คณะนักวิจัยตื่นเต้น หลังค้นพบซากแมมมอธที่ไซบีเรีย เนื่องจากเนื้อเยื่อยังแดงสด แถมมีหยดเลือดไหลออกมาด้วย จุดประกายความหวังในการโคลนนิ่งคืนชีพสัตว์ดึกดำบรรพ์...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 31 พ.ค. ว่า มีการค้นพบซาก "แมมมอธ" สัตว์ดึกดำบรรพ์ขนาดมหึมา อายุราว 10,000 ปี บริเวณหมู่เกาะโนโวสิบีร์สก์ นอกชายฝั่งทางตอนเหนือของไซบีเรีย และเป็นที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง เนื่องจากคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยยาคุตสก์ พบหยดเลือดไหลออกมาจากช่วงท้องขณะเจาะน้ำแข็งออกจากซากแมมมอธด้วย จุดประกายความหวังในการโคลนนิ่งคืนชีพให้สัตว์ใหญ่ดังกล่าว
ทั้งนี้ ทีมนักวิจัยจากเซอร์เบีย ยังได้เซ็นลงนามร่วมกับคณะนักวิทยาศาสตร์จากเกาหลีใต้ นำโดยนายฮวาง วู ซุก นักวิทยาศาสตร์สาขาสเต็มเซลล์ ผู้โคลนนิ่งสุนัขสำเร็จเป็นรายแรกของโลก เมื่อปี 2005 ด้วย
ด้านนายเซมยอน กรีกอเรียฟ ประธานกรรมการแห่งพิพิธภัณแมมมอธ และหัวหน้าคณะสำรวจ เปิดเผยว่า เศษเนื้อเยื้อของแมมมอธตัวที่พบนั้น ยังมีสีแดงเหมือนเนื้อสด เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะช่วงล่างของลำตัว ถูกฝังอยู่ในน้ำแข็งบริสุทธิ์ แต่ลำตัวช่วงบนนั้นค่อนข้างเสื่อมไปตามกาลเวลา โดยในช่วงเวลาที่ค้นพบแมมมอธ อุณหภูมิต่ำ -10 องศาเซลเซียส และการเจาะน้ำแข็งไปเจอเนื้อเยื่อพร้อมหยดเลือด สร้างความตื่นเต้นระคนประหลาดใจให้ทีมสำรวจยิ่งนัก แต่เลือดค่อนข้างมีสีเข้ม อย่างไรก็ดี จะมีการนำประเด็นดังกล่าวหารือกันต่อไป.
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/oversea/348193
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักธรณีวิทยาใต้ท้องทะเล 2 คน อ้างว่า ระหว่างที่ตนอยู่ในเรือดำน้ำ ทำการสำรวจสัตว์ใต้ท้องทะเล ในเขตกรีนแลนด์ ทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติค จู่ๆก็พบสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายนางเงือกว่ายเข้ามาใกล้เรือ
ทั้งนี้ขณะที่พวกเขาลงสำรวจสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกก็สังเกตเห็นสิ่งเคลื่อนไหวลักษณะคล้ายมือคน แต่ใบหน้าคล้ายเอเลี่ยน และมีหางคล้ายปลา มือนั่นยืนมาแตะที่หน้าต่างเรือจนนักธรณีวิทยาทั้งสองคนถึงกับผงะ และเชื่อว่าสิ่งที่เห็นน่าจะเป็นนางเงือก
อย่างไรก็ตาม เมื่อภาพและเรื่องราวนางเงือกใต้มหาสมุทรแอตแลนติกเผยแพร่ออกไป ผู้คนก็ต่างวิจารณ์ว่าเป้นจริงหรือไม่ และตั้งข้อสังเกตต่อประเด็นดังกล่าวด้วย
ที่มา : http://news.mthai.com/world-news/243015.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ประเทศจีน ได้เผยแพร่ภาพก้อนวัสดุสีดำที่มีน้ำหนักเบา ขนาดที่สามารถตั้งวางอยู่บนก้านเกสรดอกไม้โดยไม่เอนเอียง โดยในข้อมูลของทางมหาวิทยาลัยฯ ระบุว่า ก้อนวัสดุนี้คือ "คาร์บอน แอร์โรเจล" วัสดุที่เบาที่สุดในโลก (ภาพเอเยนซี)
