อีกหนึ่งในวัตถุปริศนาที่มีอยู่บนโลกใบนี้ คงจะขาดลูกหินยักษ์จากประเทศคอสตาริกาไปไม่ได้ครับ โดยลูกหินยักษ์ที่ว่านี้ค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1940 ครับ
จากการพัฒนาพื้นที่เพื่อปลูกธัญพืชของ บริษัทยูในเต็ด ฟรุท (United Fruit Company) ที่ทางใต้ของคอสตาริกา เป็นจำนวนหลายร้อยลูกด้วยกัน มีลักษณะเป็นก้อนหินทรงกลมเกลี้ยง
ขนาดตั้งแต่ลูกเทนนิสไม่กี่สิบเซนติเมตรไปจนถึงขนาดสองเมตร น้ำหนักกว่าสิบตันเลยทีเดียวครับ โดยกระจัดกระจายกันเป็นกลุ่ม อยู่ทั่วบริเวณที่มีการค้นพบ
นอกจากนั้นยังพบเศษซากเครื่องปั้นดินเผาด้วยเช่นกันครับ บ่งบอกให้รู้ว่า ณ ที่แห่งนั้นยังเคยมีอารยธรรมเจริญอยู่มาก่อนหน้ามนุษย์ยุคปัจจุบันเสียอีกครับ
เจ้าลูกหินเหล่านี้นั้นจากการตรวจสอบอายุแล้ว ได้มีการประมาณกันว่ามันถูกสร้างขึ้นเมื่อ 600-1,000 ปีก่อนคริสตกาล ยาวนานใช่เล่นเลยทีเดียว
และส่วนประกอบทางธรณีวิทยาส่วนใหญ่นั้นเป็นหินจำพวก แกรโนไดโอไรท์ (Granodiorite)
หรือก็คือหินที่เกิดการหลอมเหลวจากความร้อนแล้วตกผลึก มีส่วนประกอบของธาตุแคลเซี่ยมและโซเดียมอยู่มากเป็นพิเศษ และถูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะวิชาการ และความรู้อันน่าทึ่งของชนเผ่าโบราณในอดีต
แม้ที่มาที่ไป ยังทิ้งเป็นปริศนาเอาไว้อย่างเดิม แต่โดยการคาดการณ์ของกลุ่มคนที่เชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว พวกเขาฟันธง โช๊ะ...!!!ว่ากันว่าเป็นหินที่ถูกมนุษย์ต่างดาวทำขึ้นทำขึ้น
อาจต้องการเล่าเรื่องเกี่ยวกับจักรวาลนี้ก็เป็นได้??
บางทฤษฎีกล่าวเอาไว้ว่า เจ้าลูกหินยักษ์เหล่านั้นอาจจะอยู่ในช่วงที่กำลังถูกขนย้ายเพื่อนำเอาไปประดับไว้ยังสถานที่ใดสักแห่งหนึ่ง โดยอาจจะเป็นเทวสถานหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าที่สร้างมันขึ้นมาก็เป็นได้
แต่อาจมีความจำเป็นที่จะต้องทิ้งมันเอาไว้กลางคัน เพราะเนื่องจากว่าบริเวณที่ค้นพบบรรดาเหล่าลูกหินนี้นั้น ไม่มีร่องรอยของเทวสถานหรือสถานที่สำคัญที่จะจำเป็นต้องมีเครื่องประดับอยู่เลย
จะมีก็เพียงร่องรอยเศษซากอารยธรรมที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพื่อบอกให้รู้ว่าครั้งหนึ่งนั้น
เคยมีชนเผ่าทรงปัญญาอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น และก็อาจจะมีเหตุผลบางประการที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นทิ้งวัตถุเหล่านี้เอาไว้ และอพยพไป เฉกเช่นชาวมายาที่อพยพทิ้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยไป
ทิ้งให้เหลือแต่ซากวัตถุแห่งความเจริญทางด้านความรู้อยู่ก็เป็นได้ครับ
แต่บางทฤษฎีก็ว่าพวกลูกหินเหล่านี้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งดิน เพื่อให้ผลิตผลอุดมสมบูรณ์ ก็ว่ากันไปครับ
บางลูกไดถูกนำมาตั้งโชว์หน้าอาคาร ที่ขนาดมีน้ำหนักประมาณ 16 ตัน
นอกจากนี้หินแปลกๆเหล่านี้ยังถูกค้นพบในสถานที่ในหลายๆแห่ง อย่างเช่นบนเกาะอีสเตอร์
บางลูกนี่ใหญ่กว่าคนอีกครับ |
ถึงแม้จะมีการค้นพบผ่านมาแล้วหลายสิบทศวรรษด้วยกัน ผ่านการตรวจสอบจากนักวิชาการทั้งท้องถิ่นและต่างประเทศมาก็ไม่น้อย
