เป็นยังไงบ้างครับ สบายดีกันหรือเปล่า คุณได้อ่านเรื่องการฝึกพลังจิตมาได้สามตอนแล้ว และผมหวังว่า คุณได้ฝึกบ้างแล้วใช่ใหมครับ ผมแนะนำให้คุณฝึกตามไปอย่างเป็นขั้นตอน อย่าใจร้อน เพราะผมจะเขียนบล็อกนี้แบบ step by step ถ้าคุณยังทำแบบฝึกหัดแรกๆ ไม่ได้ คุณจะทำแบบฝึกหัดหลังๆ ได้ยากมากขึ้นทุกทีๆ ครับ
ก่อนจะอ่านบทที่ 4 นี้ คุณยังจำแบบฝึกหัดในบทแรกได้ใหมครับ บอลพลังปราณ (PSI Ball) ในบทนี้เราจะมาทำอะไรที่ยากกว่านั้นหน่อย คือ "การตรวจสอบพลังงานออร่าด้วยมือ" วิธีการดังนี้ครับ
1. ทำ PSI Ball แรกๆ คุณควรทำแบบนี้เพื่ออุ่นเครื่องให้กับมือของคุณ แต่ถ้าคุณชำนาญแล้ว คุณอาจข้ามขั้นนี้ไป
2. เปลี่ยนจากฝ่ามือหันหากัน เป็นนำฝ่ามือข้างใดข้างหนึ่ง ไปจับพลังงานที่เหนือแขนอีกข้างหนึ่ง เริ่มจากไกลๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เลื่อนเข้าหากันช้าๆ เลื่อนมือเข้า-ออกจากแขน แล้วสังเกตความรู้สึก
3. เปลี่ยนไปสัมผัสพลังงานจากจุดอื่นๆ บนร่างกาย หัว ลำตัว ขา ฯลฯ ตามแต่จะชอบ สลับมือได้ตามที่ต้องการ
ที่ สำคัญ ต้องผ่อนคลายตลอดครับ ในการสัมผัสพลังงาน และการใช้พลังจิตทุกชนิดต้องผ่อนคลายเสมอ ยิ่งเกร็งมันยิ่งไม่ได้ผลครับ นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญ
ก่อนจะอ่านบทที่ 4 นี้ คุณยังจำแบบฝึกหัดในบทแรกได้ใหมครับ บอลพลังปราณ (PSI Ball) ในบทนี้เราจะมาทำอะไรที่ยากกว่านั้นหน่อย คือ "การตรวจสอบพลังงานออร่าด้วยมือ" วิธีการดังนี้ครับ
1. ทำ PSI Ball แรกๆ คุณควรทำแบบนี้เพื่ออุ่นเครื่องให้กับมือของคุณ แต่ถ้าคุณชำนาญแล้ว คุณอาจข้ามขั้นนี้ไป
2. เปลี่ยนจากฝ่ามือหันหากัน เป็นนำฝ่ามือข้างใดข้างหนึ่ง ไปจับพลังงานที่เหนือแขนอีกข้างหนึ่ง เริ่มจากไกลๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เลื่อนเข้าหากันช้าๆ เลื่อนมือเข้า-ออกจากแขน แล้วสังเกตความรู้สึก
3. เปลี่ยนไปสัมผัสพลังงานจากจุดอื่นๆ บนร่างกาย หัว ลำตัว ขา ฯลฯ ตามแต่จะชอบ สลับมือได้ตามที่ต้องการ
ที่ สำคัญ ต้องผ่อนคลายตลอดครับ ในการสัมผัสพลังงาน และการใช้พลังจิตทุกชนิดต้องผ่อนคลายเสมอ ยิ่งเกร็งมันยิ่งไม่ได้ผลครับ นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญ
จะสังเกตว่าในครั้งนี้ คุณได้สัมผัสพลังงานมากขึ้น ดังนั้นในบทนี้เรามาเรียนรู้ลักษณะทั่วไปของพลังงานกันดีกว่า
1. ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน
สนาม พลังของแต่ละคน จะไม่มีทางเหมือนกันเป๊ะเลยครับ อย่างมากก็แค่คล้ายๆ ไม่ว่าจะเสียง สี แสง สัมผัส สนามแม่แหล็กหรืออื่นๆ ยังไงก็ไม่เหมือนแน่ ทุกคนมี "ความถี่" ของตัวเอง
