ในโลกาใบนี้ ยังมีสิ่งชีวิตบางจำพวกสามารถแสดงคุณสมบัติของการเรืองแสงชีวภาพได้ด้วยตนเอง
เป็นแสงเรืองสว่างปราศจากความร้อน ได้แก่ พวกเห็ดราบางชนิด แมงบางพันธุ์ ปลาที่อาศัยอยู่ทะเลลึก เป็นต้น การมีแสงเรืองในตัวเองก็เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร การนำทาง หรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย …
หากท่านได้เห็นสิ่งมีชีวิตเรืองแสงเหล่านี้ ท่านคงจะไม่นึกตระหนกตกใจอะไรมาก นอกจากบางทีอาจจะทึ่งในความพิศดารที่ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้นขึ้นมา…
แต่ถ้าท่านบังเอิญเดินไปในที่เปลี่ยวยามรำคืนและท่านไปพบกับคนที่มีแสงเรืองในตัวเองเข้าบ้างล่ะ…
ท่านจะนึกอย่างไร?
เรื่องทเล่าแบ่งกันฟัง เขาว่ามันมีอยู่จริง ๆ .... เพราะ “มนุษย์เรืองแสง” นั้นไม่ใช่ผีปีศาจ
แต่เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์อย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องอภินิหาร ปาฏิหาริย์ หรือเรื่องโม้ใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่เป็นเรื่องที่มีนักวิทยาศาสตร์และนายแพทย์หลายคนได้เคยพบเห็นและยอมรับว่ามีจริง
ต่างบันทึกบอกเล่ากันเอาไว้แล้วทั้งนั้น มีอยู่หลายสิบราย และเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หายากเสียด้วย……
จากหนังสือสารานุกรมการแพทย์ชื่อ Anomalies and Curiosities of Medicine
มีบันทึกอยู่หลายสิบหน้ากล่าวถึงเรื่องราวของคนที่มีแสงเรืองในตัวเองซึ่งเป็นบันทึกของแพทย์หลายสมัยที่ได้เคยพบเห็น และเขียนบันทึกทางการแพทย์เอาไว้ เช่น
นายแพทย์จอร์ช กูลด์ และนายแพทย์ วอลเตอร์ ไพล์ (ปีพ.ศ. 2440) มีบันทึกไว้ว่า
…..ได้พบคนไข้ที่เป็นโรคเนื้องอกในทรวงอกรายหนึ่งมีอาการหนักมากเมื่อมาขอการรักษา
ขณะรับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ประมาณวันที่สองก็สังเกตเห็นปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ปรากฏมีแสงเรืองสว่างออกมาจากทรวงอกของคนไข้
แสงเรืองประหลาดเกิดขึ้นจากภายในบริเวณเนื้อเยื่อที่เป็นโรคเนื้องอกนั่นเอง
ต่อมาปรากฏการณ์อัศจรรย์นี้ก็เพิ่มมากขึ้น แสงเรืองสว่างมาก
โดยเฉพาะถ้าอยู่ในที่มืด ๆ จะสามารถส่องดูนาฬิกาได้ในระยะห่าง 2 ฟุตอย่างสบาย ๆ ……..
บันทึกอีกฉบับหนึ่ง เป้นของ ดร. เฮอวาร์ด คาร์ริงตัน นักค้นคว้าทางฟิสิกส์
ผู้ซึ่งบังเอิญได้พบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญและปรากฏการณ์อัศจรรย์เข้ากับตนเองจึงบันทึกเอาไว้ว่า
….เกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตเนื่องจากกลืนของแหลมคมลงไปในท้อง
ก่อนขาดใจตายมีอาการดิ้นบิดตัวอย่างทุรนทุราย ต่อหน้าต่อตาญาติที่นำตัวมาส่งและต่อหน้าแพทย์พยาบาล
ที่กำลังพยายามให้ความช่วยเหลือ เด็กคนนั้นเปล่งแสงเรืองสีน้ำเงินออกมารอบตัววูบวาบไปหมด
เล่นเอาทุกคนในที่นั้นตกใจจนคิดอะไรไม่ถูก และต่อมาอีกไม่กี่นาทีเด็กคนนั้นก็ขาดใจตาย…….
