คุณเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่า? ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีรายงานกว่า 100,000 รายงาน ในการพบจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวจากทั่วโลก ซึ่งมีทั้งเรื่องจริงหรือไม่จริงบ้าง รวบรวมมาให้ ท่าน 10 เรื่องที่คิดว่าดังที่สุดแล้วสำหรับเรื่องของมนุษย์ต่างดาว เพื่อให้คุณพิจารณาว่ามนุษย์ ต่างดาวมีจริง!!
อับดับที่ 10 เทปวีดีโอผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว
ในโลกาใบนี้ ยังมีสิ่งชีวิตบางจำพวกสามารถแสดงคุณสมบัติของการเรืองแสงชีวภาพได้ด้วยตนเอง
เป็นแสงเรืองสว่างปราศจากความร้อน ได้แก่ พวกเห็ดราบางชนิด แมงบางพันธุ์ ปลาที่อาศัยอยู่ทะเลลึก เป็นต้น การมีแสงเรืองในตัวเองก็เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร การนำทาง หรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย …
ความลึกลับของเด็กสองคนที่มีผิวกายสีเขียว ถูกยึดถือเป็นข้อพิสูจน์เรื่องมิติที่สี่ โดยนักวิจัยทางวิญณาญและภูตผีปีศาจ นิยายปรัมปราก็ดี การถือโชคลางก็ดี และการบิดเบือนความจริงก็ดี อาจจะบดบังความจริงเสีย แต่ข้อเท็จจริงยังคงมีอยู่ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งอุบัติขึ้นที่เชิงเขาประเทศสเปน วันหนึ่งในค.ศ. 1887
บ่ายวันหนึ่งแห่งเดือนสิงหาคม ค.ศ.1887 เด็กสองคนจูงมือกันเดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่งที่เชิงผาใกล้หมู่บ้านบานโฮเซ ในประเทศสเปน เข้าไปในนาซึ่งคนงานกำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นราว 90 ปีมาแล้วก็จริง แต่ก็มีผู้ที่มีชีวิตอยู่หลายคนซึ่งยังจำเหตุการณ์นั้นได้ดี ไม่ต้องสงสัยเลย อาจมีการเล่าเกินความจริงไปบ้าง และอาจบิดเบือนความจริงไปบ้างก็ได้ แต่ข้อเท็จจริงอันเป็นมูลฐานของเรื่องนี้ที่รู้สึกว่าไม่สามารถโต้แย้งได้ก็คือ เด็กสองคนนั้นเดินออกมาจากปากถ้ำอย่างปราศจากอาการหวาดกลัวจริงๆ ทั้งสองคนพูดภาษาที่แปลกและกระท่อนกระแท่น กับทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ประกอบด้วยวัสดุที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
และที่ประหลาดที่สุดก็คือ...ผิวกายเป็นสีเขียวขจี นับเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ ปราศจากเหตุผลแต่ก็ไม่ต้องการคำอธิบาย แม้กระนั้นนักวิจารณ์เกี่ยวแก่ภูตผีปีศาจก็ปักใจเชื่อว่า บางทีอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่มีคุณค่าที่สุดเท่าที่พวเขาเคยได้รับเกี่ยวแก่มิติที่สี่ โลกซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับโลกของเรา เป็นแดนสนธยาซึ่งเด็กสองคนนั้นรอดพ้นออกมาได้ จะด้วยวิธีหนึ่งวิธีใดก็ตาม
ทฤษฎีก็คือว่า เด็กสองคนนี้ตกเข้าไปในของเหลวหรือก๊าซในอวกาศ เหมือนดังคนที่ตกลงไปในโพรงน้ำแข็งและไม่สามารถกลับออกมา จึงได้เข้าไปสู่ที่ราบของมิติที่สาม แล้วเลยเข้าไปในมิติที่สี่ และไม่สามารถกลับมาได้
ประหลาดมหัศจจรย์หรือ? อาจเป็นไปได้ แต่ในบรดาทฤษฎีทั้งหมดที่นำมาพิจารณาเกี่ยวแก่การปรากฏตัวของเด็กที่ผิวกายสีเขียวนี้ ก้เป็นทฤษฎีเดียวเท่านั้นที่พอจะนำมาอธิบายได้เป็นซ้ำสอง
ในไม่ช้า หลังจากปรากฏการณ์นี้ นักบวชรูปหนึ่งเดินทางจากบาร์เซโลนาเพื่อทำการสอบสวน นักบวชรูปนั้นได้เห็นเด็กทั้งสอง และได้ซักถามประจักษ์พยาน และต่อมาก็ได้เขียนรายงานขึ้นไว้ ความว่า
“อาตมาประหลาดใจมากที่มีประจักษ์พยานรู้เรื่องมากมาย จนต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจ และคลี่คลายได้ด้วยอำนาจแห่งสติปัญญา”
พวกชาวนาที่เกี่ยวข้าวกำลังพักผ่อนรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ เมื่อเด็กประหลาดคู่นั้นปรากฏตัวขึ้นที่ปากถ้ำบนเชิงเขา ทั้งสองมีอาการเงอะงะร้องไห้โฮออกมาอย่างเปิดเผย และที่ประหลาดมากก็คือทั้งสองคนมีผิวกายสีเขียวเข้ม
ด้วยความไม่เชื่อ คนทำงานพากันวิ่งกรูเข้าไปหาเด็กสองคนนั้น ฝ่ายเด็กก็ตื่นตกใจและออกวิ่ง ผู้คนเลยแตกตื่นวิ่งไล่ตาม ในที่สุดก็ตามทันและจับตัวไว้ได้นำไปที่หมู่บ้าน
ทั้งสองคนถูกนำตัวไปที่บ้านของริคาร์โด ดา คาลโน ผู้ซึ่งเป็นทั้งนคราภิบาล และเจ้าของที่ดินคนสำคัญของหมู่บ้าน
ดา คาลโนพยายามพูดจากับเด็กคู่นั้น ส่วนตนอื่นๆ โผล่หน้าต่างดู เขาจับมือขวาของเด็กผู้หญิงยกขึ้นดู ปรากฏว่าสีเขียวติดแน่น จึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อของผิวกายอย่างไม่ต้องสงสัย
เด็กคนนั้นดึงมือกลับ แล้วร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เจ้าของบ้านจัดอาหารมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเด็กทั้งสอง แต่เด็กก็ไม่รับประทาน หยิบขนมปังขึ้นมาถือไว้แล้วหยิบผลไม้ แต่ก็เพียงมองดูด้วยความแปลกใจ ไม่ยอมเอามันเข้าไปใกล้ปาก
ดา คาลโนพยายามสังเกตดูรูปร่างของเด็กทั้งสอง แม้ว่าจะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ธรรมดา แต่ใกล้ไปทางเผ่าพันธุ์นิกรอยด์เล็กน้อย นัยน์ตากลมเหมือนผลมะนาว และลึก
เด็กทั้งสองพักอยู่ในบ้านนั้น 5 วัน ไม่กินอะไรเลยจนสังเกตเห็นได้ว่าอ่อนเพลีย ไม่ทราบว่าอาหารอะไรจึงจะเป็นที่พึงใจเขาทั้งสอง
มีรายงานฉบับหนึ่งกล่าวว่า “ได้มีการนำเอาถั่วที่ตัดหรือเด็ดจากต้นเข้ามาในบ้าน ปรากฏว่าเด็กทั้งสองกรากเข้าหยิบเอาไปฉีกอย่างตะกรุมตะกราม แต่ไม่ยักฉีกที่ฝัก กลับไปฉีกที่ลำต้น คงเข้าใจว่าเม็ดถั่วอยู่ในโพรงลำต้น
“เมื่อไม่พบอะไร เด็กทั้งสองก็ตั้งต้นร้องไห้อีกครั้งแล้วใครคนหนึ่งจึงฉีกฝักถั่วให้ดู เมื่อนั้นแหละ ทั้งสองจึงดีใจมาก และกินถั่วเข้าไปตั้งมากมาย และตั้งนั้นมาก็ไม่ยอมแตะต้องอาหารอื่นใดอีกเลย”
แต่การอดอาหารมาหลายวันดูเหมือนจะเป็นอันตรายแก่เด็กทั้งสองนั้นอย่างร้ายแรง ทั้งๆที่ได้กินถั่วแล้วเด็กผู้ชายก็อ่อนเพลียลงเรื่อยๆ จนในที่สุดได้ถึงแก่กรรมลง หลังจากมาที่ปรากฏตัวได้ที่นั่นหนึ่งเดือน ศพของเขาก็ได้ถูกฝังไว้ในสุสานของหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตามส่วนเด็กหญิงกลับแข็งแรงดี และทำหน้าที่เป็นคนรับใช้อยู่ในบ้านของ ดา คาลโน ผิวกายที่เป็นสีเขียวค่อยๆจางลง และเป็นคนแปลกประหลาดของหมู่บ้านน้อยลง หลังจากนั้น 2-3 เดือนเธอก็พูดภาษาสเปนได้บ้าง จึงสามารถให้ถ้อยคำชี้แจงแก่ดา คาลโนได้ถึงเรื่องราวในการมาของเธอ แต่แม้กระนั้นก็ยังทำให้ความลึกลับที่มีอยู่แล้วกลับมีมากยิ่งขึ้น
เธอบอกว่าเธอมาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งมีมีพระอาทิตย์ขึ้น และมีแสงสนธยาอยู่เสมอเป็นนิจ “มีดินแดนที่มีแสงสว่างแลเห็นอยู่ห่างไกลจากเรา แต่ถูกสกัดกั้นโดยธารน้ำที่กว้างมาก” เธอบอก
ต่อคำถามที่ว่าทั้งสองคนมาสู่พิภพของเราได้อย่างไร เธอตอบได้แต่เพียงว่า “มีเสียงหนึ่งดังมากขึ้น และเสียงนั้นเองที่ตรึงจิตใจของเรา เราจึงมาตามเสียงนั้นและได้พบตัวเองมาอยู่ในทุ่งนาที่กำลังมีการเก็บเกี่ยว”
นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่เธอเล่าให้ฟัง และบางทีเธออาจทราบทั้งหมดเพียงเท่านั้นเอง เด็กผู้หญิงมีวิตอยู่อีกห้าปี แล้วเธอเองก้ตายตามไปอีกคนนึ่ง ศพของเธอถูกฝังไว้เคียงข้างกับศพพี่(หรือน้อง) ชายของเธอ
นับเป็นเรื่องราวที่ประหลาดมหัศจรรย์ มันเป็นเรื่งปรัมปราที่เล่ากันมาในอดีต เป็นเรื่องโกหกหลอกลวงหรือเป็นเรื่องที่เล่ากันให้แปลกและตื้นเต้นสืบต่อกันมาลายชั่วคนกระนั้นหรือ?