เวลา ที่ความถี่ของใครใกล้ๆ กัน มันจะมีความรู้สึกคุ้นเคย รู้สึกเป็นธรรมชาติ เราจะ "ต่อติด" ง่าย ซึ่งบางทีการที่มันสอดคล้องนี่ก็อาจจะมาจากความเกี่ยวข้องหรือคล้ายคลึงทาง อารมณ์ นิสัย วิธีการใช้ชีวิต สภาพแวดล้อม ฯลฯ ในทางกลับกัน มันก็มีที่แบบว่าพลังงานมีตวามถี่ต่างกันสุดๆ ไปเลย ซึ่งส่วนใหญ่นี่ทำให้เกิดความอึดอัดหรือไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกพบโดยที่ไม่ รู้ว่าทำไม ทั้งที่จริงๆ คนคนนั้นอาจไม่มีปัญหาหรือเลวร้ายอะไรหรอกครับ ยังไงก็ตาม ถ้าออร่ามันขัดกันนะครับ เราอยู่ใกล้ๆ กันไปนานๆ มันจะทำปฏิกิริยาบางอย่างทำให้ออร่ามันปรับเข้าหากันเองครับ แล้วจากที่ว่ามานี้ เป็นที่มาของกฏ "การดึงดูดคนแบบเดียวกัน"นั่นเอง หมายความว่า.. เราเป็นยังไง เราก็มีแนวโน้มจะพบเจอคนที่เป็นแบบนั้นแหละครับ
2. ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้
เวลา ที่เราไปติดต่อหรือพบปะกับใครพลังงานออร่าของเราจะแลกเปลี่ยนกันไม่มากก็ น้อยครับ ขึ้นอยู่กับว่าระดับความถี่มันไกล้กันแค่ไหน แล้วก็ติดต่อกันมากแค่ไหน ซึ่งจะมีทั้งการรับพลังหรือส่งพลังก็ได้
แต่ อย่างไรก็ตามถ้าเราไม่รู้จักวิธีจัดการกับพลังงาน บางครั้ง เราอาจสะสมเอา "ขยะ" พลังงานมาไว้โดยไม่รู้ตัว บางทีเราอาจมีอารมณ์หรือไอเดียแปลกๆ หลังจากที่คลุกคลีกับคนบางคน บางคนเราอยู่ใกล้ๆ แล้วเหนื่อย บางคนอยู่ใกล้ๆ แล้วคึกคัก บางคนอยู่ใกล้ๆ แล้วอยากจะบ้าโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรต่างจากปกติเลย แต่มันเกี่ยวกับพลังงานรอบๆ ตัวเราต่างหาก
ทุกอย่าง ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ ต่างก็มีพลังออร่าทั้งนั้น และนั่นทำให้ไม่เพียงคนที่มีผลกระทบต่อเรา สัตว์ (โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงที่ปรับความถี่แล้ว) สถานที่ และแน่นอน ต้นไม้ ล้วนส่งผลต่อพลังงานของเราทั้งนั้นครับ โดยทั่วไปแล้วต้นไม้มีความสามารถที่จะเอาพลังงานเสียๆ ของเราไปจากเราแล้วหมุนเวียนใช้ประโยชน์ต่อได้ และคงไม่ต้องยืนยันว่าการพักผ่อนใต้ร่มไม้จะช่วยทำให้เราฟื้นตัวได้ดีกว่าการนั่งในที่ทั่วๆ ไปมาก จริงไหมครับ
3. ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้