บันทึกของคณะแพทย์จากอิตาลีในปี พ.ศ. 2477 ก็มีรายงานสั้น ๆ
เกี่ยวกับเรื่องอัศจรรย์ที่ล่ำลือกันในสมัยนี้อยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องของ
“หญิงเรืองแสงแห่งปิราโน” (Luminous Women of Pirano) บันทึกกล่าวว่า
….นางแอนนา โมนาโร เป็นผู้ป่วยด้วยโรคหืดเรื้อรัง ได้เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลปิราโน และอยู่ ๆ ในคืนหนึ่งขณะที่นางนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องรวมของโรงพยาบาลแห่งนั้น บริเวณหน้าอกและลำคอของนางก็ปรากฏแสงเรืองออกมาเป็นแสงสีน้ำเงิน เล่นเอาคนไข้อื่น ๆ บนเตียงข้าง ๆ
ที่เห็นเข้าพอดีต่างเผ่นลงจากเตียนแทบไม่ทัน ร้องแรกแหกกระเชอวุ่นวายไปหมดบรรดาแพทย์เวรและพยาบาลต่างวิ่งมาดู และต่างก็ยืนตะลึงมองกันตาปริบ ๆ แพทย์ใหญ่สั่งให้ถ่ายรูปเอาไว้และเข้าไปตรวจสอบร่างกายด้วยตนเอง แต่พอปลุกให้คนไข้ตื่นแสงเรืองประหลาดก็หรี่ดับไป…
แพทย์หลายนายพยายามตรวจหาความผิดปกติแต่ก็ไม่สามารถวินิจฉัยอะไรได้เลย…..
บันทึกได้กล่าวเอาไว้ด้วยว่า จากการเจาะเลือดไปตรวจพบว่า
นางโมนาโรมีปริมาณของสารจำพวกกำมะถันอยู่ในเลือดสูงผิดปกติ…..
แสงเรืองประหลาดจะปรากฏขึ้นเสมอเฉพาะตอนที่นางนอนหลับเท่านั้น มีแพทย์หลายสิบคนจากสาขาต่าง ๆ พากันแห่ไปศึกษาตรวจดูปรากฏการณ์อัศจรรย์ของนางโมนาโร และต่างก็ลงความเห็นกันไปต่าง ๆ นานา
เช่นกล่าวว่า แสงเรืองเกิดจากประจุไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กในธรรมชาติทำปฏิกิริยากับเซลล์ชีวภาพ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับสารกำมะถันในเลือดด้วยก็ได้…..
บ้างก็ลงความเห็นว่า จำนวนสารกำมะถันในเลือดของนางอาจทำปฏิกิริยากับคลื่นอัลตราไวโอเลตในธรรมชาติ ทำให้เกิดการรบกวนกระตุ้นในอะตอมกำมะถันและสารชีวเคมีบางอย่างเกิดการเรืองแสงขึ้นมาได้เอง…….
แต่คำอธิบายความคิดเห็นเหล่านั้นไม่มีของใครจะให้ความกระจ่างชัดได้เลย เพราะมันไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมแสงเรืองจึงเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณหน้าอกและลำคอ
และที่สำคัญคือ ทำไมมันเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่นางโมนาโรนอนหลับเท่านั้น?……..
ก็นี่แหละครับ ถ้ามนุษย์เกิดมีแสงขึ้นมาได้มันก็ปรากฏการณ์อัศจรรย์แปลกประหลาดอักโขอยู่
แต่สำหรับสัตว์บางชนิดหรือพวกเห็ดราแล้วละก็ นักชีวะเขารู้แน่ว่าสาเหตุมันเนื่องมาจากอะไร
พวกหนอนกระสือหรือเจ้าตัวที่เด็ก ๆ เรียกว่า “ทิ้งถ่วง” หรือหิ่งห้อยเป็นสัตว์ที่มีแสงเรืองได้โดยธรรมชาติ
และก็เป็นของธรรมดา ๆ ที่ใคร ๆ คงเคยเห็นกันมาแล้ว
แสงเรืองในสิ่งที่มีชีวิตบางชนิดเหล่านั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีอย่างต่อเนื่อง โดยมีสารเอนไซม์บางอย่างเป็นตัวกระตุ้นให้โมเลกุลส่วนหนึ่งเกิดการออกซิไดซ์
และปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสงสีฟ้า น้ำเงิน เขียว หรือขาว
สารชีวเคมีที่เป็นตัวสำคัญในการทำให้เกิดปฏิกิริยา “แสงเย็น” ดังกล่าวมีอยู่หลายชนิด ได้แก่
ออกซิเจน, ลิวซิเฟอเรส (luciferase), ลิวซิเฟอรีน (lucifurein) และอะดิโนซินไตรฟอสเฟท
หรือ ATP (Adinosine triphosphate) เป็นต้น ……….
แต่ทว่าปฏิกิริยาเคมีเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด
และถ้าจะไปบอกนักชีวะว่าร่างกายมนุษย์สามารถผลิตสารชีวเคมีที่ทำให้เกิดแสงเรืองได้
ซึ่งอาจเป็นสารอย่างอื่น ๆ ที่ยังไม่มีการค้นพบ นักชีวะจะส่ายหัวไม่ยอมรับความคิดนั้นเด็ดขาด
ดังนั้นการเรืองแสงได้ในตัวคนจึงยังเป็นสิ่งที่มืดมน และยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ……
ปฏิกริยาทางชีวเคมีหรือว่าปฏิกิริยาจากแม่เหล็กไฟฟ้ากับระบบชีวภาพกันแน่…..
หรืออีกทีหนึ่งคงต้องมองกันในแง่จิตในมิติที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางกายภาพเลยก็ได้
รังสีมนุษย์
ยังมีเรื่องราวของการเรืองแสงของมนุษย์อีกครั้ง คราวนี้มองกันในแง่ที่ไม่ใช่วัตถุธรรม
แสงเรืองแห่งมนุษย์ในแง่นี้เรียกว่า
“ออร่า” (aura) หรือการเปล่งรังสีแสง หรือรัศมีเรืองรองบางอย่างออกมารอบตัว
อาจจะเป็นแสงเรืองสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็น หรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น
แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ทิพย์จักษุ” ก็ได้…….
กล่าวกันว่าการเปล่งรัศมีเหล่านี้มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏเข้มข้นเฉิดฉายมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง และรองลงมาจะมีรังสีแจ่มกระจ่างในบุคคลที่มีจิตใจอยุ่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอ ๆ ……. ปรากฏการณ์ออร่าจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิต วิญญาณ เสียเป็นส่วนใหญ่…..
ดร.แนนดัวร์ โฟดัวร์ นักปรจิตวิทยา หรือ parapsychologis ได้อธิบายไว้ว่า…
พวกนักบุญและผู้ชำนาญการศาสนาทางตะวันตกได้จำแนกลักษณะของออร่าไว้ 4 แบบ ด้วยกัน กล่าวคือ:-
๑. แบบ นิมบัส (Nimbus) คือแบบที่มีออร่าแผ่ออกมาในลักษณะคล้ายการ “ทรงกลด” เป็นรัศมีทรงกลมรอบศีรษะ
๒. แบบ ฮาโล (Halo) เป็นแบบการแผ่รังสีที่มีลักษณะคล้ายวงแหลวแผ่ออกมารอบศีรษะเหมือนกัน
๓. แบบ ออรีโอลา (Aureola) เป็นแบบลักษณะแผ่รังสี คล้ายเปลวเพลิงทรงกลด
๔. แบบ กลอรี (Glory) เป็นลักษณะแสงเรืองเปล่งปลั่งเรืองรองแผ่ออกมารอบร่างกาย
ส่วนมากบุคคลที่มีออร่าแบบกลอรีนี้มักเป็นคนที่มีบุญวาสนาสูงส่งมาก ๆ หรือไม่ก็พวกศาสดาผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุด
เรื่องออร่ามิใช่มีอยู่เฉพาะทางซีกโลกตะวันตกเท่านั้น ทางซีกโลกตะวันออกอย่างบ้านเมืองเราก็มีเช่นกัน และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าด้วย….