เอเยนซี - มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ประเทศจีน ประสบความสำเร็จผลิต "คาร์บอน แอร์โรเจล" วัสดุที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก สามารถป้องกันและแก้ปัญหามลพิษรั่วไหล ด้วยคุณสมบัติที่สามารถดูดซับสารพิษและน้ำมันที่รั่วไหลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สื่อต่างประเทศรายงาน (28 มี.ค.) ว่า มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ประเทศจีน ได้เผยแพร่ภาพก้อนวัสดุสีดำที่มีน้ำหนักเบา ขนาดที่สามารถตั้งวางอยู่บนก้านเกสรดอกไม้โดยไม่เอนเอียง โดยในข้อมูลของทางมหาวิทยาลัยฯ ระบุว่า ก้อนวัสดุนี้คือ "คาร์บอน แอร์โรเจล" วัสดุที่เบาที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ระหว่างพัฒนา เพื่อนำไปใช้ในการป้องกันและแก้ปัญหามลพิษ ด้วยคุณสมบัติที่สามารถดูดซับสารพิษและน้ำมันที่รั่วไหลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศาสตราจารย์เกา เชา หัวหน้าคณะวิจัยพัฒนา "คาร์บอน แอร์โรเจล" กล่าวว่า ในอนาคตวัสดุใหม่ นี้สามารถออกแบบเพื่อนำไปใช้ในการป้องกันและแก้ปัญหามลพิษ ด้วยคุณสมบัติที่สามารถดูดซับสารพิษและน้ำมันที่รั่วไหลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคาร์บอน แอร์โรเจล สามารถดูดซับน้ำมันรั่วไหลได้อย่างรวดเร็ว โดยคาร์บอน แอร์โรเจล ขนาด 1 กรัม สามารถดูดซับน้ำมันได้วินาทีละ 69 กรัม นอกจากนี้ยังดูดซับได้ในปริมาณที่มากถึง 900 เท่าของน้ำหนักวัสดุ ขณะที่วัสดุซึ่งใช้ดูดซับน้ำมันในปัจจุบันนั้น สามารถดูดซับได้เพียง 10 เท่าของน้ำหนักวัสดุเท่านั้น
ที่มา : http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9560000039673
____________________
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ว่า ทางการสวาซิแลนด์ได้เริ่มปฎิบัติการปราบปราม "เหล่าแม่มดขี่ไม้กวาดสูง" เกินกว่าระดับ 150 เมตรจากพื้นดินแล้ว หลังเคยประกาศเตือนว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะเป็นภัยอันตรายต่อเครื่องบิน โดยก่อนหน้านี้ทางการได้ตั้งโทษปรับเหล่าแม่มดที่มีพฤติกรรมขี่ไม้กวาดบินสูงมาแล้ว
ที่มา : http://news.sanook.com
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
วันที่ 15 พ.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ที่ประเทศเบลีซได้มีการพังทำลายวิหารโนห์ มุล พีระมิดเก่าแก่อายุกว่า 2,300 ปีของชนเผ่ามายา โดยถูกริษัทก่อสร้างถนนรายหนึ่งนำรถแทรกเตอร์มาทำลายเพื่อนำกรวดไปทำถนน ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่
ดร.จอห์น มอร์ริส จากสถาบันโบราณคดีเบลีซ เผยว่า กรณีดังกล่าวคนงานเหล่านั้นรู้ว่ากำลังทำอะไรและเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากที่พวกเขากล้าทำลายสิ่งก่อสร้างดังกล่าว โดยการพังทำลายเริ่มมาตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่เบลีซมีกฎหมายคุ้มครองโบราณสถานที่เข้มงวด ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะแจ้งข้อหาตามกฎหมายกับบริษัทและผู้ดำเนินการรายนี้
ที่มา : http://news.mthai.com/world-news/239117.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ภาพจำลองหากมนุษย์ไปสำรวจดาวอังคาร (สเปซด็อทคอม)
ในอวกาศอันกว้างใหญ่เกินจะจินตนาการไหว มนุษย์เราออกเดินทางไปไกลสุดแค่...ดวงจันทร์ บริวารของโลกที่อยู่เคียงกันมานาน เราปรารถนาจะไปให้ไกลกว่านั้น และดาวอังคารเพื่อนบ้านที่ดูแสนจะแห้งแล้งคือเป้าหมายต่อไปที่เราจะไปเยือน...แต่เราจะไปกันได้ง่ายแค่ไหน?