นอก จากเรารับผลจากสิ่งแวดล้อมแล้ว ส่งแวดล้อมก็รับผลจากเราด้วยครับ สมมุติเรานอนบนเตียงเดิมนานๆ พลังงานของเตียงนั้นจะถูกปรับให้สอดคล้องกับเราครับ แล้วทีนี้คุณคงเคยเห็นคนที่เวลาไปนอนที่อื่นแล้วนอนไม่หลับ ทั้งที่เตียงสุดแสนจะสบาย ก็เพราะพลังงานมันไม่ตรงกันนั่นเอง หรือแม้แต่เพื่อน แรกๆ อาจจะไม่ค่อยคุ้น แต่นานๆ ไปจะเริ่มมีความรู้สึกนึกคิดใกล้เคียงกัน หรืออาจเริ่มไปไกลเกินเพื่อน (อาฮ่า!) หรืออย่างเด็กๆ บางคนที่กอดตุ๊กตาเน่าๆ มานานๆ เวลาใครเอาตุ๊กตาหรือผ้าห่มเน่าๆ นั่นไปทิ้งแล้วเอาของใหม่ สบายกว่า นุ่มกว่า สวยกว่ามาให้ เด็กๆ ส่วนใหญ่จะไม่ชอบครับ เขาชอบอันเก่า เพราะพลังงานของผ้าขี้ริ้วนั่นมันตรงกับเขา เขากอดมันแล้วรู้สึกสบายกว่าอันใหม่เป็นไหนๆ
หลักการนี้เองที่เป็นพื้นฐานให้กับพลังจิต Psychometry เวลาที่นักพลังจิตจับสิ่งของที่เคยถูกใครใช้มานานๆ เขาจะรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผู้ใช้ เพราะเขาสัมผัสและตรวจสอบจากร่องรอยของพลังงานที่ตกค้างอยู่บน "หลักฐาน" นั้นๆ ซึ่งแน่นอน ของที่ไม่มีความสำคัญหรือไม่ค่อยได้ใช้ก็จะอ่านยากกว่า
อย่าง เวลาทำงานร่วมกับคนอื่น สมมุติเพื่อนร่วมงานสองคนฉลาดเท่าๆ กันทุกอย่าง เราจะทำงานได้ดีกับคนที่คุ้นเคยกว่าครับ อันนี้ไม่แปลก แต่เบื้องหลังก็คือพลังงานมันสอดคล้องกันและไม่ตีกันเองนั่นแหละครับ ยิ่งถ้าสมมติมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากๆ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางเพศ พลังงานจะกระทบ (ทั้งที่ดีและไม่ดี) ต่อกันมากครับ
อย่าง เวลาตายจากกัน ร่องรอยพลังงานของผู้ตายบนตัวของคนที่ยังอยู่ จะสลายตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดความแปรปรวนอย่างมาก การร้องไห้ตีโพยตีพายเป็นกระบวนการปรับพลังงานตามธรรมชาติ ยิ่งพลังงานประทับไว้มาก ยิ่งจำเป็นต้องร้องมากครับ
4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ
สี ความสว่าง ความชัด ขนาด และรูปทรง ของออร่า บ่งบอกสภาพของเจ้าของได้เสมอ (แต่ระวัง ต้องตีความสิ่งที่เราเห็นดีๆ นะครับ)
ยัง ไงซะ โดยทั่วไป ออร่าที่ไม่ดีจะดูไม่งาม หมองคล้ำ บิดเบี้ยว ซีด บาง แหว่ง ส่วนออร่าที่ดีก็จะตรงข้ามครับ สดใสสะอาด สวยงามได้รูป ส่องสว่างกว้างไกล (ไม่ใช่แสงสว่างทางฟิสิกส์นะ) ส่วนสีต่างๆ ก็จะมีความหมายต่างกันออกไป ซึ่งภายหลังหากเราฝึกไปมากๆ เราก็จะรู้ว่าสีแบบไหนหมายถึงอะไร โดยประสบการณ์
แต่ ระวัง! สภาพของคนคนหนึ่งไม่คงที่ เดี๋ยวดี เดี๋ยวแย่ได้ ดังนั้นออร่าก็ไม่คงที่เหมือนกัน สมมุติเรามองเห็นคนหนึ่งเป็นสีแดง แล้วเวลาผ่านไปมองอีกทีเป็นสีเขียว เราอาจไม่ได้กำลังอ่านผิดครับ ...
สรุป
1. ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน
2. ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้
3. ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้
4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ
loading...