แต่เจ้าลูกหินยักษ์เหล่านี้เพิ่งจะมาโด่งดังเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกนั้น ก็เมื่อครั้งที่ถูกนำไปเขียนกล่าวถึงในหนังสือสะท้านโลกเล่มหนึ่ง ที่พลิกมุมมองบรรดาเรื่องศาสนาแหละอารยธรรมยุคเก่าแก่ต่างๆ ให้มีเรื่องของมนุษย์ต่างดาวเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือก็คือเรื่องของพระเจ้าจากอวกาศอันโด่งดังนั่นเอง
หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า “Chariots of The Gods” ของ อีริค วอน ดานิเก้น (Erik Von Daniken) ที่ออกตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ.1968 ฮิตซะจนมีการนำไปตีพิมพ์เกือบยี่สิบภาษา ขายกันได้หลายล้านเล่มทั่วโลก
ปัจจุบันก็ยังคงมีการตีพิมพ์ขายอยู่ครับ นอกจาก ดานิเก้นแล้ว ก็มีผู้แต่งอีกหลายท่านที่ให้ความสนใจและนำไปกล่าวถึงจากหนังสือของตัวเอง อีกหลายเล่มหลายผู้แต่งด้วยกันครับ
สำหรับเรื่องราวของเจ้าลูกหินยักษ์เหล่านี้ แม้กระทั่งในปัจจุบัน ก็ยังคงมีกลุ่มนักวิจัย นักวิชาการที่ยังให้ความสนใจ และทำการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อคลายปริศนาและรู้ถึงความเป็นมาของเหล่าลูกหินยักษ์นี้อย่างไม่ลดละ เพื่อตอบคำถามที่ว่า ใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา และสร้างมันขึ้นมาเพื่ออะไรนั่นเองครับ
หินกลุ่มนี้เรียกว่าBoulders Moerakiในชายหาดประเทศนิวซีแลนด์
หินแต่ละลูกจะมีลวดลายรูปภาพแปลกๆ
บางรูปจะเป็นภาพคล้ายใบหน้าของคน ของแมลง ฯลฯ ให้นักธรณีแกะรอยความเป็นมาอย่างไร
แต่จนที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าภาพเหล่านี้ว่าผู้ทำขึ้นต้องการสื่อถึงอะไร
นักรบโบราณ
ใบหน้ารูปร่างหมอผี
นี่ไม่รู้รูปอะไร
???????
เทพเจ้าอะไรสักอย่างแน่ๆ
ที่มา : ped2011 http://board.palungjit.com
http://www.clipmass.com/story/36952
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
โอย อ่านแล้วมันเสียวววววว!!!! ท้อง
ดีไซเนอร์สวดยอดที่ออกแบบแหวนวงนี้ ได้แก่ ซูลิ เรชท์
ใครที่ชื่นชอบเครื่องประดับอย่าง "แหวน" ที่ประดับประดาด้วยวัสดุสวยๆ งามๆ อย่าง เพชร หรือ พลอย อาจจะไม่ค่อยถูกใจกับแหวนวงนี้
นักวิทยาศาสตร์เผยความลับยุคสงครามเย็น อเมริกาเคยคิดจุดระเบิดนิวเคลียร์บนดวงจันทร์ข่มขวัญคู่อริ หลังโซเวียตพิชิตอวกาศได้ก่อนด้วยยานสปุตนิก
เลียวนาร์ด เรฟเฟล นักฟิสิกส์ผู้มีส่วนร่วมในโครงการลับ "A Study of Lunar Research Flights" หรือในอีกชื่อหนึ่งว่า "Project A119" เปิดเผยว่า หลังจากสหภาพโซเวียตได้แซงหน้าสหรัฐ ด้วยการเป็นมหาอำนาจรายแรกที่ปล่อยยานสปุตนิกเข้าสู่วงโคจรได้เป็นผลสำเร็จเมื่อปี ค.ศ.1957 สหรัฐได้วางแผนตอบโต้ด้วยโครงการนี้
โครงการดังกล่าวมีแผนที่จะจุดระเบิดปรมาณูบนดวงจันทร์ ด้วยความคิดว่า โซเวียตจะเสียขวัญเมื่อได้เห็นแสงสว่างวาบเพราะแรงระเบิด โดยเพนตากอนเลือกใช้ระเบิดนิวเคลียร์ เนื่องจากระเบิดไฮโดรเจนมีน้ำหนักมากเกินไป
แผนการนี้ได้ดึงนักดาราศาสตร์ชื่อดัง คาร์ล เซแกน มาร่วมงานด้วย โดยมอบหมายให้ทำงานคำนวณต่างๆ ในเวลานั้น เซแกนยังเป็นนักศึกษาหนุ่มเพิ่งเรียนจบ
อย่างไรก็ดี แนวคิดนี้ได้ถูกพับเก็บไป ก่อนที่จะได้ลงมือทำจริงในปี 1959 เนื่องจากหวั่นเกรงว่าจะส่งผลกระทบถึงโลก