ภาพถ่ายวัตถุลึกลับเหนือกรุงปอดโกริกา เมืองหลวงของมอนเตเนโกร
เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ประชาชนชาวมอนเตเนโกรตื่นตะลึง หลังมีการเผยแพร่ภาพถ่ายของจานบินปริศนาที่บันทึกได้เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ผ่านสื่อสำนักต่างๆ นับเป็นครั้งแรกที่พบยานลึกลับเหนือน่านฟ้ามอนเตเนโกร นับตั้งแต่ที่ดินแดนแห่งนี้ประกาศเอกราชแยกตัวออกจากเซอร์เบีย เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2006
รายงานข่าวระบุว่า ชาวมอนเตเนโกรกว่า 625,000 คนทั่วประเทศต่างตกตะลึงกับรายงานข่าวของสื่อหลายสำนักในประเทศ รวมถึงนิตยสารข่าวชื่อดังอย่าง “วิเยสติ” ที่มีการเผยแพร่ภาพถ่ายของช่างภาพหนังสือพิมพ์ชื่อดัง “โซรัน ยูริช” ซึ่งสามารถบันทึกภาพวัตถุลึกลับบนท้องฟ้าเหนือกรุงปอดโกริกา เมืองหลวงของประเทศ
โดยวัตถุดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับจานบินยูเอฟโอจากนอกโลกถูกบันทึกภาพไว้ได้ เมื่อคืนวันพฤหัสบดี (9) ที่ผ่านมา โดยยูริชอ้างว่า วัตถุปริศนาที่เขาบันทึกภาพเอาไว้ได้นั้นมีสีสันสดใสเห็นได้ชัดเจนและมันยังสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่าง ขนาด ทิศทาง รวมถึง ความเร็วได้ในขณะเคลื่อนที่ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี สำนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศแห่งเซอร์เบียและมอนเตเนโกร (SMATSA) ที่ตั้งอยู่ในกรุงเบลเกรดของเซอร์เบีย ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศใน 3 ประเทศคือ เซอร์เบีย มอนเตเนโกร รวมถึงพื้นที่ราวครึ่งหนึ่งของบอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา ออกมายืนยันว่า ไม่พบปัญหาด้านการจราจรทางอากาศในคืนวันพฤหัสบดี (9) แต่ไม่มีการยืนยันว่า เรดาร์ประสิทธิภาพสูงของSMATSA สามารถตรวจพบวัตถุประหลาดที่บินได้เหนือน่านฟ้าของมอนเตเนโกร ในวันดังกล่าวด้วยหรือไม่
สำนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศแห่งเซอร์เบียและมอนเตเนโกร (SMATSA) ไม่ยอมเปิดเผยว่า เรดาร์ของตนตรวจพบวัตถุลึกลับจริงหรือไม่
ที่มา : http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000058094
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ข้อมูลระยะทางและเวลาในการเดินทางเป็นข้อมูลโดยเฉลี่ยอ้างอิงการทดลองและปฏิบัติการจริงขององค์การบริการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) และปฏิบัติการทดลองโครงการมาร์ส 500 (Mars500) ในการจำลองภารกิจเดินทางไปดาวอังคารของห้องปฏิบัติการของสถาบันศึกษาปัญหาชีวการแพทย์ (Institute for Bio-Medical Problems) ในกรุงมอสโก รัสเซีย
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000057416
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ภาพจำลองมนุษย์อวกาศทำการเพาะปลูกพืชในเรือนกระจกบนดาวอังคาร เพื่อผลิตอาหารระหว่างปฏิบัติภารกิจบนดาวเคราะห์เพื่อนบ้าน (นาซา)