แต่ถึงอย่างไร เอกสารต่างๆ ก็ยังคงมีอยู่พร้อมด้วยถ้อยคำให้การของบรรดาประจักษ์พยาน ที่ได้สาบานตนว่าจะพูดความจริงและล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ได้สัมผัสเนื้อตัวมนุษย์ประหลาดซึ่งจูงมือกันเดินออกมาจากโพรงในพื้นดินทั้งสิ้น
มีทฤษฏีหลายอย่างที่เกี่ยวแก่เรื่องนี้ อาทิเช่น เด็กนั้นอาจมาจากดาวอังคาร ดวงดาวซึ่งเย็นลงแล้วและที่เชื่อกันว่าพันธุ์ไม้ที่อาจเป็นสีน้ำเงิน หรือสีเขียวขจีเหมือนผิวกายของเด็กทั้งสอง อย่างที่พบในตอนสูงๆของภุเขาแอลป์ส์
แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทราบถึงสิ่งมีชีวิตที่ใต้พื้นพิภพว่ามีจริงและเคยโผล่ออกมาให้เห็นจากโพลงลึกลงไปในดิน
ที่มา : โลกพิศวง สันตสิริ
James Churchward นายพันผู้สนใจปรัชญาตะวันออก ได้เดินทางไปพำนักที่อินเดีย โดยอาศัยอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งใกล้เมือง Rishi ด้วยความสนใจด้านตำนานโบราณ เชิร์ชวาร์ดได้สนิทสนมกับนักบวชผู้ใหญ่รูปหนึ่งอย่างรวดเร็ว ความใฝ่รู้ของเขาทำให้นักบวชเกิดความพอใจ
และถ่ายทอดตำนานเร้นลับที่สาปสูญมานานนับพันปีเรื่องหนึ่งให้กับเขา ไม่เพียงแต่ตำนานครับ นักบวชท่านนั้นยังได้ถ่ายทอดภาษาโบราณที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นภาษาดั้งเดิมของมนุษยชาติให้กับเชิร์ชวาร์ด นายพันหนุ่มใหญ่รู้สึกทึ่งระคนกับอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับเรื่องราวที่เขาได้ศึกษามาหลังจากนั้น ยิ่งแกะรอยลึกเข้าไปเขาก็ยิ่งงงงัน เพราะเรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงที่เขาเรียนรู้มา มันเพียงพอที่จะพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้เลยทีเดียว เจมส์ เชิร์ชวาร์ดตั้งปณิธานไว้กับตัวเองว่า เขาจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เพราะทั่วโลกยังทีดินอดนต่างๆอีกมากมายที่รอให้เขาบุกเบิก เพื่อศึกษาเข้าไปถึงแก่นลึกของอาณาจักรโบราณที่ล่มสลายไปแล้วเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ทวีปแห่งมารดร... มู เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2411 ครับ
เมื่อกล่าวถึงอาณาจักรมูแล้วไม่กล่าวถึงคนๆนี้ก็ดูดหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่างครับ บุคคลที่ว่าเป็นนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสชื่อ ชาร์ลส-เอเตียน บราสเซอร์ เดอ บอร์บอร์ก ซึ่งนับเป็นคนแรกเลยที่ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับทวีปมูขึ้นมาเดอ บอร์บอร์ก เคยศึกษาอยู่ในอเมริกาครับ ระหว่าที่เขากำลังศึกษาเรื่องราวของชาวมายาอยู่นั้น (พ.ศ. 2407) เขาได้แปลเอกสารโบราณส่วนหนึ่งของชาวมายาออกมา
หลักฐานที่ค้นพบทั้งหลายแหล่นำมาสู่คำถามที่ว่า ทวีปแห่งมารดรหรือมูนี้ได้สูญหายไปในอดีตกาลหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงแค่ตำนานของคนรุ่นก่อนเท่านั้น หากมีจริง มู ตั้งอยู่ที่ไหน
ควรจะมีลักษณะของภูมิศาสตร์หรืออารยธรรมเป็นเช่นไร?ว่ากันว่าทวีปมู ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิค ซึ่งประสบภัยพิบัติคล้ายกับแอตแลนติส
และปัจจุบันคงเหลือเพียงหมู่เกาะเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปให้เราเห็นเท่านั้น เป็นเรื่องน่ากลัวเหมือนกันนะครับ เพราะในตำนาน มู เป็นดินแดนที่กว้างใหญ่มหาศาล แต่กลับหายไปจนแทบไม่เหลือร่องรอย ทั้งที่ตามหลักฐานที่เราพอจะมีอยู่ ตำนานของอาณาจักรนี้ บอกกับเราว่า ครั้งหนึ่ง ที่นี่เป็นจุดกำเนิดอารยธรรมของมนุษยชาติ มีอายมากกว่า 50,000 ปี ซึ่งแน่นอนว่า เก่าขนาดนี้ร่องรอยอะไรก็คงไม่เหลือแล้ว
เราจะเอาอะไรไปศึกษา แล้วเรื่องนี้มันน่าเชื่อถือได้ไหม? อารยธรรมโบราณต่างๆสืบทอดมาจากมูใช่หรือไม่ และประการสำคัญ มูกับแอตแลนติส เป็นดินแดนเดียวกันหรือเปล่า
เดี๋ยวเราจะค่อยๆมาค้นหาคำตอบกันครับมากล่าวถึงเชิร์ชวาร์ดกันต่อ จากการศึกษาทำให้นักโบราณคดีผู้นี้สนใจเรื่องของมูเป็นอย่างมาก เขาได้เดินทางสำรวจไปทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปออสเตรเลียและหมู่เกาะในทะเลใต้ ซึ่งเชิร์ชวาร์ดเองเชื่อว่าเคยเป็นที่ตั้งของมูมาก่อน หลักฐานที่ทำให้เขาปักใจเรื่องของดินแดนโบราณนี้
อย่างแรกคือแผ่นจารึกที่เขาได้ทำการศึกษาในอินเดียครับ เราเรียกกันว่าจารึกนาอะคัล(Naacal)
อย่างที่สองก็คือ เมื่อนำเอาเรื่องราวจากจารึกนี้ไปโยงใยกับอารยธรรมโบราณ ที่มีความเจริญแบบผิดยุคสมัยและมีที่มาที่ไปอันมืดมน(สำหรับนักโบราณคดีน่ะนะ) เช่น อียิปต์ แอซเท็ค อินคา จะพบว่า มันมีความสัมพันธ์กันอย่างน่าประหลาด ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีโบราณ หรือตำนานอันน่าทึ่งที่บังเอิญมาพ้องต้องกัน จนเราอาจจะยืนยันได้ว่า ทวีปซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางของโลก เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมของมนุษยชาตินั้นมีอยู่จริงแต่จะใช่อันเดียวกับแอตแลนติสไหม
หลักฐานของใครหนักแน่นกว่า เพราะหลายคนก็มีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน ประการสำคัญ นักคิดนักเขียนพวกนี้ไม่มีใครยอมใครด้วย ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านและเลือกที่จะเชื่อ (หรือรับฟังไว้ก่อน)ก็แล้วกันนะครับ
โดยเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดที่รอดจากการเผาทำลายของชาวสเปนมาได้
ผลจากความพยายามของบอร์บอร์กทำใหอนุชนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้ทราบว่า ครั้งหนึ่งเคยมีนครโบราณที่ต้องมีอันเป็นไป ด้วยการจมลงสู่ก้นมหาสมุทรเพราะการระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟ เดอ บอร์บอร์กพบอักษรภาพคู่หนึ่งในเอกสารโบราณนั้น ซึ่งการออกเสียงของอักษรดังกล่าวตรงกับตัวเอ็มและตัวยูในภาษาอังกฤษ
เขาจึงอนุมานว่า นครโบราณที่จมหายลงสู่ใต้น้ำนั้น น่าจะมีชื่อว่านครมูหรืออาณาจักรมูครับการค้นพบของเดอบอร์บอร์กสร้างความตื่นตัวให้วงการโบราณคดีอยูไม่น้อยครับ
นักโบราณคดีหลายคนพยายามแกะรอยอาณาจักรดังกล่าวจากเอกสารต่างๆที่พอจะหาได้ ซึ่งผลงานที่ออกมาก็มีทั้งตั้งอกตั้งใจและแหกตา เนื่องมาจากมูลเหตุอยู่ที่เอกสารโบราณของชาวมายา ดังนั้นหลักฐานเพิ่มเติมที่ควรสนใจจึงน่าจะอยู่ที่แหล่งอารยธรรมของมายา ซึ่งก็โชคดีอีกนั่นแหละ ที่นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสอีกทีมได้ค้นพบหลักฐานน่าสนใจที่โยงใยถึงอาณาจักรมูอีกชิ้นหนึ่ง นักโบราณคดีชุดนี้นำทีมโดย ออกัสตัส เลอพอง กีออง ครับเลอพอง กีออง แถลงว่า สิ่งที่พวกเขาค้นพบคือหลักฐานที่ว่าด้วยตำนานของชาวมายาครับ
กล่าวถึงนครโบราณที่มีนามว่า มู มีผู้ปกครองเป็นราชินีนามเหมือนชื่อนครนั่นคือ ราชินีมู(Moo) พระนางมีสวามีเป็นพี่น้องกันแต่ต่อมาได้สิ้นพระชนม์ลงด้วยการแย่งอำนาจ จนนางต้องอภิเษกกับน้องชายอีกคนหนึ่ง กระทั่งเมื่อนครนี้ประสบภัยจากภูเขาไฟระเบิด ราชินีมู ได้พาผู้คนอพยพไปตั้งรกราก ณ ดินแดนแห่งใหม่ ซึ่งนักโบราณคดีกลุ่มนี้ตีความว่าน่าจะเป็นดินแดนอียิปต์ เพราะตำนานไปสอดพ้องต้องกันกับเรื่องราวของ เทวีไอซิส อย่างเหลือเชื่อ - - สวามีของไอซิสคือโอสิริสซึ่งสิ้นชีพไปเพราะการกระทำของเซธผู้เป็นน้องชาย สุดท้ายเซธก็ต้องมารบกับโฮรัสบุตรของโอสิริสซึ่งมาล้างแค้นแทนบิดา ส่งผลให้ทะเลทรายซาฮาร่ากลายสภาพจากป่าดงดิบเป็นทะเลทรายอันไพศาลไป
รายละเอียดของเรื่องราวนับว่าคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมล่ะครับ?นักโบราณคดีชุดนี้เชื่อว่า ทวีปมูน่าจะตั้งอยู่ในอ่าวเม็กซิโก และอยู่ทางตะวันตกของทะเลแคริบเบียน โดยทวีปมูมีการแบ่งดินแดนในปกครองออกเป็นนครเล็กๆสิบแห่ง ซึ่งนับว่าคล้ายคลึงกับเรื่องแอตแลนติสของเพลโตเป็นที่สุด และที่สำคัญ ชาวมายากล่าวถึงมูว่า ทวีปนี้ได้จมหายสู่ก้นมหาสมทุรเมื่อราว 8 พันปีมาแล้ว อันเป็นระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกันกับการล่มสลายของแอตแลนติสภายใต้สมมติฐานของนักโบราณคดีปัจจุบันหรือว่า... มูกับแอตแลนติสนั้นคือดินแดนเดียวกัน แต่ถูกเรียกต่างกันไปตามภาษาต่างๆ?