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเข้าฌาน (Theosophists) ของทางตะวันออกได้จำแนก
ลักษณะของออร่ารังสีของมนุษย์เอาไว้ 5 แบบด้วยกัน กล่าวคือ :
๑. สุขภาวะรังสี (Health aura)
๒. กรรมรังสี (Karmic aura)
๓. ชีวรังสี (Vital aura)
๔. บุคลักษณะรังสี (Aura of Character)
๕. วิญญาณรังสี (Aura of Spiritual nature)
สีแสด ส้ม จะเกิดเมื่อมีอารมณ์โกรธ หรือเกลียด หรือถูกกดดัน
สีแดงเข้มคล้ำจะเกิดขึ้นเมือมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ อยู่ในโทสะจริตหรือกำลังลุ่มหลงด้วยโลภราคะ
สีน้ำตาล จะปรากฏขึ้นเมือเกิดอารมณ์ตระหนี่ หึงหวง หรือเกิดความงก
สีแดงดอกกุหลาบ เกิดขึ้นเมืองอยู่ในอารมณ์แห่งความรัก ความใคร่ทางกาม
สีเหลือง จะเกิดขึ้นถ้าอยู่ในอารมณ์เป็นกลางหรือในขณะใช้ความคิดทางสติปัญญา
สีม่วง จะปรากฏออกมาเมื่อเกิดอารมณ์สงบ วิเวก
สีน้ำเงิน ปรากฏได้ก็ต่อมเออยู่ในอารมณ์เชื่อมันมีจิตศรัทธาในรสพระธรรมหรือบุญกุศล และ
สีเขียว จะเกิดขึ้นถ้ามีอารมณ์อิจฉาริษยา ……
นอกจากนี้แล้วผู้เชี่ยวชาญทางการเข้าฌานบางคนยังเคยเห็นสีของออร่าสีอื่น ๆ อีก
แต่ยังระบุไม่ได้ว่ามีความหมายอย่างไร นอกจากผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคือสตีเฟน อสวิคกิ ในปีพ.ศ. 2443 ยืนยันว่าได้เห็นออร่าของคนใกล้จะตายเปล่งสีออกมาเป็นสีเทาทึบ ๆ คล้ายหมอกควันดำ
และเขาได้เห็นหลายครั้งเป็นเช่นนั้น จึงเชื่อว่าสีเทาดำนั้นเป็นสีที่เกิดขึ้นก่อนที่จิตจะสละร่างออกไป
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ กล่าวกันว่าตอนที่พระองค์ตรัสรู้นั้น
ทรงเปล่งรังสีออกมารอบพระวรกายเป็นฉัพพรรณรังสีเลยทีเดียว
ว่ากันว่าแสงสว่างแห่งรังสีนั้นสว่างวาบกระจายไปทั่วจักรวาล ขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นสูงสุด และลงไปถึงนรกขุมอเวจี พวกสัตว์อเวจีนรกได้เห็นกันแวบเดียว
แต่พวกเทวดาและพรหมชั้นสูงต่างได้เห็นรังสีเรืองรอง ทำให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้วในพิภพนี้..
ฉัพพรรณรังสีประกอบด้วยแสงสี 6 สี กล่าวคือ
สีเขียวเหมือนดอกอัญชัน
เหลืองเหมือนหรดาล
ทองแดงเหมือนตะวันอ่อน
ขาวเหมือนแผ่นเงิน
สีหงสบาทเหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่ และ
สีประภัสสรคือเลื่อมพรายแวววาวคล้ายสีในผลึกแก้ว…
แสงแห่งศีรษะ
มีเรื่องกล่าวขวัญล้ำลือกันมามายเกี่ยวกับผู้ทรงศีล นักบุญ นักบวช
ทั้งของตะวันออกและตะวันตกที่สามารถเปล่งรังสีออร่าออกจากร่างกาย
จนทำให้คนธรรมดาสามารถมองเห็นได้ดัวยตาเปล่า…
เรื่องราวนี้มีมูลความจริงอยู่บ้านเพราะมีปรากฏอยู่ในบันทึกและคำให้การจากผู้ที่เชื่อถือได้
ดังเช่นจากบันทึกของโป๊บ เบเนติค ที่ 14 เขียนไว้ว่า
….ความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของเปลวแสงที่ห่อหุ้มอยู่รอบตัวมนุษย์บางคน หรือรังสีที่เปล่งออกมารอบศีรษะของคนบางคนนี้ไม่เหมือนกับเปลวไฟ เพราะมันไม่พริ้วสะบัดขึ้นข้างบน แต่มันพริ้วสะบัดออกไปเป็นรัศมีรอบทิศทาง เปลวแสงนี้มิได้เกิดขึ้นอยู่แค่ภายในร่างกายของคน