มนุษย์โลกกลุ่มแรกที่จะไปตั้งรกรากบนดาวอังคารอาจไม่ใช่มนุษย์อวกาศ แต่เป็นชาวไร่ชาวสวน ผู้ที่ต้องไปบุกเบิกพื้นที่ทำกินบนดาวแดง เพื่อสร้างแหล่งผลิตอาหาร และเตรียมการสำหรับมนุษย์ที่จะไปตั้งรกรากบนดาวเคราะห์เพื่อนบ้าน
ภารกิจพิชิตดาวอังคารนั้นเป็นความใฝ่ฝันและเป็นความท้าทายอย่างยิ่งของมนุษย์โลก โดยองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) มีแผนที่จะส่งมนุษย์ไปดาวอังคารในช่วงหลังปี 2030 ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการไปเยือนดาวเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่ยังไปเพื่อสำรวจและบุกเบิกพื้นที่บนดาวแดง เพื่อหวังเป็นถิ่นฐานแห่งใหม่ของมนุษย์โลกในอนาคต โดยมีแผนที่จะส่งมนุษย์ไปบุกเบิกพื้นที่ทำการเกษตรเพื่อผลิตอาหารเลี้ยงชุมชนมนุษย์บนดาวอังคาร
“สิ่งหนึ่งที่ชาวไร่ชาวสวนทุกคนบนดาวอังคารจะได้รู้ คือการผลิตอาหารนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก มันไม่ใช่เรื่องขี้ปะติ๋ว ดูอย่างเวลาที่ผ่านมาจนถึงหลายร้อยปีก่อนการทำไร่ทำสวนก็กินเวลาเกือบทั้งหมดของเรา ซึ่งชาวอาณานิคมบนดาวอังคารรุ่นแรกๆ จะต้องกลับไปสู่ชีวิตรูปแบบนั้นเพื่อความอยู่รอด”
คำกล่าวของ เพเนโลพี บอสตัน (Penelope Boston) ผู้อำนวยการโครงการศึกษาธรณีวิทยาถ้ำ และคาสต์ (Cave and Karst Studies program) สถาบันการทำเหมืองแร่และเทคโนโลยีนิวเม็กซิโก (New Mexico Institute of Mining and Technology) ในสหรัฐฯ กล่าวในระหว่างการประชุม ฮิวแมนส์ ทู มาร์ส ซัมมิท (Humans 2 Mars Summit) ที่จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน (George Washington University) เมื่อ 6-8 พ.ค. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นาซากำลังขะมักเขม้นในการศึกษาวิจัยเรื่องการเกษตรบนดาวอังคารและในอวกาศ เพราะมีเป้าหมายในการส่งมนุษย์กลุ่มแรกไปดาวอังคารราวอีก 20 กว่าปีข้างหน้า ขณะที่เจ้าหน้าที่ของนาซาข้องใจว่า ถ้าภารกิจดังกล่าวเป็นโครงการระยะยาวแทนที่จะเป็นการไปเยือนดาวอังคารในระยะสั้น ทำให้การไปถึงดาวอังคารและยืดเวลาพักอาศัยออกไปเป็นเรื่องยากขึ้น
“การอยู่อย่างยั่งยืนของมนุษย์บนดาวอังคาร คือเป้าหมายของพวกเราใช่หรือไม่? ผมคิดว่านี่คือหัวข้อที่ดีในการอภิปรายร่วมกัน” บิล เกอร์สเตนไมเออร์ (Bill Gerstenmaier) ผู้ช่วยผู้อำนวยการของนาซาในส่วนสำนักงานผู้อำนวยการภารกิจการดำเนินงานและสำรวจโดยมนุษย์ กล่าวไว้ในระหว่างการประชุมดังกล่าว
แน่นอนว่าการเพาะปลูกพืชพรรณธัญญาหารบนดาวอังคารเป็นความท้าทายยิ่ง ซึ่งแม้ว่าการวิจัยบนสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station) หรือ ไอเอสเอส (ISS) ได้พิสูจน์ว่า พืชสามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ว่าสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำบนดาวอังคารจะส่งผลต่อพืชจากโลกมนุษย์แตกต่างไปอย่างไร
ทั้งนี้ บนพื้นผิวดาวอังคารนั้นได้รับแสงอาทิตย์เพียงครึ่งหนึ่งของโลกเท่านั้น และสภาวะที่ถูกล้อมไว้ด้วยเรือนกระจกที่ถูกปรับความดันยิ่งทำให้แสงแดดส่องไม่ถึงพืช ดังนั้น การให้แสงเสริมแก่พืชจึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่การจัดหาแสงเพิ่มเติมนั้นก็จำเป็นต้องใช้พลังงานในปริมาณมาก
