟฟ้าในสมองของนักบินมืออาชีพเวลาขับเครื่องบิน หลังจากนั้นทำการเลียนแบบคลื่นไฟฟ้าในสมองของนักบินฝึกหัดให้เหมือนกับนักบินมืออาชีพ ผลของการกระทำดังกล่าวจะทำให้นักบินฝึกหัดเรียนรู้การขับเครื่องบินได้เร็วขึ้น
แม้ในปัจจุบัน การทดลองดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่ ดร. Matthews ผู้ทำการวิจัยเชื่อว่าในอนาคตวิธีการกระตุ้นสมองเช่นนี้จะพัฒนาไปจนถึงระดับที่สามารถทำให้มนุษย์เรียนรู้ทักษะต่างๆ เช่น การขับรถ การเรียนภาษา ได้ในระยะเวลาอันสั้น ใกล้เคียงกับที่เราเห็นในหนัง
ที่มา : https://www.advice.co.th/it-news/1435
____________________
เครดิต : http://www.aripfan.com/matrix-style-learning/
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ นักโบราณคดี จากสำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช ได้ลงพื้นที่สำรวจโบราณสถานในเขตเขาชัยบุรี อ.เมืองเก่า จ.พัทลุง ซึ่งอยู่ในพื้นที่วนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี จ.พัทลุง
โดยนายบำรุงรัตน์ พลอยดำ นักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ หัวหน้าวนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี พบแนวอิฐซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานอย่างชัดเจน ขณะกำลังปรับไถหน้าดินบริเวณพื้นที่สำหรับใช้ก่อสร้างอาคารทรงไทย จึงหยุดดำเนินการ และแจ้งนักโบราณคดี จากสำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช เข้าตรวจสอบ
จากการตรวจสอบในเบื้องต้น หลักฐานที่พบบริเวณที่คาดว่าจะเป็นวัดในยอ (ร้าง) นั้น เพราะร่องรอยที่พบส่วนใหญ่จะเป็นก้อนอิฐ โดยปรากฏทั้งแบบสมบูรณ์ และหักพัง อิฐบางก้อนยังพบเศษคราบปูนเกาะทับ และยังพบใบเสมา ที่ยังคงปักอยู่ในดิน จึงกล่าวได้ว่าโบราณสถานแห่งนี้น่าจะเป็นวัด หรือสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
เมื่อนําลักษณะของอิฐที่พบนั้นมาเปรียบเทียบ จะพบว่าลักษณะของอิฐน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นอย่างน้อยในสมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 21) เป็นต้นมา ประกอบกับหลักฐานจากเอกสารต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเมืองเก่าชัยบุรีแห่งนี้ น่าจะเป็นเมืองที่มีความสําคัญ และใกล้ชิดกับเมืองหลวงอีกเมืองหนึ่ง เนื่องจากได้รับการออกแบบผังเมือง กําแพงเมือง และป้อมปราการ โดยมองสิเออร์เดอ ลาร์มา วิศวกรชาวฝรั่งเศส ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2299)
ที่มา : http://www.matichon.co.th/news/54173
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________