หลายคนว่ามันไม่น่าจะใช่ ลืมเจมส์ เชิร์ชวาร์ดไปแล้วหรือยังครับ นักโบราณคดีผู้แปลตัวอักษรที่มีการจารึกไว้บนศิลาโบราณในอินเดีย เชิร์ชวาร์ดได้พบเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับมู เขาบรรยายว่าดินแดนแห่งมูนั้นราวกับสวนสวรรค์บนโลกมนุษย์ก็มิปาน เป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีประชากรอยู่มากถึง 64 ล้านคน เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ทำให้ดินแดนนี้ถึงแก่การล่มสลาย มีประชาชนเพียงส่วนน้อยที่อพยพหนีออกมากันได้ และต้องเริ่มต้นตั้งอารยธรรมมนุษย์กันใหม่หมด ดังนั้นพวกเขาจึงจารึกเรื่องราวทั้งหลาย เพื่อถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลังให้รับทราบ... เอ ชักจะยังไงแล้วสิ เพราะเรื่องราวของทั้งสองดินแดนนี้ดูคล้ายคลึงกันมาก เรามาดูรายละเอียดกันต่อสักนิดดีไหมครับ ว่า "มู" คงหลงเหลือหลักฐานอะไรไว้ให้พวกเรารุ่นหลังได้ศึกษากันอีก
ซามัว เป็นประเทศที่ประกอบด้วย หมู่เกาะอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ชาวซามัวเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับอิทธิพลมาจากอารยธรรมโบราณของ "อาณาจักรมู" ซึ่งเป็นอารยธรรมเก่าแก่ในยุคกำเนิดมนุษย์คนแรก ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ได้เคยมีความเจริญสูงสุดในเรื่องของศาสนาหลักคำสอนและความก้าวหน้าในเรื่องดาราศาสตร์ และพลังแห่งจักรวาล
อาณาจักรมู หรือ นี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "อาณาจักรแห่งดวงอาทิตย์" ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิก และได้จมลงสู่ท้องทะเลเมื่อประมาณ 11,500 ปี ที่ผ่านมา การเผยแผ่อิทธิพลคำสอนในเรื่องของศาสนา ดาราศาสตร์ สิ่งก่อสร้างต่างๆ ของอาณาจักรมู ถูกนำเข้ามาทางพม่า อินเดีย ไอยคุป ธิเบต จีน ญี่ปุ่นและอาณาเขตกระจายโดยรอบของอาณาจักรมู (สามารถติดตามอ่านเรื่องอาณาจักรมูได้ในกระทู้อื่น)
ก่อนหน้านี้หลายปีมีรายงานมาว่า ในซามัว มีชาวซามัวที่เป็นคนตาบอดสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ โดยมองผ่านทางผิวหนังของเขา รายงานนี้ถูกหัวเราะเยาะเย้ยหยัน และมองว่าเป็นเรื่องตลกขบขันของนักวิทยาศาสตร์และประชาชนส่วนใหญ่ เพราะคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ในหลักความเชื่อของบรรดานักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น
รายงานต่อไปนี้เป็นรายงานของ นิวยอร์ก เวิลด์ จากปารีส ซึ่งรายงานถึงความสำเร็จของปรากฏการณ์ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในซามัว รายงานนี้เป็นคำตอบให้กับคำหัวเราะเย้ยหยันที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่อรายงานของคนป่าแห่งซามัว
บทความนั้นมีอยู่ว่า... "คุณไม่เพียงมีดวงตาในส่วนศรีษะ แต่คุณยังมีดวงตาในส่วนที่เป็นร่างกายของคุณด้วย ร่างกายของคุณเต็มไปด้วยดวงตา! และดวงตาเหล่านั้นสามารถนำมาใช้ได้! หากได้รับการฝึกฝนอย่างถูกวิธี!.."
มีข้อสรุปจากนักวิทยาศาสตร์ ผู้ที่ได้เป็นพยานในการทดลองของจูลส์ โรเมน(Jules Romain) นักเขียนหนังสือเกี่ยวกับดวงตาพิเศษนี้ว่า ใต้ผิวหนังของเรามี โอเซลลัส(ocelles) ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีขนาดเล็กมาก ที่เชื่อมต่อกับระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเป็นที่มาของ "ดวงตาพิเศษ"
ในรายงานมีบันทึกว่า เอ็ม. โรเมน (M. Romain)ได้ประสบความสำเร็จในการฝึกให้คนหลายคนใช้ดวงตาพิเศษนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาสามารถแยกสีและอ่านออกขณะที่ถูกปิดตาอย่างมิดชิด บางคนสามารถมองเห็นได้ด้วยแก้ม นิ้วมือ หรือจมูก คนหนึ่งสามารถบอกลักษณะของหมวกได้ด้วยระยะไกลกว่า 4 หลา ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกพลังสมาธิโดยการเพ่งไปยังจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย ซึ่งต้องใช้พลังจากศูนย์กลางของจิตใจเป็นหลัก ***การฝึกเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับมาถูกสะกดจิตแต่อย่างใด***
การทดลองครั้งแรกได้ผลได้ไม่เด่นชัดนัก แต่การทดลองในครั้งต่อไป ๆ ใด บางคนมีการพัฒนามากขึ้น และจากการทดลองค้นพบได้ว่า ยิ่งคนที่ถูกนำมาฝึกนี้ได้รับการฝึกมากขึ้นเท่าไหร ก็ยิ่งพัฒนาความสามารถในการมองเห็นขยายวงออกไปได้เรื่อยๆ...
ซึ่งบัดนี้เป็นที่พิสูนจ์ได้แน่ชัดแล้วว่า การใช้ผิวหนังในการมองแทนดวงตานั้นสามารถทำได้จริง!!! ดวงตาพิเศษนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ที่ได้รับการฝึกมาอย่างถูกวิธี ซึ่งการฝึกแบบนี้ชาวซามัวได้รับการฝึกสืบทอดกันมาไม่ต่ำกว่าหลายพันปีแล้ว...
เป็นที่น่าสังเกตได้ว่า ยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้นเท่าไหร่ กลับเหมือนยิ่งถอยหลังลงเรื่อยๆ มากขึ้นเท่านั้น วิทยาศาสตร์สมัยใหม่จึงใช้วิธีเดียวที่จะหาทางพัฒนาองค์ความรู้ให้ก้าวไกลกว่าเป็นไปได้ นั้นก็คือ การศึกษาเรื่องในอดีตที่เคยเกิดขึ้น อารยธรรมโบราณที่สูญสลาย แล้วทำความเข้าใจมันให้รู้ซึ้ง แล้วนำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในยุคของปัจจุบัน
แผนที่โบราณซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของอาณาจักรมู
หนึ่งในพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของคนเราคือ พลังแห่งความคิด ความใฝ่ฝัน
ซึ่งมี ความเชื่อมั่น ความกระตือรือร้น ความตั้งใจจริง และการลงมือทำ
เป็นสิ่งสนับสนุน........และมี "บุญ" เป็นเครื่องหนุนนำที่สำคัญ
จงสร้างความมั่นใจตนเอง โดยสร้างความชัดเจนให้กับสิ่งที่ทำ
การสร้างความมั่นใจในสิ่งที่ทำ โดยการสร้างความมั่นใจในสิ่งที่เป็น
และอนาคตที่กำลังมุ่งหน้าไป....
ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองเป็น และอนาคตที่กำลังมุ่งหน้าไป
ทำให้ความคิดด้านลบของคนอื่นที่มีต่อเรา มิอาจทำให้เราเกิดความหวั่นไหวได้
หากมีไอเดียหรือความใฝ่ฝัน แต่ปราศจากความมั่นใจ
จงทดลองทำครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่าจะเห็นผล
ถ้าได้ใช้ความพยายามในวิธีการหลาย ๆ วิธีอย่างอดทน และนานพอ
ในที่สุด ความสำเร็จ ย่อมเกิดแก่ผู้ที่มีความพยายามและอดทน อย่างแน่นอน
จงอย่าพยายามประเมินศักยภาพในตัวเองต่ำ หรือประเมินอุปสรรคที่ขวางหน้าสูงเกินจริง
คราใดที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ดูเผิน ๆ เหมือนยิ่งใหญ่เกินความสามารถ
จงทบทวนสถานการณ์ให้รอบด้านอีกครั้งหนึ่ง จำไว้เถิดว่า อุปสรรคจะดูยิ่งใหญ่
เกินความสามารถเฉพาะเมื่อท่านยังค้นหาทางออกไม่พบเท่านั้น
จงเริ่มด้วยความมั่นใจว่า ท่านต้องพบทางออแน่นอน จะเร็วหรือช้า
อยู่ที่ใจ ความนิ่ง การมองให้ทะลุปัญหาและอุปสรรคนั้น ๆ เท่านั้น
จงอดทน ทนอด และลองหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อเอาชนะปัญหาและ
อุปสรรคต่าง ๆ ที่ถามโถมเข้ามาอย่างมีสติ รอบคอบ แล้วความสำเร็จ
ย่อมเกิดขึ้นแก่ทุกท่านอย่างแน่นอน
ตามข้อมูลที่ได้จาดวีดีโอสั้นๆนี้นะครับ ในวีดีโอดังกล่าวได้กล่าวว่า หลายปีก่อนได้มีการจับภาพ UFO ได้ด้วยกล้องที่ใช้ฟิล์มอิฟาเรส โดยช่างกล้องมือดี ชื่อว่า Trevor James Constableในปี 1950’s และเขาได้ข้อสรุปว่า UFO บางชนิดไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ด้วยความสามารถของกล้องดังกล่าวที่สามารถจับสัญญาณคลื่นของจานบินดังกล่าวได้ โดยเห็นเป็นลักษณะคล้ายๆรอยด่างบนภาพ James จึงตั้งสมมุติฐานว่า Some UFOs live with Creature กล่าว คือ พวกเค้าอาศัยอยู่กับมนุษย์ และเค้าเรียกมัน ว่า Critters (แปลว่า บุคคล สัตว์ หรือ สิ่งที่สร้างขึ้น)
ในปี 1994’s Jose Escamilla ค้นพบปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Rods คือ มีวัตถุประหลาดลักษณะแท่งยาวๆคล้ายแท่งโลหะสีเงิน ลอยเป็นกลุ่มด้วยความเร็วสูงบนท้องฟ้าในเมืองต่างๆ แต่ยากที่จะมองเห็น เค้าจึงได้คิดค้นระบบการถ่ายภาพใหม่ จึงสามารถจับภาพวัตถุดังกล่าวได้ อย่างชัดเจน
ในปี 1995’s ขณะที่นักบินอวกาศสองคน ของNASA ปฏิบัติหน้าที่ในอวกาศนอกโลก และมีการถ่ายทอดภาพวีดีโอเหตุการณ์ดังกล่าวลงมายังโลก ปรากฏว่าภาพที่ถ่ายทอดลงมายังโลกถ่ายติดวัตถุลึกลับ Unidentified Flying Object หรือ UFO ที่กำลังบินออกมาจากชันบรรยากาศของโลก ด้วยเหตุการณ์นี้เอง จึงเป็นสามารถให้เกิดการถกเถียงในหมู่ชนว่า “How much NASA know about UFO?” กล่าวคือ NASAรู้เรื่องมนุษย์ต่างดาวมากน้อยขนาดไหน ดังในวีดีโอบรรยาย บรรยากาศของการทำงานของมนุษย์อวกาศว่า “Looks like you’ve got an object right in front of you Mark can you look out there?” (ดูเหมือนว่าคุณได้วัตถุ (หรือ จานบิน) ด้านขวาข้างหน้าคุณ Mark!! คุณสามารถมองเห็นตรงนั้นไหม และ มนุษย์อวกาศ ตอบไปว่า “I don’t see what you are talking about.”( ผมไม่เห็นว่าอะไรที่คุณกำลังพูดถึง) แล้วการสนทนาก็สิ้นสุดที่ Never mind ของ Martyn Stubbs , Secret NASA Transmissions.
