สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุหลุบยุบขนาดมหึมากลืนหนองน้ำและต้นไม้โดยรอบ ในหมู่บ้านซานิก้า ประเทศบอสเนีย สร้างความแตกตื่นให้ชาวบ้าน และต่างวิจารณ์กันไปว่าเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ
โดยในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาหลุมยุบแห่งนี้ค่อยๆกลืนกินหนองน้ำกว้าง 20 เมตร และลึก 8 เมตร ที่มีปลาอาศัยอยู่ รวมทั้งต้นไม้อยู่โดยรอบ จนหลุมยุบนี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 50 เมตร และลึกประมาณ 30 เมตร และมีทีท่าว่าหลุมจะมีขนาดใหญ่ขึ้น จึงทำให้ชาวบ้านแถวนั้นวิตกกันไปว่าหลุมยุบอาจกินบริเวณมาถึงที่อยู่อาศัยของพวกเขา
นอกจากนี้ชาวบ้านยังตื่นกลัวเนื่องจากเจ้าของบ้านที่มีหนองน้ำนั้นเพิ่งเสียชีวิตไป ชาวบ้านจึงวิจารณ์กันไปว่าปรากฏการณ์หลุมยุบที่เกิดขึ้นอาจเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ อีกทั้งยังมีคนอ้างว่าเป็นวิญญาณของเจ้าของบ้านหลังดังกล่าวด้วย
ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ก็แปลกใจกับปรากฏการณ์การที่เกิดขึ้น แต่ก็สันนิษฐานได้ว่าเหตุการณ์หลุบยุบยักษ์นี้เกิดจากน้ำในดินเหือดแห้งจนทำให้ดินทรุดตัว
ที่มา : http://news.mthai.com/world-news/289207.html
____________________
ชาวบ้านตื่นข่าวลือพบ"มนุษย์ต่างดาว"ที่เชียงราย
เชียงราย - ชาว อ.แม่จัน ตื่นพบตัวประหลาดลอยขึ้นฟ้าริมทุ่งนา เชื่อเป็นมนุษย์ต่างดาว แห่ไปดูร่องรอยกันไม่ขาดสาย ด้านนายอำเภอยังงงๆ ระบุชาวบ้านยืนยันหลายคน แต่ชี้ชัดไม่ได้ว่าคืออะไร หลักฐานมีแต่ภาพสเก็ตช์ ส่วนตำรวจก็ยังไม่พบหลักฐานใดที่เชื่อว่ามีเหตุประหลาด
สืบเนื่องจากมีข่าวลือว่ามีชาวบ้านเห็นมนุษย์ต่างดาวนั้น ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 9 กันยายน 48 ที่ผ่านมา พบว่าแต่ละวันมีชาวบ้านกว่า 100 คนมาจับกลุ่มชุมนุมกันที่ริมนาข้าวเพื่อเล่าถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น
|
ชาวบ้านชี้จุดที่อ้างว่ามีการพบเห็นวัตถุคล้ายมนุษย์ต่างดาว |
พื้นที่เกิดเหตุมีทุ่งนากว้างใหญ่ มีการปลูกข้าวต้นสีเขียวขจี จุดที่ชาวบ้านอ้างว่าพบเหตุประหลาดเป็นทุ่งนาของนายทิ คิดข้างบน อายุ 69 ปี ซึ่งชาวบ้านหลายคนได้เล่าว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 48 เวลาราว 06.30 น. ได้เห็นตัวประหลาด รูปร่างคล้ายตุ๊กตาขนาดสูงราว 1 เมตร ลำตัวสีเหลืองอ่อน มีดวงตา และหูใหญ่ ขาเล็กลีบ ซึ่งตอนแรกชาวบ้านหลายคน คิดว่าเป็นหุ่นไล่กา