แล้วเปล่งประกายแผ่ออกมา แต่บางครั้งยังเกิดขึ้นได้กับสิ่งของเครื่องใช้ซึ่งเป็นของคนคนนั้น
หรือเป็นสิ่งของที่อยู่ใกล้ชิดตัวคนคนนั้น หรือเป็นสิ่งของที่คนคนนั้นได้สัมผัส…
……อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องจากบันทึกของสาธุคุณ ดี.สโคร์เรลลี ผู้ซึ่งเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยเยซูอิท
ที่ดคอิมบรา ในโปตุเกส…ราวปี พ.ศ. 2143
..วันหนึ่งตอนบ่าย มีผู้ต้องการเข้าพบสาธุคุณฟรานซิสโก ซูเอรีส แห่งสเปน
ผู้ซึ่งเป็นครูสอนศาสนาประจำอยู่ในวิทยาลัย จึง ให้นักบวชเจอรโรมี ดา ซิลวา ไปตามตัวที่บ้านพัก พบว่าม่านไม้หน้าประตูบ้านปิดอยู่ซึ่งแสดงว่าสาธุคุณฟรานซิสโกไม่ต้องการให้ใครเข้าไปรบกวนในบ้าน
นักบวชซิลวาจึงได้แต่ยืนร้องเรียกอยู่หน้าประตู แต่ก็ไม่มีใครขานรับจนรู้สึกผิดปกติและด้วยคำสั่งกำชับจากท่านาธุคุณผู้อำนาวยการให้ตามตัวมาให้ได้
จึงตัดสินใจเปิดม่านประตูก้าวเข้าไป และก็พบว่า
ภายในห้องนั้นมีแสงเรืองสว่างผิดปกติ ร่างของสาธุคุณฟรานซิสโกกำลังคุกเข่า
หันหลังให้อยู่หน้าหิ้งบูชาด้วยอาการสงบนิ่ง
แต่ที่น่าประหลาดคือศีรษะของท่านสาธุคุณมีแสงสว่างเรืองส่องออกมาสว่างผิดปกติ
จะว่าเป็นแสงเทียนบูชาก็ไม่ใช่ เพราบนหิ้งบูชาไม่มีเทียน
มีแต่ไม้กางเขนและเครื่องประดับอื่น ๆ อีกเล็กน้อย ….
ชั่วอึดใจนั้นท่านสาธุคุณฟรานซิสโกก็หันกลับมา
คราวนี้นักบวชซิลวาถึงกับผงะด้วยความตกใจ ตั้งแต่ศีรษะ หน้าผาก
ใบหน้าลงมาถึงหน้าอกของท่านสาธุคุณมีแสงเปลวไฟเรืองสว่างออกมา…..
นักบวชหนุ่มถอยหลังออกมานอกห้องอย่างตกใจ
พอตั้งสติได้ก็เผ่นกลับไปรายงานให้ผู้อำนวยการวิทยาลัยทราบเรื่องทันที
…เมื่อผู้อำนวยการวิทยาลัยทราบเรื่องดังกล่าวแล้วจึงรีบออกมาดูด้วยตนเอง
และพบว่าท่านสาธุคุณฟรานซิสโกกำลังรอคอยอยู่แล้ว ท่านพนมมือและกล่าวด้วยน้ำตาว่า….
ท่านไม่ต้องตกใจเป็นห่วงอะไรหรอกข้าพเจ้าไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น อีกสองสามชั่วโมงก็จะกลับคืนเป็นปกติ…
เรื่องราวของปกราฏการณ์อัศจรรย์แห่งแสงเรืองของสาธุคุณฟรานซิสโกได้รับการปกปิด
ตราบจนกระทั่งท่านมรณะไปในปี พ.ศ. 2510 จึงได้รับการเปิดเผย….
แสงแห่งวิญญาณ
ยังมีเรื่องของแสงอัศจรรย์อีกแบบหนึ่งทีเกี่ยวข้องกับคนบางคน
แสงเรืองนี้จะเกิดขึ้นติดตามคนบางคนในเฉพาะบางเวลาเท่านั้น
แสงเรืองชนิดนี้มีจริงและทางวิทยาศาสตร์ก็ยังอธิบายไม่ได้
ส่วนมากมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีการกระทำพิธีอันเกี่ยวเนื่องกับทางจิตวิญญาณ และศาสนา
หรือทางไสยศาสตร์ต่าง ๆ และมีพบบ้างในพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ….
เก็บเล็กผสมน้อยนำมาย่อยฝอยกันฟังหวังให้เพลิดเพลินเขียนมากเดี๋ยวจะเกิน
….พิภพโลกานี้ยังมีสิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์อีกแยะที่ยังไม่มีใครทราบคำตอบความลี้ลับจะยังปรากฏ
อยู่ตราบที่ความรู้ยังมีเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับสิ่งที่มีอยู่ในมิติแห่งนี้ทั้งหมด
…..สิ่งที่เรารู้ ยังมีที่สิ้นสุดแต่สิ่งที่เราไม่รู้นั้น มันหาที่สิ้นสุดบ่ได้….