ใน NASA Infra-Red UFO footage ได้เปิดเผยภาพจานบินต่างๆที่สามารถบันทึกในช่วงหลายปีก่อน ซึ่งภาพเหล่านั้นก็ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชนแต่อย่างใด ทุกวันนี้การปรากฏตัวของ UFOs ดังกล่าวสามารถถูกจับภาพได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในการประดิษฐ์กล้องบันทึกภาพอย่างง่าย โดยมีช่างกล้องฝีมือดีคนหนึ่งได้คิดค้นวิธีในการบันทึกภาพ UFOs โดย ตั้งกล้องสองตัวไว้ในที่เดียวกัน เค้าบอกว่าใช้วิธีนี้สิ Two cam-recorders of the same Make and Model are set up side by side. Camera one on the left is set for regular daytime recording และ Camera Two on the right is set on Night-shoot which has been converted to shoot in broad daynight. เมื่อเค้าใช้กล้องทั้งสองส่ายไปในท้องฟ้าเวลากลางวันแจ้งๆนี่ล่ะครับ เพื่อหาUFOs
ผลปรากฏออกมาว่า ในกล้องที่ตั้งค่าเป็นเวลากลางวันไม่สามารถจับภาพใดได้เลย แต่ในกล้องตัวที่ตั้งเป็นการถ่ายภาพกลางคืน กลับที่ภาพUFOลอยอยู่ในกล้องอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้เค้าจึงสรุปว่า จานบินที่แฝงตัวอยู่ในโลกปัจจุบันไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ถ้าอยากเห็นต้องอาศัยเทคนิคทางการถ่ายภาพที่ถูกวิธีเท่านั้นเองล่ะ อันนี้น่าจะเอาไปลองที่วัดบ้างนะครับ เผื่อแถวๆวัดเราอาจจะมี เพื่อนต่างโลกมาทำบุญบ้าง
Astronaut Edgar Michell- The Disclosure Project Apollo 14 หนึ่งในนักบินอวกาศที่ได้ไปเหยียบดวงจันทร์กล่าวโดยใจความว่า เป็นเวลานานที่Nasaไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้แก่สาธารณชน ส่วน Colonel Phillip J.Corso, The Disclosure Project Head of Foreign Technology –The Pentagon กล่าวโดยใจความ ว่า ให้เปิดเผยเรื่องUFOแก่ชนรุ่นหลังเถอะ เค้าเหล่านั้นไม่ได้โง่ อย่าไปโกหกพวกเค้าด้วยการกุเรื่องปกปิด
สรุปง่ายๆ ว่า ขนาดนักบินNASAเองก็รู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่เค้าไม่สามารถพูดได้ก็เท่านั้นเอง
แต่อยากจะบอกเค้าเหมือนกันว่า พุทธศาสนารู้มาสองพันแล้ว ตั้งแต่สมัยคุณๆทั้งหลายเชื่อว่า โลกแบนอยู่เลย
ผลพลอยได้อย่างหนึ่งจากการปฎิบัติธรรมตามแนวทาง "พุทธศาสนา" ก็คือการค้นพบหลักการที่เกี่ยวของกับพลังงานรูปต่างๆ ที่มีความละเอียดสูงมาก จนยังไม่มีเครื่องมือใดๆ ในปัจจุบันจะสัมผัสวัดได้ รวมทั้ง "คลื่นกระแสจิต" ซึ่งมีความคมและละเอียดสูงสุด
"วิชาโทรจิต" เป็นความสามารถตามธรรมชาติที่แต่เดิมมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งปวง โดยการใช้โทรจิตนี้ผู้ใช้จะสามารถถ่ายทอดความรู้สึก หรือสิ่งที่ตนรู้สึกในใจ ไปให้แก่สิ่งมีชีวิตอื่นได้ โดยต้องเป็นสภาวะแห่งจิตสำนึกที่ตื่นตัว หรือสภาวะที่ทำให้ใจเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ "จิตสำนึกแห่งจักรวาล"
"โทรจิตจึงเป็นความรู้แห่งจักรวาลที่มีพรมแดนที่กว้างขวางยิ่ง"
หลักทฤษฎีโทรจิตที่ได้รับถ่ายทอดมานั้น มีอยู่ด้วนกัน 4 ข้อ คือ
1.จะต้องพิจารณาว่า "มหาสากลจักวาล" เป็นองค์แห่งจิตสำนึกอันหนึ่ง
2.สรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในมหาสากลจักรวาลนี้ล้วนเป็นร่างที่แบ่งภาคออกมาจากองค์แห่งจิตสำนึกอันนี้ทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงเป็นเรื่อง ธรรมดาที่มนุษย์แต่ละคนจะมีจิตสำนึกแห่งจักรวาลดำรงอยู่ในตัว
3.จิตสำนึกแห่งจักรวาลอันนี้เป็นทั้งพลังชิวิต เป็นทั้งปัญญา และเป็นความรู้ในสรรพสิ่งอีกด้วย
4.หากสามารถผนึกใจของตัวเองให้แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับจิตสำนึกอันนี้ได้
จิตสำนึกอันนี้ จะเป็นตัวจับและรับกระแสคลื่น ที่มาจากภายนอกพร้อมกับส่งต่อข่าวสารนั้นให้กับจิตของมนุษย์คนนั้น
ดังนั้น "ความคิด" ที่คนหนึ่งๆเปล่งออกมา จึงเป็นสิ่งที่ใครๆก็สามารถรับคลื่นความคิดนี้ได้
ถ้าคนๆนั้นเปิดเครื่องรับในร่างกายตนรับคลื่นนั้นๆเข้ามา
ในอีกด้านหนึ่ง ตัวจักรวาลหาใช่เป็นสิ่งที่เป็นศูนย์กลางของข้อมูลนั้นไม่
การกระทำของสรรพสิ่งต่างๆในจักรวาลต่างเป็นศูนย์กลาง
โดยตัวมันเองต่างหาก ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะทุกสรรพสิ่งในจักรวาลถูกสร้างขึ้นมาโดยปฐมเหตุของจักรวาล
ดังนั้น รังสีที่เปล่งออกมาจากการกระทำใดๆของสรรพสิ่งนั้นๆ
จึงกระจายออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ด้วยเหตุผลเช่นนี้
เซลล์แต่ละอันในร่างกายมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่สามารถปล่อยคลื่นความคิดออกมาได้เช่นกัน
และในทางกลับกันคลื่นความคิดก็ย่อมสั่นสะเทือนเซลล์แต่ละอันในร่างกายตนเองได้ด้วย
ดังจะเห็นได้ว่าความเครียดที่สั่งสมนานๆ เป็นตัวการสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแก่มนุษย์ เพราะคลื่นความคิดเหล่านี้เข้าไปมีผลกระทบต่อร่างกายนั่นเอง
การมีความคิดที่ดี แจ่มใสร่าเริง มองโลกในแง่ดี
จึงเป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้สำหรับมนุษย์ บางครั้งเราจึงควรหลีกให้ห่างผู้คนที่ปล่อยคลื่นความคิดร้ายๆ
ถ้าหากทำได้ จะได้ไม่ไปรับผลสะเทือนที่ไม่ดีของผู้คนเหล่านั้นเข้ามา...
คลื่นความคิดที่ควรหลีกเลี่ยง
1.สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ การไม่ให้คลื่นความคิดจำพวก ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ความไร้สาระในเรื่องเล็กน้อย ความเกลียดชัง เหล่านี้ ไหลเขามาสู่ตัวเรา
2.พวกคลึ่นความคิดชั้นต่ำที่ถูกปล่อยออกมาจากดาวดวงอื่น ที่มีวิวัฒนาการล้าหลังกว่าโลกของเรา
ก็เป็นคลื่นที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ
3.คลื่นความคิดที่ปล่อยออกมาจากความทรงจำของชาวโลกที่เคยอาศัยอยู่บนโลกในอดีต
ส่วนใหญ่เป็นคลื่นความคิดที่แตกแยกไม่ปรองดองกัน และอกุศล
มักทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว
แต่ความจริงเป็นแค่คลื่นความคิดของผู้ตายที่ยังหลงเหลืออยู่ในอวกาศเท่านั้น คลื่นความคิดที่ควรรับเข้ามา
1.พลังชีวิต (ปราณ) ของจักรวาลที่ไหลเข้ามา เป็นพลังภายในที่บริสุทธิ์
เป็นทั้งปัญญาแห่งจักรวาลภายในตัวด้วย สามารถแทรกซึมเข้าสู่ทุกสรรพสิ่งได้อย่างเสมอภาค
ไม่ลำเอียง ปัญญาและความรู้ที่บริสุทธ์ จึงมักเข้าไปใกล้ผู้ที่ถ่อมตัว
และมีจิตใจปิดกว้าง มากกว่าคนใจแคบ มิใช่เพราะว่าปัญญาและความรู้ลำเอียง
แต่เป็นเพราะคนที่ใจแคบนั้นมีความสามารถในการรับปราณ
หรือพลังจักรวาลน้อยกว่าคนใจกว้างต่างหาก
2.คลื่นความคิดจากรูปธรรมชั้นสูง ทั้งจากในโลกนี้และที่มาจากดาวดวงอื่นที่มีวิวัฒนาการทางจิตสูงกว่าโลกของเรา คลื่นความคิดนี้เปี่ยมไปด้วยความรักความหวังดี
และเป็นประโยชน์ต่อชาวโลก
3.การสื่อสารไปมาระหว่างเซลหรืออะตอม จากสรรพสิ่งธรรมชาติรอบๆตัวเรา
ด้วยภาษาร่วมหรือภาษาจักรวาลที่เป็นสากล
อนึ่งมีข้อห้ามพึงระวังในการฝึกโทรจิตก็คือ
ผู้ฝึกจะต้องไม่ปล่อยคลื่นความคิดที่เป็นอกุศลใดๆ ออกมาเป็นอันขาด
แต่จะต้องสร้างความรู้สึกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวก้บสรรพสิ่งให้ได้
วิธีฝึกโทรจิตของ"อดัมสกี้"ที่เป็นรูปธรรม มีดังนี้ครับ...
ก่อนอื่นผู้ฝึกจะต้องตระหนักถึงปัจจัย 3 ประการในการฝึกโทรจิต คือ
หนึ่ง ในการสัมผัสคลื่นความคิดที่เข้ามาจากข้างนอก
จะต้องไม่มีการแบ่งแยกเกิดขึ้นระหว่างใจของเรากับผู้ที่เราต้องการสื่อสารด้วย
สอง สรรพสิ่งล้วนมีชีวิต เซลล์แต่ละอันไม่เพียงแต่ให้พลังชีวิตเท่านั้น
แต่ยังมีปัญญาดำรงอยู่ในตัวด้วย เซลล์แต่ละอันจึงสามารถรับข่าวสาร
และปล่อยข่าวสาร ที่เป็นประสบการณ์ของตนออกไปได้
สาม ผู้ฝึกต้องควบคุมเซลล์ในร่างกายของตนโดยผ่านการตอบสนองของประสาทสัมผัสทั้ง
สี่ ในร่างกายของตน โดยทำให้อวัยวะแต่ละส่วน "เป็นกลาง" เสียก่อน วิธีฝึก
1.ทดลองส่งโทรจิตระหว่างคนสองคน โดยเริ่มจากการอยู่ในห้องเดียวกันก่อน
จากนั้นค่อยๆ เพิ่มระยะห่างระหว่างคนสองคนให้ไกลออกไปเรื่อยๆ
-โดยผู้ส่งจิตจะต้องวาดภาพ หรือจินตการภาพที่จะส่งออกไปขึ้นไว้ในใจก่อน แล้งลองส่งออกไป
-ส่วนผู้รับโทรจิตก็ต้องมีสมาธิคอยรับด้วยท่าทางและจิตใจที่ผ่อนคลาย ก่อนจะบอกคำตอบออกมา
ถ้าทดลอง 5 ครั้ง แล้วตอบถูกเกิน 3 ครั้งขึ้นไปถือว่าใช้ได้
2.ทดลองรับคลื่นโทรจิตจากสี่งของใกล้ๆตัวของใครคนหนึ่ง เช่นทายราคาของสินค้าอันนั้น
(เนื่องจากอะตอมของสิ่งของนั้น ได้รับข่าวสารจากผู้เป็นเจ้าของมาก่อนแล้ว)
จะทายข้อความในจดหมาย หรือทายไพ่ก็ย่อมได้..
3.ฝึกโยนเหรียญ และออกคำสั่งให้เหรียญนั้นออก"หัว"หรือ"ก้อย" เมื่อตกลงพื้น
โดยตอนออกคำสั่งนั้น ต้องแสดงความปรารถนา
และจิตนาการให้ตัวเองแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเหรียญเสียก่อน
นอกจากฝึกกับเหรียญแล้ว ทดลองฝึกกับลูกเต๋าก็ได้..
4.ฝึกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพื้นน้ำ หากมีโอกาสไปยืนที่สูงๆเหนือแม่น้ำ
ทะเลสาบ บึง หรือเหนือทะเลกว้างๆ ลองจิตนาการให้ตัวเองแนบแน่น
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคลื่นน้ำ เราจะได้สัมผัสความรู้สึกที่เย็นสดชื่นยิ่งขึ้น
การพัฒนาความสามารถเชิงโทรจิตในตัวเรานั้น
จำเป็นจะต้องฝึกฝนและฝึกฝน ๆ ๆ ในทำนองที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้
หากมีใครทดลองฝึกแล้วยังไม่คืบหน้า นั่นย่อมแสดวว่า "อัตตา"(EGO) ของผู้ฝึกนั้นแรงไปนั่นเอง
และปัจจัยความ เหนื่อยหน่าย เหนื่อยล้า และความเครียด
อาจเป็นอุปสรรคของการฝึกโทรจิต ต้องรู้จักผ่อนคลาย
ให้เป็นเรื่องปกติธรรมชาติไปเองในที่สุด...