ต่อมาราว 10.00 น.วันเดียวกัน พบว่าตัวประหลาดดังกล่าวได้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ คล้ายมีพลังทำให้ลอยขึ้นเองแล้วหายไป ทำให้ชาวบ้านที่พบเห็นต่างตื่นตระหนก แล้วจับกลุ่มกันวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นมนุษย์ต่างดาวเหมือนในภาพยนตร์ฮอลลีวูดก็เป็นได้ แต่เนื่องจากชาวบ้านไม่มีกล้องบันทึกภาพไว้จึงไม่มีหลักฐานยืนยัน มีแต่ภาพสเก็ตช์ที่ชาวบ้านวาดให้ดู ลักษณะเป็นรูปร่างคล้ายตัวการ์ตูน บางคนบอกว่าคล้ายการ์ตูนผีน้อยแคสเปอร์
|
ภาพสเก็ตช์ที่ชาวบ้านอ้างว่า พบเห็นวัตถุรูปร่างประหลาดคล้ายมนุษย์ต่างดาวที่ทุ่งนาท้ายหมู่บ้าน |
นายแสวง บุญราชศักดิ์ อายุ 51 ปี ชาวบ้าน ในพื้นที่เล่าว่า ตนไม่ได้เมาหรือเสพยาเสพติด และเห็นด้วยตาจริงๆว่า ในตอนเช้าวันนั้น มีตัวประหลาดคล้ายหุ่นไล่กา จึงไม่มีคนสนใจ กระทั่งมีนายคำมาเล่าว่า วัตถุนี้ลอยหายไปแล้ว จึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
นายคำมา ปินทรายมูล อายุ 56 ปี เล่าว่า ตอนแรกตนก็นึกว่าเป็นแค่หุ่น ที่นายทิ เจ้าของนาผูกไว้ไล่เป็ด แต่พอดูนานๆ เข้า พวกตนจึงมั่นใจว่าไม่ใช่ เพราะมันเคลื่อนย้ายไปมาได้ ตนจึงเฝ้าสังเกต จนกระทั่งเวลาประมาณ 10.30 น. หุ่นได้เปลี่ยนรูปร่างยืดตัวออกยาวขึ้น แล้วลอยขึ้นสูงกว่าเสาไฟฟ้า แล้วลอยขึ้นหายไปในท้องฟ้าเหมือนจรวดพุ่งไป
ส่วนนางบัวผัน ลาวิชัย เป็นผู้พบเห็นในตอนเช้าประมาณ 6.30 น. ของวันที่ 31 สิงหาคม 48 สังเกตเห็นเป็นลักษณะหัวกลมโตเหมือนหลอดไฟ ตาสีแดง ผิวเป็นสีเหลืองอ่อน ลอยอยู่เหนือต้นข้าว ในลักษณะ โงนเงนไปมาเหมือนกับคนไม่มีแรง
ด้านนายวิศิษฐ์ สิทธิสมบัติ นายอำเภอแม่จัน กล่าวภายหลังไปดูที่เกิดเหตุ แล้วว่า เรื่องนี้ไม่แน่ชัดว่าสิ่งที่ชาวบ้านเห็นเป็นอะไร แต่เนื่องจากมีการยืนยันหลายคน และน่าจะไม่ใช่การโกหก จึงได้หาทางตรวจสอบเพราะแต่ละวันมีประชาชนและสื่อมวลชนที่เริ่มทราบข่าวเข้ามาดู ซึ่งยังไม่ยืนยันว่าเป็นอะไร
ขณะที่พ.ต.อ.กิตติสินธุ์ คงทวีพันธ์ ผกก.สภ.อ.แม่จัน จ.เชียงราย กล่าวว่า ไม่มีหลักฐานว่า สิ่งที่ชาวบ้านพบเป็นอะไร หรือมนุษย์ต่างดาว ตามที่ชาวบ้านอ้าง เพราะไปดูแล้วไม่มีร่องรอยการเหยียบย่ำต้นข้าว หรือ มีหลักฐานหลงเหลือที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปสังเกตการณ์ เพราะมีประชาชนไปดูพื้นที่บริเวณนี้จำนวนมาก
|
กลุ่มชาวบ้านที่อ้างว่าพบเห็นวัตถุประหลาดกับตา |