ทางด้าน ดี มาร์แชล พอร์เตอร์ฟิลด์ (D.Marshall Porterfield) ผู้อำนวยการแผนกวิจัยวิทยาศาสตร์ชีวภาพและกายภาพ ของสำนักผู้อำนวยการภารกิจการดำเนินงานและสำรวจโดยมนุษย์กล่าวเสริมว่า ในแง่ระบบที่วิศวกรรรมต้องการนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะตอนนี้นาซากำลังศึกษาการใช้หลอดแอลอีดี (LED) เพื่อให้ความยาวคลื่นเพียงย่านเดียวที่พืชต้องใช้เพื่อสังเคราะห์แสงอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นนักวิจัยยังศึกษาด้วยว่าพืชสามารถอยู่รอดได้ในสภาวะที่มีความดันต่ำกว่าบนโลกได้หรือไม่ เนื่องจากการให้ความดันในเรือนกระจกบนดาวอังคารมากเท่าไหร่ หมายถึงเรือนกระจกยิ่งต้องใหญ่ขึ้นเท่านั้น
“คุณไม่ต้องเพิ่มความดันเรือนกระจกให้เท่าความดันปกติบนโลก เพื่อทำให้พืชเจริญเติบโตหรอก การรักษาความดันให้เท่าปกติบนพื้นผิวดาวเคราะห์อื่นเป็นเรื่องยาก แต่คุณสามารถลดความดันเหลือ 1 ใน 10 ของระดับปกติโดยที่พืชยังเติบโตได้” คำอธิบายเพิ่มเติมจาก โรเบิร์ต เฟิร์ล (Robert Ferl) ผู้อำนวยการศูนย์สหวิทยาการเพื่อการวิจัยทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Interdisciplinary Center for Biotechnology Research) มหาวิทยาลัยฟลอริดา (University of Florida)
แต่เรือนกระจกนั้นต้องผนึกแยกจากส่วนอาศัยของมนุษย์อวกาศอย่างสิ้นเชิงด้วย ซึ่ง ทาเบอร์ แมคคัลลัม (Taber MacCallum) เจ้าหน้าที่อาวุโสของบริษัทพารากอนสเปซเดเวลลอปเมนต์คอร์เปเรชั่น (Paragon Space Development Corp) เสนอกลเม็ดในการรับมือปัญหาดังกล่าว โดยให้ชาวไร่อวกาศบนดาวแดงต้องสวมชุดปรับความดันระหว่างทำสวนทำไร่
นอกจากนั้น เกษตรกรบนดาวอังคารยังต้องรับมือกับรังสีต่างๆ อีก ซึ่งบนดาวอังคารไม่มีชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นเหมือนโลกที่ช่วยป้องกันรังสีจากดวงอาทิตย์ได้ และยังมีอนุภาคต่างๆ จากอวกาศที่อาจเป็นอันตรายทั้งต่อมนุษย์และพืชบนดาวอังคาร ดังนั้นเกราะป้องกันหรือเครื่องบรรเทาจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
“การดูแลรักษาโครงสร้างพื้นฐานนั้นเป็นส่วนที่มีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับการปลูกพืชบนดาวอังคาร อุปกรณ์หรืออะไหล่ต่างๆ ที่จำเป็นควรมีอย่างเหลือเฟือ เผื่อมีบางสิ่งบางอย่างพังเสียหาย ซึ่งในความเป็นจริงนั้น การขนส่งเครื่องไม้เครื่องมือจำนวนมากจากโลกไปดาวอังคารเพื่อทำการเกษตรบนดาวอังคารอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 15-20 ปี และเมื่อเทียบกันแล้ว มันอาจจะมีน้ำหนักน้อยกว่าการขนส่งอาหารที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป” แมคแคลลัมกล่าว
แม้ภารกิจนี้จะเป็นความท้าทายอย่างมาก แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เกษตรกรรมบนดาวอังคารจะบรรลุผลในที่สุด