เอกสารเกี่ยวกับโครงการได้ถูกเก็บเป็นความลับมานานเกือบ 45 ปี ซึ่งรัฐบาลสหรัฐไม่เคยยืนยันว่าได้ทำโครงการนี้
แทนที่จะระเบิดดวงจันทร์ สหรัฐได้เร่งมือในการแข่งขันด้านกิจการอวกาศ จนกระทั่งสามารถเอาชนะโซเวียตได้ ด้วยการส่งนีล อาร์มสตรองไปเหยียบดวงจันทร์เมื่อเดือนกรกฎาคม 1969
ที่มา : http://news.voicetv.co.th/global/57306.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง : The Sun
________________________________
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อเวลา 16.40 น. วานนี้ (28 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เกิดหลุมยุบขนาดใหญ่ที่แยกหลี่หวาน ในเมืองกวางเจา เมืองหลวงของมณฑลกวางตุ้ง ของจีน
หลุมยุบดังกล่าวลึกกว่า 9 เมตร กว้างกว่า 30 เมตร เป็นเหตุให้ตึกซึ่งเป็นร้านขายของชำ 2 ร้านแรกพังถล่มลงมา แต่โชคดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เพราะก่อนหน้านี้ราว 20 นาที คนงานก่อสร้างของเมืองสังเกตเห็นการยุบตัวของเขตก่อสร้าง จึงประกาศอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่ ต่อมาในเวลา 18.30 น. ร้านของชำที่สูงราว 6 ชั้นก็ถล่มตามลงมาเป็นตึกที่ 3
กระทั่งเวลา 20.00 น. หน่วยกู้ภัยได้เทคอนกรีตลงไปเติมในส่วนที่เกิดหลุมยุบ ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดปรากฎการณ์หลุบยุบอีก
สำนักงานบริหารอวกาศและการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซา) รายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (24) ว่า เกิดอนุภาคพลังงานสูงจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากโคโรนาของดวงอาทิตย์ เมื่อช่วงเช้าวันพุธ (23) ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีก้อนมวลสารโคโรนา (ซีเอ็มอี ) จำนวนมหาศาลจากดวงอาทิตย์ กำลังมุ่งหน้ามายังโลกของเราด้วยความเร็วสูง และคาดว่าจะถึงชั้นบรรยากาศของโลกภายใน 1 ถึง 3 วันข้างหน้า
สัตว์ประหลาดที่มีตราประทับ คาดว่าจะเป็นสัตว์ทดลองทางพันธุวิศวกรรม มันมีหางอ้วนใหญ่ และมีขาเล็กๆ หลายขาด้วย
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=64YB1xgphMc
____________________
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ (นาซ่า) เปิดเผยว่า ยานอวกาศสหรัฐ “มาร์ส รีคอนเนสซองซ์ ออร์บิทเตอร์”(เอ็มอาร์โอ) ที่โคจรรอบดาวอังคารพบหลักฐาน หลุมทะเลสาบโบราณที่หล่อเลี้ยงด้วยน้ำใต้ดิน
จากอุกกาบาตที่ตกเมื่อ 29 เดือนธันวาคมที่ผ่านมา เป็นหลักฐานยืนยันอีกชิ้นของสิ่งมีชีวิตต่างดาว
Chandra Wickramasinghe
ก่อนหน้านี้เดือนธันวาคม มีลูกไฟลึกลับ ปรากฏบนท้องฟ้าาเหนือหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่เมืองธนามัลวิลา
หลายคนเชื่อว่า แสงประหลาดที่พบเห็นอยู่บนท้องฟ้าอาจเป็นวัตถุบินของสิ่งมีชีวิตนอกโลก (UFO)ดาวน์โหลด รายละเอียด
http://journalofcosmology.com/JOC21/PolonnaruwaRRRR.pdf
อ้างอิง :
http://www.huffingtonpost.com/2013/01/18/extraterresterial-life-exists-chandra-wickramasinghe_n_2500008.html#slide=2002828________________________________