การใช้วัตถุธาตุ เพื่อสื่อพลังโทรจิต ชาวแอตแลนติสในยุคราว 40.000 ปีก่อน
ได้เคยสร้างปิรามิดเพื่อใช้สื่อสารกับพลังจักรวาล
ยังได้ใช้ผลึกคริสตัลมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
เพื่อการติดต่อ (รับคลื่น-ส่งคลื่น) กับพลังจักรวาล
และจิตสำนึกแห่งจักรวาลด้วยวิธีการดังนี้..
ในการรับคลื่นจิตวิญญาณระดับสูง ให้นำผลึกคริสตัลขนาดเล็ก
มาวางเบี้องหน้าเราสองก้อน ให้ตัวเรานั่งอยู่บริเวณยอดสามเหลี่ยมของทรงปิรามิด
(ให้ตัวเราเป็นผลึกคริสตัลก้อนที่สาม)
จากนั้นใช้ลวดทองแดงหนึ่งเส้นพันรอบผลึกคริสตัน 3 รอบ
ก่อนจะนำลวดทองแดงนั้นมาถือไว้ในมือทั้งสองข้าง ในท่าหลับตาเข้าสมาธิ..
จากนั้นให้เพ่งจิตและพลังทั้งหมดของเราไปยัง "ผู้ที่เราต้องการจะสื่อสารด้วย"
ในทางกลับกัน หากเราต้องการที่จะส่งคลื่นออกไป
ข่าวสารของเราไปให้กับผู้ใด ก็ให้กระทำในรูปแบบตรงกันข้ามกับข้างต้น
คือใช้สองมือเราแทนผลึกคริสตันสองก้อน (เป็นส่วนฐานของรูปสามเหลี่ยม)
ในขณะที่ผลึกมีคริสตันเพียงหนึ่งก้อน มาเป็นปลายยอดของสามเหลี่ยมแทน
วัตถุธาตุเหล่านี้เป็นสื่อที่สามารถใช้ติดต่อระหว่างธาตุหยาบกับธาตุละเอียด
หรือของมนุษย์กับเทวดา และรูปธรรมอื่นๆได้ เป็นเครื่องช่วยสื่อสารให้คมชัดขึ้น...
(สมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์ การโทรจิตจึงเป็นเรื่องที่แพร่หลายมาก)
ข้อผิดพลาดของชาวแอตแลนติสในอดีต
ส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างไปจากข้อผิดพลาดของมนุษย์ในปัจจุบันหรอกครับ..
คือพวกเขาไม่สามารถควบคุม "อัตตา"(EGO) ของเขาได้
จึงนำพลังอันมหาศาลที่อารยธรรมของเขาได้สร้างขึ้นมา ไปใช้ในทางที่ผิดๆ
โดยเฉพาะสงคราม (ขุดหลุมฝังตัวเองแท้ๆ)
ตั้งแต่มนุษย์คิดค้นระเบิดปรมาณูขึ้นมาได้ และนำมาใช้เข่นฆ่าสังหารมนุษย์ด้วยกันเอง เป็นต้นมา
จะว่าไปมนุษย์ในยุคนี้กำลังเจริญรอยตามจุดจบของชาวแอตแลนติสแทบทุกกระเบียดนิ้ว
และถ้าหากข้อสัษฐานที่ว่าชาวแอตแลนติสมีเชี้อสายจากมนุษย์ต่างดาวเป็นจริง
จึงไม่น่าแปลกที่ปรากฎการณ์จานบิน(UFO) จะมาปรากฎให้มนุษย์เห็นกันอย่างถี่ๆ นับแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา
เพื่อมาเตือนภัยแก่มนุษย์เรา ว่ากำลังเดินไปในทางที่ผิดๆกันอยู่...
การใช้ประสาทสัมผัสจากจักรวาล มนุษย์ต่างดาวถูกอบรมตั้งแต่เด็ก
ให้เข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกาย กับจิต และการ "ควบคุมใจ"
เพราะฉะนั้น "ใจแห่งอวัยวะสัมผัส" ของเขาจึงถูกยกระดับให้สูงส่งระดับเดียวกับ "ใจของฟ้า"
(ปฐมเหตุแห่งจักรวาล) ทำให้เซลล์ในร่างกายทั้งหมดของพวกเขา
สามารถตอบสนองคำสั่งที่ใจสั่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยเหตุนี้ร่างกายของเขาจึงแข็งแรง
และมีอายุยืนยาวเกินกว่าที่ชาวโลกจะคาดคิดได้เช่นกัน..
ชาวโลกก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
หากแต่บุคคลผู้นั้นต้องมีจิตใจที่กระจ่าง เที่ยงธรรม
มีชิวิตอยู่อย่างมีปณิธาน ศรัทธา ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า
และมีความคิดในเชิงบวก
เซลล์ในร่างกายก็จะตอบสนองต่อจิตใจบุคคลนั้นในทางบวกเช่นกัน
ทั้งเรื่องสุขภาพร่างกายและจิตใจ ย่อมได้ผลเช่นเดียวกัน แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึง
จิตสำนึกนี้ กลับมีชิวิตโดยใช้แค่ "ใจ" หรือ "สิ่งรับรู้ในอารมณ์ทั้งหลาย "เท่านั้น
ซึ่งผันผวนง่ายและแปรปรวนอย่างรุนแรง มาเป็นหลักของชิวิต
ขณะที่มนุษย์ต่างดาวจะถือว่าจักรวาลเป็นองค์แห่งจิตสำนึก
คือพระผู้สร้างหรือพระผู้เป็นเจ้า จึงพยายามประสานใจของตนให้สอดคล้องกับจิตสำนึกนี้...
(คนที่นับถือพุทธะก็ยึดในหลักความเป็นหนึ่งเดียวกับ "ปฐมเหตุแห่งจักรวาล" ความหมายไม่แตกต่างกัน..) กระแสคลื่นที่มนุษย์ต่างดาวปล่อยออกมา มีลักษณะเป็น "คลื่นความคิด"
ซึ่งมีลักษณะคล้ายแสง ถ้ากระแสความคิดถูกส่งเป็นคลื่นออกไปแล้ว
มันจะเคลื่อนที่ไปอย่างไม่มีขอบเขต
จนกว่าจะถูกดูดซับหรือถูกขวางกั้นโดยสิ่งอื่น หรือวัตถุอื่น...
เช่นเดียวกันกับ "คลื่นความคิดของมนุษย์" เป็นคลื่นที่ส่งผ่านไปในอวกาศได้เช่นกัน
แต่ไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นตรงทิศทางเดียวเหมือนลูกกระสุนจากปากกระบอกปืน
หากแต่มีลักษณะเหมือนรังสีที่เปล่งออกมาเป็นเส้นตรงในทุกๆทิศทาง
และแผ่ขยายตัวโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่จุดหนึ่ง....
____________________
เครดิต : บุญโต ____________________
7) การพยากรณ์โดยใช้ลูกแก้วคริสตัล / Crystal Ball Gazing
... มีคำกล่าวไว้ว่า ".. The methods used to predict the future are as many and varied as leaves on the trees .. วิถีแห่งการพยากรณ์นั้นมีมากมายและหลากหลายราวกับใบไม้บนหมู่แมกไม้ .."
ผู้ คนจำนวนมาก เดินเข้าสู่บู๊ธพยากรณ์ ด้วยความหวังที่จะได้พบกับภาพผู้พยากรณ์นั่งสบายๆ อยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ คลุมด้วยผ้าคลุมสีเข้ม บนโต๊ะมีลูกแก้วคริสตัลขนาดใหญ่ที่งดงามวางสงบนิ่งอยู่ภายใต้แสงเทียน และกลุ่มหมอกควันจางๆ ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในลูกแก้ว แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวัง เนื่องจาก มิใช่ผู้พยากรณ์ทุกคนจะสามารถใช้คริสตัลบอลในการพยากรณ์ได้
การ พยากรณ์โดยใช้ลูกแก้วคริสตัล เป็นวิธีการพยากรณ์ที่ได้รับการยอมรับ และนับถือจากบุคคลทั่วไปมาเป็นเวลานาน หลักการที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไปเป็นหลักการที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศโรมา เนีย หรือที่รู้จักกันในชื่อ ยิปซี (Gypsy) นั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้หลักการของศาสตร์อื่นๆ ในการพยากรณ์อีกด้วย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทหรือขอบเขตของคำตอบที่คาดหวัง เช่น การใช้กสิณหรือฌานในการพยากรณ์ เพื่อค้นหาคำตอบในส่วนลึกของจิต เป็นต้น ทั้งนี้ ในการพยากรณ์ด้วยคริสตัลบอล ผู้พยากรณ์แต่ละคนอาจมีวิธีการมองที่แตกต่างกัน บางท่านอาจมองเข้าไปภายในบอล โดยมีภาพเล็กๆ ปรากฏอยู่ภายใน บางท่านอาจมองโดยเห็นภาพขึ้นมาแทนที่บอลลูกนั้น หรือบางท่านอาจใช้บอลเป็นตัวฉายภาพเข้าไปปรากฏในมโนภาพของตน ไม่มีข้อกำหนดชัดเจนในส่วนนี้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้พยากรณ์แต่ละท่าน
เนื่อง จากการพยากรณ์โดยใช้ลูกแก้วคริสตัล เป็นการพยากรณ์ที่ไม่มีสิ่งอื่นมาเป็นสื่อ หรือเป็นสัญลักษณ์ในการชี้แนะคำทำนาย แต่เป็นการใช้พลังจิตในการมองและอ่านโดยตรง ที่เรียกกันว่า Psychic Reading จึงทำให้การพยากรณ์แบบนี้ไม่แพร่หลายมากนักในปัจจุบัน เพราะมีผู้พยากรณ์จำนวนไม่มากนัก ที่สามารถใช้พลังจิตในการวิเคราะห์อดีต ปัจจุบัน และอนาคต รวมถึงบุคคล เหตุการณ์ เรื่องราวต่างๆ ได้จริง ซึ่งต้องอาศัยทั้งความสามารถพิเศษ และการฝึกฝนอย่างถูกวิธี เป็นระยะเวลานานพอสมควรกว่าจะสามารถใช้คริสตัลบอลในการพยากรณ์ให้ผู้อื่นได้
ก้าวแรกอันมั่นคง
ก่อน ที่จะหาซื้อบอลที่จะนำมาใช้ ควรเตรียมอุปกรณ์และความพร้อมของผู้ฝึกหัด ให้เรียบร้อยเสียก่อน อุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้ ได้แก่
1. ผ้าชิ้นเล็ก ควรเป็นผืนใหม่ที่สะอาด เลือกที่เนื้อนุ่มและสามารถซับน้ำได้ดี เพื่อใช้ในการเช็ดทำความสะอาดภายหลังการล้าง อาจเป็นสีขาวหรือดำ หรือสีอื่นๆก็ได้ แต่ควรเป็นสีพื้น คือไม่มีลาย และสีไม่ฉูดฉาดเกินไป