“ทุกๆ การอพยพครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นเพราะเรานำเอาเกษตรกรรมของเราไปด้วย เมื่อคุณเรียนรู้วิธีที่จะนำเอาพืชพรรณติดตัวไป คุณไม่อาจไปเพียงเพื่อเยี่ยมเยือน แต่คุณสามารถพำนักอาศัยและดำรงชีวิตต่อไปได้” เฟิร์ล กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000057005
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
นานหลายทศวรรษแล้ว ที่เหล่านักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าไฟใต้น้ำตกอีเทอนอลเฟรมของนิวยอร์ก ลุกโชนไม่รู้จักดับจากก๊าชในชั้นหิน อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบล่าสุดของนักวิจัยสหรัฐฯ ปฏิเสธทฤษฎีดังกล่าวโดยสิ้นเชิง แต่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้อย่างชัดเจนว่ามันเกิดจากกระบวนการใด
เหล่านักค้นคว้าวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินดีแอนา พบว่าชั้นหินใต้อุทยานเชสนัท ริดจ์ เคาน์ตี อันเป็นที่ตั้งของน้ำตก ไม่เพียงพอสำหรับผลิตก๊าซ ซึ่งนั่นหมายว่าธรรมชาติคงมีกระบวนการอื่นที่สามารถผลิตก๊าซได้เพียงพอสำหรับหล่อเลี้ยงเปลวเพลิงให้ยังลุกไหม้ชั่วกัลปาวสาน
ทั่วโลกมีไฟไม่รู้ดับทางธรรมชาติหลายร้อยแห่ง และแต่ละแห่งสันนิษฐานว่าก๊าซทางธรรมชาติจากชั้นหินโบราณเบื้องล่างที่เรียกกันว่าชั้นหินดินดาน คือสิ่งหล่อเลี้ยงเปลวเพลิงให้ยังคงลุกโชติช่วง อย่างไรก็ตาม อาร์นด์ท ชิมเมลมันน์กับเหล่านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินเดียนา พบว่าชั้นหินที่อยู่ใต้เปลวเพลิงน้ำตกในนิวยอร์กไม่เพียงพอสำหรับก่อปฏิกิริยาเช่นนี้ได้
เชื่อกันว่าเปลวไฟชั่วนิรันดร์ที่อยู่ใต้น้ำตกอีเทอนอลเฟรมในนิวยอร์ก ถูกจุดด้วยคนพื้นเมืองอเมริกันหลายพันปีก่อน อย่างไรก็ตาม จากผลวิจัยล่าสุด ชิมเมลมันน์ระบุว่าชั้นหินมีอุณหภูมิแค่ประมาณหนึ่งเท่านั้นและที่สำคัญมันไม่ได้เก่าแก่อย่างที่คิดไว้แต่แรก
ด้วยทั้งสองปัจจัยจึงหมายความว่าชั้นหินใต้น้ำตกในนิวยอร์กจึงไม่สามารถสร้างก๊าซธรรมชาติได้เหมือนเหล่าเปลวเพลิงที่ไม่รู้จักดับอื่นๆ ทั่วโลก และพวกนักวิจัยก็ยอมรับไม่ทราบจริงๆ ว่ากระบวนการผลิตก๊าซใต้น้ำตกนิวยอร์กเกิดขึ้นจากวิธีการใด
ตามทฤษฎีแล้ว อุณภูมิของชั้นหินต้องอยู่ใกล้จุดเดือดของน้ำหรือร้อนกว่านั้น เพื่อสลายโมเลกุลคาร์บอนในชั้นหิน และปฏิกิริยาเหล่านี้จะเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดก๊าซทางธรรมชาติ
ที่มา : http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000057448
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า (11 พ.ค.) เอเปกัวเอน อดีตเมืองท่องเที่ยวริมทะเลสาบทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ที่ประสบภัยธรรมชาติจนจมลงบาดาลเมื่อ 28 ปีก่อน โผล่พ้นน้ำ
ทั้งนี้ เอเปกัวเอน ไม่ได้รับการบูรณะใดๆ แต่ยังเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว ซึ่งผู้ที่มาจะได้พบกับนายพาโบล โนวัค วัย 82 ปี ที่เดินทางกลับมาอยู่บ้านของเขาทันที ที่น้ำเริ่มลดลงในปี 2009 ซึ่งกล่าวว่า เขามีความสุขดี แม้จะต้องอยู่คนเดียว
ที่มา : http://news.sanook.com
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________