**** dd. ทำให้นึกถึงประโยคที่ว่า ...... อันหาเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดมิได้
แต่ก็ยังคิดว่า พุทธญาณ , สัพพัญญุตญาณ , หรือญาณทัสสนะของผู้มีบารมีธรรมแก่กล้า
น่าจะรู้ทุกสิ่งและรู้ทั้งหมด ที่อยู่ในวัฏฏสงสาร และที่อยู่นอกวัฏฏสงสาร
เพราะมีคำว่า ใน จึงควรมีสิ่งที่อยู่ นอก แต่จะเป็นอะไร อย่างไร ณ ตอนนี้คงบอกได้แต่ว่า
…..สิ่งที่ มนุษย์ หรือ ทิพย์ และพรหม รู้ ยังมีที่สิ้นสุดแต่สิ่งที่ยังไม่รู้นั้น มันหาที่สิ้นสุดบ่ได้….
******
"พระฉัพพรรณรังสีที่แผ่จากพระกายพระพุทธเจ้า"
ฉัพพรรณรังสี คือแสงสว่างที่พวยพุ่งออกจากจุดกลางเป็นรัศมี ๖ ประการ ซึ่งเปล่งออกจากพระสรีรกายของพระพุทธเจ้า คือ๑. นีละ เขียวเหมือนดอกอัญชัน
๒. ปีตะ เหลืองเหมือนหรดาลทอง
๓. โลหิตตะ ขาวเหมือนแผ่นเงิน
๕. มัญเชฏฐะ สีหงสบาทเหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่
๖. ปภัสสระ เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก
สีทั้ง ๖ นี้ไม่ได้พุ่งออกเป็นสี ๆ ดังที่แยกไว้นี้ แต่แผ่ออกมาพร้อมกัน ในหนังสือปฐมสมโพธิกถา ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าวถึงพระฉัพพรรณรังสีที่แผ่ซ่านออกจากพระกายพระพุทธเจ้า ไว้ดังนี้
"ในลำดับนั้น พระฉัพพรรณรังสีก็โอภาสแผ่ออกจากพระสริรกาย อันว่า นิลประภาก็เขียวสดเสมอด้วยสีแห่งดอกอัญชัน มิฉะนั้นดุจพื้นแห่งเมฆแลดอกนิลุบลแลปีกแห่งแมลงภู่ ผุดออกจากอังคาพยพในที่อันเขียวแล่นไปจับเอาราวป่า
และพระรัศมีที่เหลืองนั้นมีครุวนา ดุจสีเขียวแล่นไปจับเอาราวป่า แลพระรัศมีที่เหลืองนั้นมีครุวนา ดุจสีหรดารทองแลดอกกรรณิการ์แลกาญจนปัฏอันแผ่ไว้ พระรัศมีออกจากพระสริรประเทศในที่อันเหลืองแล้ว แล่นไปสู่ทิศานุทิศต่าง ๆ
พระรัศมีที่แดงอย่างพาลทิพากรแลแก้วประพาฬ แลกุมุทปทุมกุสุมชาติ โอภาสออกจากพระสริรอินทรีย์ ในที่อันแดงแล้วแล่นฉวัดเฉวียนไปในประเทศที่ทั้งปวง
พระรัศมีมีที่ขาวก็ขาวดุจดวงรัชนิกร แลแก้วมณี แลสีสังข์ แลแผ่นเงิน แลดวงดาวพกาพฤกษ์ พุ่งออกจากพระสริรประเทศในที่อันขาวแล้วแล่นไปในทิศโดยรอบ
พระรัศมีหงสสิบาทก็พิลาสเล่ห์ดุจสีดอกเซ่ง แลดอกชบา แลดอกหงอนไก่ออกจากรัชกายรุ่งเรืองจำรัส
พระรัศมีประภัสสรประภาครุนาดุจสีแก้วพลึกแลแก้วไพฑูริย์เลื่อมประพระฉัพพรรณรังสีทั้ง ๖ ประการ แผ่ไพศาลแวดล้อมไปโดยรอบพระสกลกายยินทรีย์ กำหนดที่ ๑๒ ศอก โดยประมาณ อันว่า ศศิสุริยประภาแลดาราก็วิกลวิการอันแสง เศร้าสีดุจหิ่งห้อยเหือดสิ้นสูญ มิได้จำรูญไพโรจโชติชัชวาล"
ที่มา : http://www.dmc.tv
____________________
loading...