2. ผ้าชิ้นใหญ่ ควรเลือกใช้สีดำหรือสีเข้ม มีเนื้อหนานุ่ม ไม่หยาบกระด้าง ใช้สำหรับห่อหุ้มลูกบอลก่อนและหลังการใช้ อาจใช้ถุงผ้าสีเข้ม หรือหนังสัตว์แทนได้ ที่เลือกใช้ผ้าเนื้อหนานุ่มเพื่อป้องกันรอยขูดขีดซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ และใช้สีเข้มเพื่อเป็นการป้องกันพลังงานที่ไม่ดีจากภายนอก ถูกดูดซับเข้าสู่คริสตัลบอล
3. โต๊ะสำหรับวางคริสตัลบอล ควรเป็นโต๊ะที่มีขนาดพอดีกับความต้องการและความพอใจของผู้ใช้ และเป็นโต๊ะที่มั่นคง ไม่เอียง ไม่โยก เพื่อมิให้เป็นการเสี่ยงต่อการที่บอลจะกลิ้งหรือตกเสียหาย
อัน ที่จริง ลูกแก้วคริสตัล หรือคริสตัลบอล เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการพยากรณ์ โดยเลือกใช้วัตถุที่มีผิวเรียบและเป็นมันวาว ในการมองภาพบุคคลหรือเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งในที่นี้ สามารถใช้สิ่งอื่นทดแทนได้ในหลักการเดียวกัน เช่น อ่างหรือชามหรือถ้วยที่ใส่น้ำสะอาดจนเต็มปริ่ม แหล่งน้ำตามธรรมชาติ กระจกเงา ฯลฯ และหากเป็นลูกแก้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกแก้วที่ทำมาจากหินธรรมชาติเท่านั้น แก้วที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น ก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน เพียงแต่จะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เนื่องจากเป็นวัตถุที่ไม่มีพลังงานในตัวเองตามธรรมชาติ ในที่นี้ ผู้เขียนจึงขอแนะนำให้ใช้บอลที่ทำมาจากหินหรือแร่ในธรรมชาติเท่านั้น ส่วนจะเป็นหินหรือแร่ชนิดใด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความพอใจส่วนตัวของตัวผู้ใช้เอง (ที่นิยมใช้กันคือ บอลที่ทำมาจาก Rock Crystal หรือ Clear Quartz แต่ราคาจะแพงอยู่สักหน่อย)
4. ฐานสำหรับวางคริสตัลบอล ใช้สำหรับการวางคริสตัลบอลบนโต๊ะในระหว่างการใช้ ควรเลือกใช้วัสดุที่มีผิวเรียบ และไม่แข็งเกินไป เพื่อไม่ทำให้บอลเป็นรอยขูดขีด ที่สำคัญคือควรเป็นวัสดุธรรมชาติ อาจเป็นไม้หรือหินเนื้ออ่อน หรือโลหะอื่นๆ เช่น ทองคำ เงิน ทองเหลือง ทองแดง ดีบุก ฯลฯ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ใช้เป็นหลัก
5. เทียนสีหรือกลิ่นที่เป็นที่พอใจของผู้ใช้ และเครื่องหอมต่างๆ เช่นธูปหอม กำยาน น้ำมันหอมต่างๆ ควรเลือกใช้กลิ่นที่เป็นธรรมชาติ หรือสกัดจากธรรมชาติ และเป็นกลิ่นที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสงบ เบา สบาย และมีสมาธิ
6. กล่องหรือภาชนะสำหรับเก็บคริสตัลบอล ควรเป็นวัสดุธรรมชาติที่มั่นคงแข็งแรง เช่นหีบไม้ หรือหนังสัตว์ แต่ไม่ควรใช้กล่องโลหะ เพราะจะปิดกั้นการถ่ายเทอากาศมากเกินไป ภายในกล่องควรบุด้วยผ้าหนาๆนุ่นๆเช่นผ้ากำมะหยี่ หรือพวกขนสัตว์ต่างๆ วัสดุที่ใช้ก็ควรเป็นวัสดุธรรมชาติเช่นกัน เพื่อลดการเกิดไฟฟ้าสถิต
ทั้ง นี้ อุปกรณ์ทั้งหมด ควรผ่านการชำระล้างพลังงานด้านลบ พลังงานที่ไม่ดีและพลังงานที่ไม่พึงประสงค์ออกเสียก่อน อาจใช้การชำระด้วยแสงอาทิตย์ การใช้ควันของเครื่องหอม หรือการชำระด้วยจิตก็ได้
นอก จากนั้น การเตรียมพร้อมของตัวผู้ฝึกหัด เวลาในการฝึก และสถานที่ที่จะใช้ทำการฝึก ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การฝึกหัดเป็นไปอย่างสมบูรณ์ โดยมีข้อกำหนดคร่าวๆ ดังนี้
1. พื้นฐานของจิต
ผู้ ฝึกหัดควรมีพื้นฐานด้านการทำสมาธิหรือการฝึกจิตมาบ้าง (ในกรณีที่มีความสามารถพิเศษด้านนี้อยู่แล้ว อาจไม่ต้องฝึกมากนัก และจะมีวิธีการฝึกอีกแบบหนึ่ง) หรืออย่างน้อย ควรทำสมาธิเป็น สมองซีกขวา ซึ่งควบคุมการทำงานด้านจินตภาพควรทำงานได้ค่อนข้างดี ถึงดีมาก และมีความตั้งใจ มุ่งมั่นในการปฏิบัติ (การเลิกฝึกกลางคันอาจส่งผลเสียต่อการทำงานของสมองและจิตใจ) ผู้ฝึกหัดใหม่ (ไม่มีความสามารถพิเศษอยู่ก่อนและไม่มีพื้นฐานการฝึกจิตหรือสมาธิ) อาจใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมของพลังชีวิตและพลังจิตค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถและความพยายามของผู้ฝึกหัด
อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าการมีพื้นฐานการฝึกจิตมาดีหรือมีความสามารถพิเศษอยู่แล้ว จะสามารถซื้อบอลมาใช้ได้ทันที นั่นเป็นไปไม่ได้ การพยากรณ์หรือการฝึกจิตทุกอย่างต้องใช้เวลาในการฝึกปฏิบัติ เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับวิถี และความช่ำชองชำนาญ จะใช้เวลามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถและพรสวรรค์ของแต่ละบุคคล และประสบการณ์ในการใช้ด้วย
2. เวลาในการฝึก
ผู้ ฝึกควรมีเวลาเป็นของตัวเองอย่างน้อยวันละครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงในแต่ละวันใน ช่วงแรก และ หลังจากนั้น ค่อยๆ ลดลงคือไม่ต้องฝึกทุกวันได้ อาจจะเป็น 2-4 วันต่อสัปดาห์แล้วแต่ความสะดวก เวลาที่เหมาะสมต่อการฝึก คือเวลาเย็น ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับฟ้าแต่ยังไม่มืด หรือหากไม่สามารถฝึกในเวลานั้นได้ ควรเป็นเวลาอื่นที่เรารู้สึกสบาย และผ่อนคลาย สามารถอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน และปราศจากความหมกมุ่นกังวลกับชีวิตประจำวัน จะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ได้ ในที่นี้มีส่วนสัมพันธ์กับสถานที่ด้วย
ควร เป็นสถานที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงอึกทึกรบกวน และเราสามารถอยู่คนเดียวได้เป็นเวลานานๆ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นในบ้านหรือนอกบ้าน บรรยากาศในสถานที่ควรจะทำให้ผู้ฝึกรู้สึกสงบและสบาย (อาจเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องพระก็ได้) มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป และมีความชื้นพอเหมาะ ไม่แห้งหรืออับชื้นเกินไปจนรู้สึกไม่สบายตัว หากใช้เครื่องปรับอากาศควรปรับอุณหภูมิให้พอดีกับความต้องการ ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป และใช้พัดลมเบาสุด อาจจุดเครื่องหอมได้ตามต้องการ (เครื่องหอมที่มีควันเหาะสำหรับห้องหรือสถานที่ๆเปิดโล่ง ส่วนน้ำมันหอมเหมาะกับห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ทั้งยังช่วยควบคุมความชื้นในอากาศด้วย)
ภายในห้องควรมีแสงสว่างไม่มากนัก แค่พอมองเห็นได้ชัดเจนและสบายตา แสงที่สว่างจ้าเกินไปอาจทำให้ไม่สบายตาและรู้สึกกระวนกระวายไม่มีสมาธิ รวมทั้งไม่ควรให้มีแสงส่องตรงสู่คริสตัลบอลหรือตาของผู้ฝึกโดยตรง จะเกิดผลเสียต่อสายตาได้ (แสงที่แนะนำคือแสงจากเทียนจำนวนไม่มากนัก ปิดไฟฟ้าทั้งหมดและจุดเทียนสองถึงสามต้น ก็ค่อนข้างสว่างแล้ว ถ้ายังรู้สึกมืดเกินไปอาจเพิ่มได้อีก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของสถานที่ด้วย)
เสียงในห้องก็เป็น ปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้การฝึกดำเนินไปด้วยดียิ่งขึ้น บางคนอาจไม่ชอบอยู่ในห้องที่เงียบสนิทและมีแสงสลัวๆ คนเดียว อาจเปิดเพลงบรรเลงเบาๆร่วมด้วยได้ เพลงที่ใช้ควรเป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกสงบ ไม่หนวกหู เป็นเสียงในธรรมชาติหรือเป็นเสียงเครื่องดนตรีเดี่ยวๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีของชาติใด ควรเลือกเพลงที่มีท่วงทำนองค่อนข้างช้าเนิบนาบ และราบเรียบ และมีโทนเสียงกลาง ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป
การเลือกซื้อคริสตัล
ใน การเลือกบอลที่จะนำมาใช้นั้น ควรเลือกชนิด สี ขนาด และรูปร่าง ตามความพอใจของผู้ใช้เป็นหลัก ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวในส่วนนี้เช่นกัน ข้อแนะนำสำหรับผู้ไม่มีประสบการณ์ในการใช้บอลที่ทำจากหินธรรมชาติ คือ พยายามใช้สีที่ดูแล้วสบายตา ไม่ฉูดฉาดเกินไป และเมื่อสัมผัส ตัวท่านเองจะรู้สึกได้ว่า บอลลูกนั้นใช่หรือไม่
ตำหนิ หรือร่องรอยต่างๆ ภายในเนื้อหิน เป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ควรตระหนัก เป็นธรรมดาของบอลที่ทำจากหินธรรมชาติ ที่มักจะมีตำหนิหรือร่องรอยต่างๆภายใน หากเลือกที่จะใช้บอลขนาดใหญ่ ย่อมจะมีตำหนิต่างๆมากขึ้นตามไปด้วย (ที่ไม่มีตำหนิเลยหรือมีน้อยมากก็มีเช่นกัน แต่จะราคาสูงมาก เช่น Clear Quartz Crystal Ball ที่ใสบริสุทธิ์จริงๆ ณ ปัจจุบัน บอลที่มีนำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม จะมีราคาอยู่ที่ประมาณสองแสนบาทต่อลูก) การเลือกซื้อควรเลือกชนิด ลักษณะและสีของตำหนิภายในด้วย โดยเลือกบอลที่มีร่องรอยที่งดงามและถูกใจก็พอ อีกทั้งไม่ควรเลือกซื้อบอลที่ตำหนิหรือร่องรอยต่างๆ เหล่านั้น โผล่หรือทะลุมาจนถึงผิวนอก อันจะทำให้พื้นผิวเกิดรอยสะดุดหรือขรุขระเป็นบริเวณกว้าง จะส่งผลต่อการพยากรณ์ที่ไม่ราบรื่น
แต่หากมีเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีผลมาก นัก และในระหว่างการซื้อ ควรถามผู้ขายให้แน่ชัดว่า หินชนิดนั้นๆ มีข้อควรระวังในการใช้และการเก็บรักษาอย่างไรบ้าง
ต้อนรับคริสตัลสู่ชีวิต
หลัง จากที่เราซื้อคริสตัลบอลมาแล้ว ให้พยายามตรงกลับบ้านทันที ล้างบอลด้วยน้ำสะอาด และสบู่เหลวเจือจาง (อาจผสมเกลือทะเลเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของหิน) หลังจากนั้น ใช้ผ้าสะอาดชิ้นเล็กเช็ดให้แห้ง ไม่ต้องถูนะครับ เวลาล้างควรจับให้มั่น เพราะหินส่วนใหญ่จะลื่น อาจทำตกเสียหายได้ หลังจากนั้น ลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมเบาๆ ให้ทั่ว แต่ไม่ต้องมากนัก น้ำมันจันทน์ หรือน้ำมันจากอำพันก็เป็นทางเลือกที่ดี
การ ล้างด้วยน้ำในครั้งแรกนั้น เป็นการล้างสิ่งสกปรกทางภายนอกหรือทางกายภาพ ซึ่งอาจติดมาจากกระบวนการผลิตหรือขนส่ง หรือจากการวางอยู่ในร้านค้า ส่วนการลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมนั้น เป็นการชำระ ภายใน คือการล้างพลังงานที่ไม่พึงประสงค์ออกจากคริสตัลบอล ในขณะที่ลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมนั้น ควรตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อช่วยในการชำระสิ่งไม่ดีออกจากคริสตัลบอลด้วย หลังจากนั้น ห่อด้วยผ้าผืนใหญ่ที่เตรียมไว้ แล้วใส่ลงในกล่องหรือหีบที่เตรียมไว้ เก็บไว้อย่างสงบอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ จึงนำออกมาล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ก่อนนำไปใช้
ในระหว่างขั้นตอนเหล่านี้ อาจมีการจุดเทียนและเครื่องหอม เปิดเพลงสำหรับฝึกสมาธิเบาๆ และสวดมนต์หรือกล่าวอะไรเล็กน้อย เพื่อเป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าสู่บ้านหรือวิถีการดำเนินชีวิตของเรา
การมองคริสตัลบอลและการพยากรณ์
ดัง ที่ได้กล่าวไปข้างต้น ว่าเราสามารถมองคริสตัลบอลได้ในหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้พยากรณ์ สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ จากการทดลองฝึกปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้น ไม่มีใครสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัวได้
ในการเปิดใช้คริสตัลบอล ครั้งแรก ควรเริ่มในคืนเดือนมืดหรือวันข้างขึ้นต้นๆ (เช่น ขึ้น 1 ค่ำ) เลือกเวลาที่ทุกสิ่งเงียบสงบ และแน่ใจว่าคุณจะไม่ถูกรบกวน หากเป็นไปได้ให้เลือกเวลาพระอาทิตย์ตกแต่ยังไม่มีดดังที่กล่าวไว้แล้ว เนื่องด้วย ชาวโรมาเนียถือว่าเป็น Magical Time หรือเวลาแห่งมายานั่นเอง สภาพของห้องหรือสถานที่ควรจัดตามที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น
หลัง จากนั้น นำคริสตัลบอลออกจากล่อง และค่อยๆ เปิดผ้าที่ห่อหุ้มไว้ออก และค่อยๆ วางลงบนโต๊ะ นั่งห่างจากคริสตัลบอลพอสมควร ในระยะที่สบายสำหรับผู้ฝึก ไม่มีข้อกำหนดใดๆ กล่าวไว้ว่าจะต้องนั่งอย่างไรหรือมีระยะห่างเท่าไหร่ แต่ควรเป็นท่านั่งที่สบาย สามารถนั่งได้นานๆ และสามารถทำสมาธิได้ (ส่วนใหญ่ชาวตะวันตกจะไม่ได้นั่งขัดสมาธิเพื่อทำสมาธิแบบของทางตะวันออกนะ ครับ แต่มักจะนั่งบนตั่งหรือเก้าอี้แทน ไม่ก็ยืนไปเลย) ทำจิตให้สงบเพื่อปลุกเร้าและปลดปล่อยพลังงาน Zee (คล้ายกับชี่หรือพลังลมปราณ) วาดมือผ่านบอลเบาๆ 3 ครั้ง อาจมากกว่านี้ ในช่วงต้นของการฝึก แต่ไม่ควรน้อยกว่า 3 ครั้ง และอย่าให้สัมผัสโดนคริสตัลบอล รู้สึกถึงการถ่ายเทหนุนเวียนพลังงานระหว่างมือกับคริสตัลบอล ผ่อนคลายจิตใจและร่างกาย เปิดเปลือกตาช้าๆ มองไปที่ลูกแก้วโดยไม่ต้องเพ่ง เป็นการมองแบบผ่านๆ เหมือนการมองออร่า และไม่ต้องมุ่งหวังว่าจะต้องเห็นสิ่งใดในการฝึกครั้งแรกๆ ไม่ต้องเสียใจหรือพยายามเพ่งมองให้เกิดภาพ จะกลายเป็นการหลอกตัวเองไปเปล่าๆ ในช่วงต้นนี้ ไม่ควรฝึกมองนานเกิน 30 นาทีต่อครั้งต่อวัน ในการมองครั้งแรกนี้ อาจเห็นสิ่งประหลาดบ้าง หรือไม่เห็นอะไรเลย อย่าตกใจและอย่าท้อ ทุกคนย่อมต้องอาศัยการฝึกและการใช้บ่อยๆ รวมถึงการหล่อหลอมประสบการณ์และความชำนาญในการมองภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจ และการมองเห็นที่แจ่มชัดขึ้น ไม่มีข้อกำหนดเช่นกันว่าทุกคนจะต้องเห็นเป็นภาพทุกครั้ง บางคนหรือบางครั้งอาจเห็นเป็นสัญลักษณ์ หรือได้ยินเป็นเสียง หรืออาจมีการรับสัมผัสอื่นๆได้อีก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเครื่องรับสัญญาณของแต่ละคน
หลัง จากฝึกไปได้ระยะเวลาหนึ่ง สิ่งที่เห็นในช่วงตันนี้มักเป็นกลุ่มหมอก หรือควัน หรือเมฆ ส่วนใหญ่จะเป็นสีขาว แต่ก็มีบ้างที่เป็นสีสันต่างๆออกไปในช่วงแรกอาจยังไม่สามารถตีความหมายใดๆ ได้ ซักระยะหนึ่งของการฝึก กลุ่มเมฆหมอกเหล่านี้ จะค่อยๆจางลงหรือปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเอง หากไม่เห็นอะไร อย่าพยายามฝืนหรือคิดจินตนาการไปเอง เพราะจะกลายเป็นการสร้างภาพ ทำให้คำพยากรณ์ผิดเพี้ยนไป นี่คือหลักการของการใช้ Psychic Reading
การตั้งคำถาม
คำ ถามส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่ หลังจากสามารถมองเห็นภาพต่างๆ ได้ดีพอสมควรแล้ว การฝึกตั้งคำถามในใจ จะช่วยให้การฝึกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในช่วงแรกของขั้นตอนนี้ ให้คิดถึงบุคคลหรือสถานที่ อันเป็นที่รู้จักหรือกำลังต้องการพบเจอไว้ในใจ ภาพที่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพลอยๆของบุคคลหรือสถานที่นั้น หรือเป็นภาพที่ไม่อาจแปลความหมายได้ ควรฝึกและทดลองตั้งคำถามในใจกับตัวเอง จนเกิดความคล่องแคล่วชำนาญ สามารถตั้งคำถามได้ตามความต้องการของจิตใจ สามารถมองภาพต่างๆ ได้สมบูรณ์ชัดเจนดี และมีความมั่นใจในความสามารถของตนเองอย่างมั่นคงดีแล้ว จึงสามารถออกทำนายให้แก่ผู้อื่นได้ สิ่งที่ควรจำก็คือ การขาดความเชื่อมั่นในพลังและความสามารถของตนและความกังวลหรือประหม่า จะทำให้คุณไม่สามารถใช้พลังของตนเองและของธรรมชาติได้
การพยากรณ์ให้แก่ผู้อื่น
ให้ ทำทุกอย่างตามขั้นตอนที่ได้ฝึกมา (ตอนฝึกอาจจะนานมาก แต่เมื่อเกิดความชำนาญ ขั้นตอนการเตรียมตัวเข้าสู่การพยากรณ์จะใช้เวลาน้อยลง) ให้ผู้รับการทำนายอังมือไว้เหนือคริสตัลบอลสักครู่ พร้อมกับทำใจให้สงบ ตั้งสมาธิถึงสิ่งที่เขาต้องการทราบแล้วจึงเริ่มการทำนาย โดยอธิบายถึงสิ่งที่เราเห็นให้แก่ผู้มารับการทำนาย แต่ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า อย่าทำนายให้แก่ผู้ใด จนกว่าเราจะมั่นใจในพลังและความสามารถของตน ความประหม่าและกังวลจะนำไปสู่ความผิดพลาดอย่างร้ายแรงในอนาคต อันจะทำให้เราเสื่อมเสีย ...
พลังแห่งการผ่อนคลาย / Power of Relaxation
... หลายคนอาจเคยดูกีฬาหรืออาจเคยเข้าแข่งกีฬาเองเลย คุณสังเกตเห็นใหมครับว่า
ถ้าแมตช์ไหนนักกีฬาเครียด เขาจะเล่นได้แย่กว่าฝีมือปกติของเขา
โดยไม่เกี่ยวกับสภาพร่างกาย โดยเฉพาะกีฬาที่ใช้ความแม่นยำและจังหวะมากกว่าพละกำลังตรงๆ เช่น ตีกอล์ฟ ยิงปืน บาสเก็ตบอล เบสบอล ฟุตบอล ฯลฯ
นี่เห็นชัด ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมโค๊ชทุกคนรู้ดีว่าเขาต้องทำให้นักกีฬามั่นใจและเล่นโดยไม่เครียดถึงจะ แสดงฝีมือได้เต็มที่
... มัน คือพลังจิตที่ช่วยให้นักกีฬายิงลูกหรือเคลื่อนไหวออกไปด้วยแรงที่เหมาะสม ในตำแหน่งที่พอดี ในจังหวะที่ถูกต้องครับ หากนักกีฬาอาศัยเพียงสมรรถภาพทางกายกับแค่ทำตามสูตรในหนังสือกีฬาอย่างเดียว โดยไม่อาศัยพลังจิตแล้วเล่นได้ดี เราจะไม่ต้องมีกองเชียร์และไม่มีคำว่าตื่นสนามเลยในวงการกีฬาครับ
แต่ที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะพลังจิตมีส่วนสำคัญต่อศักยภาพในการทำสิ่งต่างๆ ของมนุษย์ ไม่เพียงแต่ กีฬาเท่านั้น ทุกกิจกรรมเกี่ยวกับพลังจิต การสอบ การคิด ประดิษฐ์ ทำงานศิลปะ การแสดง หรือสร้างสรรอะไรก็ตามจะไม่ได้ผลดีหากเราไม่ผ่อนคลาย และ ถ้าใครชอบดูหนัง คงต้องเคยได้ยินชื่อ สตาร์ วอร์ STAR WARS มาบ้าง และหากเราโชคดีได้ดู จะสังเกตว่าเหล่าอาจารย์เจไดจะเตือนลูกศิษย์ตลอดเวลาว่า ... Relax ... (ซึ่งแปลว่าผ่อนคลาย)
โดยส่วนตัวแล้วผมเองไม่อยากให้เราเชื่อตามสิ่งที่ปรากฏในหนังเลยแม้แต่อย่าง เดียว จนกว่าจะได้ทดลองแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมพบว่าพลังจิตเกือบทั้งหมด (หรืออาจจะทั้งหมด) จะทำงานไม่ได้เลยหากเราผ่อนคลายไม่ดีพอ สำหรับ คนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับการใช้พลังจิต สิ่งนี้อาจฟังดูไม่สมเหตุสมผล เราคุ้นเคยกับคำพูดที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น และ เราคุ้นเคยกับภาพในหนังที่เห็นคนใช้พลังจิตเพ่งอยู่กับการรีดเค้นพลังจิตออก มาจนตัวสั่นเหงื่อท่วม
แต่จริงๆแล้ว ในโลกของพลังจิต ถ้าเราเครียดขนาดนั้น นอกจากไม่ทำให้พลังจิตได้ผลแล้ว มันกลับยิ่งทำให้พลังจิตทำงานน้อยลงครับ ขอย้ำ ว่าน้อยลง สำหรับกิจกรรมทางโลกทั่วไปหากไม่ใช้พลังจิตเราอาจรู้สึกว่าผลงานมันออกมา ฝืดๆ ไม่เต็มที่แค่นั้น แต่ในทางพลังจิต การไม่สามารถผ่อนคลายมันทำให้ผลออกมาแย่จริงๆ หรือไม่เกิดผลอะไรเลยด้วยซ้ำครับ วิธี การผ่อนคลายนั้นมีมากมาย ซึ่งแต่ละวิธีก็เหมาะกับรสนิยมและระดับฝีมือของแต่ละคน ไม่มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนทุกสถานการณ์หรอกครับ ผมเองก็ใช้อยู่หลายวิธี แล้วแต่ว่าขณะนั้นเหมาะกับวิธีใหน แต่ผมชอบวิธีนี้ที่สุด วิธีของผมแบ่งออกได้เป็น
สองส่วน คือ - การระบาย และ การพัก
... หลายคนอาจเคยดูกีฬาหรืออาจเคยเข้าแข่งกีฬาเองเลย คุณสังเกตเห็นใหมครับว่า
ถ้าแมตช์ไหนนักกีฬาเครียด เขาจะเล่นได้แย่กว่าฝีมือปกติของเขา
โดยไม่เกี่ยวกับสภาพร่างกาย โดยเฉพาะกีฬาที่ใช้ความแม่นยำและจังหวะมากกว่าพละกำลังตรงๆ เช่น ตีกอล์ฟ ยิงปืน บาสเก็ตบอล เบสบอล ฟุตบอล ฯลฯ
นี่เห็นชัด ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมโค๊ชทุกคนรู้ดีว่าเขาต้องทำให้นักกีฬามั่นใจและเล่นโดยไม่เครียดถึงจะ แสดงฝีมือได้เต็มที่
... มัน คือพลังจิตที่ช่วยให้นักกีฬายิงลูกหรือเคลื่อนไหวออกไปด้วยแรงที่เหมาะสม ในตำแหน่งที่พอดี ในจังหวะที่ถูกต้องครับ หากนักกีฬาอาศัยเพียงสมรรถภาพทางกายกับแค่ทำตามสูตรในหนังสือกีฬาอย่างเดียว โดยไม่อาศัยพลังจิตแล้วเล่นได้ดี เราจะไม่ต้องมีกองเชียร์และไม่มีคำว่าตื่นสนามเลยในวงการกีฬาครับ
แต่ที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะพลังจิตมีส่วนสำคัญต่อศักยภาพในการทำสิ่งต่างๆ ของมนุษย์ ไม่เพียงแต่ กีฬาเท่านั้น ทุกกิจกรรมเกี่ยวกับพลังจิต การสอบ การคิด ประดิษฐ์ ทำงานศิลปะ การแสดง หรือสร้างสรรอะไรก็ตามจะไม่ได้ผลดีหากเราไม่ผ่อนคลาย และ ถ้าใครชอบดูหนัง คงต้องเคยได้ยินชื่อ สตาร์ วอร์ STAR WARS มาบ้าง และหากเราโชคดีได้ดู จะสังเกตว่าเหล่าอาจารย์เจไดจะเตือนลูกศิษย์ตลอดเวลาว่า ... Relax ... (ซึ่งแปลว่าผ่อนคลาย)
โดยส่วนตัวแล้วผมเองไม่อยากให้เราเชื่อตามสิ่งที่ปรากฏในหนังเลยแม้แต่อย่าง เดียว จนกว่าจะได้ทดลองแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมพบว่าพลังจิตเกือบทั้งหมด (หรืออาจจะทั้งหมด) จะทำงานไม่ได้เลยหากเราผ่อนคลายไม่ดีพอ สำหรับ คนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับการใช้พลังจิต สิ่งนี้อาจฟังดูไม่สมเหตุสมผล เราคุ้นเคยกับคำพูดที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น และ เราคุ้นเคยกับภาพในหนังที่เห็นคนใช้พลังจิตเพ่งอยู่กับการรีดเค้นพลังจิตออก มาจนตัวสั่นเหงื่อท่วม
แต่จริงๆแล้ว ในโลกของพลังจิต ถ้าเราเครียดขนาดนั้น นอกจากไม่ทำให้พลังจิตได้ผลแล้ว มันกลับยิ่งทำให้พลังจิตทำงานน้อยลงครับ ขอย้ำ ว่าน้อยลง สำหรับกิจกรรมทางโลกทั่วไปหากไม่ใช้พลังจิตเราอาจรู้สึกว่าผลงานมันออกมา ฝืดๆ ไม่เต็มที่แค่นั้น แต่ในทางพลังจิต การไม่สามารถผ่อนคลายมันทำให้ผลออกมาแย่จริงๆ หรือไม่เกิดผลอะไรเลยด้วยซ้ำครับ วิธี การผ่อนคลายนั้นมีมากมาย ซึ่งแต่ละวิธีก็เหมาะกับรสนิยมและระดับฝีมือของแต่ละคน ไม่มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนทุกสถานการณ์หรอกครับ ผมเองก็ใช้อยู่หลายวิธี แล้วแต่ว่าขณะนั้นเหมาะกับวิธีใหน แต่ผมชอบวิธีนี้ที่สุด วิธีของผมแบ่งออกได้เป็น
สองส่วน คือ - การระบาย และ การพัก
1. เอาฝ่ามือไปทาบกับวัตถุอะไรก็ได้ เตียง พื้น หินพรมต้นไม้ ที่ดีที่สุดเป็นพื้นดิน แต่ถ้าไม่สะดวก ก็เอาอะไรก็ได้ครับ (แต่ไม่ควรเป็นคนหรือสัตว์)
2. กำหนดภาพพลังความฟุ้งซ่านจากในตัวเรา อาจสมมุติให้มันมีลักษณะอย่างไรก็ได้ตามที่เรารู้สึกว่ามันควรจะเป็นแบบนั้น เช่นอาจเป็นสายน้ำสีเทา หรืออะไรก็แล้วแต่ หากคุณไม่เห็นหรือไม่รู้สึกถึงพลังความฟุ้งซ่าน ก็แค่กำหนดอะไรขึ้นมาสักอย่างแล้วสมมุติว่านั่นเป็นความฟุ้งซ่าน ไม่ว่าเราจะรู้สึกจริงๆ หรือแค่สมมุติก็ตาม มันได้ผลอยู่ดีหากเราเปิดใจทดลอง
3. ปล่อยความฟุ้งซ่านนั่นออกไปตามแขนและมือ ผ่านฝ่ามือไปยังวัตถุเป้าหมายที่เราวางฝ่ามือไว้
1. นอน ไม่จำเป็นต้องใช้หมอน หรืออาจใช้ถ้าไม่ชอบนอนราบจริงๆ ท่าที่ดีที่สุดคือท่านอนหงายธรรมดาที่ทางโยคะเรียกว่าท่าศวอาสนะ (Corpse Posture) แต่หากทำไม่ได้ก็ใช้ท่าตามสะดวก หรือจะนั่งบนเก้าอี้นวมก็ได้ครับ แต่ที่สำคัญต้องแน่ใจว่าไม่ต้องออกแรงพยุงตัวเลยแม้แต่นิดเดียว คือสามารถหลับไปในท่านั้นได้เลย
2. หายใจนุ่มๆ ช้าๆ ลึกๆ ยาวๆ
3. เริ่มที่ปลายนิ้วเท้า ผ่อนคลายนิ้วเท้า ปล่อยความเครียดออกจากนิ้วเท้าให้หมด เราควรรู้สึกว่านิ้วเท้าเบา สบาย
4. มาที่เท้าทั้งหมด ผ่อนคลายเท้าให้สบาย
5. ไล่ขึ้นมาตามแข้ง เข่า ต้นขา ก้น
6. ขึ้นมาตามสะโพก ลำตัว เอว หลัง ซี่โครง อก ค่อยๆ ผ่อนคลายให้สนิท
7. คอ ไหล่ บ่า สะบัก (บ่าด้านหลัง) แขน ศอก ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ
8. ผ่อนคลายคอ คาง ขากรรไกร ปาก แก้ม จมูก หู ลูกตา เบ้าตา หว่างคิ้ว (สำคัญมาก) หน้าผาก หนังหัว
9. ควรจะครบ สำรวจว่ายังเหลือที่ใดที่ยังไม่ผ่อนคลาย พักให้หมด เป็นอันจบการผ่อนคลาย
นี่คือวิธีการฝึก ระบาย+ผ่อนคลาย อย่าง ไรก็ตาม สังเกตว่ามันจะใช้เวลาพอสมควร จริงๆแล้วในการใช้พลังจิตเราไม่จำเป็นต้องเตรียมผ่อนคลายเต็มรูปแบบอย่างนี้ ทุกครั้งไปครับ เพียงแต่แรกๆคุณควรฝึกทำแบบนี้จนร่างกายเกิดความเคยชินแล้ว มันจะทำงานโดยอัตโนมัติเร็วขึ้นไปเอง หากเราชำนาญ แค่พอคิดจะผ่อนคลายก็ผ่อนคลายเสร็จแล้วครับ
2. หายใจนุ่มๆ ช้าๆ ลึกๆ ยาวๆ
3. เริ่มที่ปลายนิ้วเท้า ผ่อนคลายนิ้วเท้า ปล่อยความเครียดออกจากนิ้วเท้าให้หมด เราควรรู้สึกว่านิ้วเท้าเบา สบาย
4. มาที่เท้าทั้งหมด ผ่อนคลายเท้าให้สบาย
5. ไล่ขึ้นมาตามแข้ง เข่า ต้นขา ก้น
6. ขึ้นมาตามสะโพก ลำตัว เอว หลัง ซี่โครง อก ค่อยๆ ผ่อนคลายให้สนิท
7. คอ ไหล่ บ่า สะบัก (บ่าด้านหลัง) แขน ศอก ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ
8. ผ่อนคลายคอ คาง ขากรรไกร ปาก แก้ม จมูก หู ลูกตา เบ้าตา หว่างคิ้ว (สำคัญมาก) หน้าผาก หนังหัว
9. ควรจะครบ สำรวจว่ายังเหลือที่ใดที่ยังไม่ผ่อนคลาย พักให้หมด เป็นอันจบการผ่อนคลาย
นี่คือวิธีการฝึก ระบาย+ผ่อนคลาย อย่าง ไรก็ตาม สังเกตว่ามันจะใช้เวลาพอสมควร จริงๆแล้วในการใช้พลังจิตเราไม่จำเป็นต้องเตรียมผ่อนคลายเต็มรูปแบบอย่างนี้ ทุกครั้งไปครับ เพียงแต่แรกๆคุณควรฝึกทำแบบนี้จนร่างกายเกิดความเคยชินแล้ว มันจะทำงานโดยอัตโนมัติเร็วขึ้นไปเอง หากเราชำนาญ แค่พอคิดจะผ่อนคลายก็ผ่อนคลายเสร็จแล้วครับ
สรุป
1. ขณะที่เราไม่ผ่อนคลาย เราไม่สามารถใช้พลังจิตได้
2. วิธีการผ่อนคลายมีมากมาย ไม่มีวิธีใหนที่ดีที่สุด ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม
เป็นยังไงบ้างครับ สบายดีกันหรือเปล่า คุณได้อ่านเรื่องการฝึกพลังจิตมาได้สามตอนแล้ว และผมหวังว่า คุณได้ฝึกบ้างแล้วใช่ใหมครับ ผมแนะนำให้คุณฝึกตามไปอย่างเป็นขั้นตอน อย่าใจร้อน เพราะผมจะเขียนบล็อกนี้แบบ step by step ถ้าคุณยังทำแบบฝึกหัดแรกๆ ไม่ได้ คุณจะทำแบบฝึกหัดหลังๆ ได้ยากมากขึ้นทุกทีๆ ครับ