เรื่องราวมนุษย์ต่างดาวโผล่กลางวันแสก ๆ ที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งฮือฮามาหลายวันเริ่มกระจ่างขึ้น เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. วันที่ 13 ก.ย. นายทองม้วน โพธิชัยเลิศ สมาชิก อบต.ม.10 ต.ป่าสัก อ.เชียงแสน ที่อยู่ห่างจากบ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า จุดที่ชาวบ้านพบมนุษย์ต่างดาว ประมาณ 10 กม. โทรฯเข้ามาแจ้งผู้สื่อข่าวบอกว่ามีเบาะแสที่มาของมนุษย์ต่างดาวตัวที่มีผู้พบเห็น จึงเดินทางไปพิสูจน์ข้อเท็จจริง
นายทองม้วน เปิดเผยว่า ตนสงสัยว่าสิ่งที่ชาวบ้านห้วยน้ำราก คิดว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวนั้น อาจจะเป็นหุ่นอัดแก๊สของตนที่นำมาผูกติดไว้หน้าบ้านแล้วลมพัดปลิวหายไปเป็นได้ โดยเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อกลางเดือน ส.ค. 48 ตนไปร่วมแสดงความยินดีกับญาติที่รับปริญญาที่ศูนย์ประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
จากนั้นได้ไปดูพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านโบราณบริเวณใกล้เคียงกัน ระหว่างทางพบหุ่นยางอัดแก๊สสีส้มปนเขียว สูงประมาณ 1 เมตร มีศีรษะกลมโต ผงกหัวขึ้นลงส่ายไปมาได้ แขนขาขยับโคลงเคลง ติดอยู่กับต้นไม้ข้างทางอยู่ น้องแหม่ม อยากได้จึงเก็บกลับมาด้วย
|
นายทองม้วน โพธิชัยเลิศ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลป่าสัก โชว์ภาพสเก็ตช์หุ่นยางอัดแก๊สที่หายไป |
เจ้าหุ่นยางมีลักษณะประหลาด เวลาถูกแสงแดดจะขยายจนพองโต จนลอยได้ ตนจึงนำมาผูกติดกับรั้วหน้าบ้านที่เชียงรายตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. เพื่อไล่เป็ด ไล่ไก่ ที่จะเข้ามาในบ้าน ต่อมาเมื่อวันที่ 29 .ส.ค. ก่อนที่ชาวบ้านห้วยน้ำรากจะพบสิ่งแปลกประหลาดและเชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว ที่ท้ายหมู่บ้าน เพียง 2 วัน มีพายุฝนซัดกระหน่ำ พัดเอาหุ่นยางลอยหายไป สิ่งที่แปลกสำหรับตุ๊กตาประหลาดตัวนี้คือจะยุบพองได้ด้วยตัวเอง ที่หน้าอกมีภาษาอังกฤษเขียนไว้ จำไม่ได้ว่าเป็นอักษร HOWDO หรือ HEWDA หรือ HONDA กันแน่ ความประหลาดของมันทำให้ชาวบ้านพูดกันเล่นๆว่า ตนจับมนุษย์ต่างดาวได้
นายทองม้วน กล่าวต่อว่า สิ่งที่ชาวบ้านห้วยน้ำรากที่อยู่ห่างจากบ้านของเขาไปประมาณ 10 กม. เห็นกันนั้น อาจจะเป็นหุ่นอัดแก๊สที่ถูกลมพายุพัดไป แล้วอาจจะไปตกอยู่บริเวณที่ชาวบ้านพบ เมื่อสายขึ้นอากาศร้อนก็อาจจะทำให้แก๊สที่อัดอยู่ภายในเกิดปฏิกิริยาจนทำให้หุ่นดังกล่าวลอยตัวขึ้นเองอีกครั้งหนึ่ง จนเป็นเหตุทำให้ชาวบ้านที่พบเห็นเชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว ตอนแรกที่หุ่นดังกล่าวหายไป ตนไม่ได้สนใจมาก กระทั่งตกเป็นข่าว จึงอยากออกมาชี้แจงในสิ่งที่ตนคาดว่าน่าจะเป็นไปได้ ขณะเดียวกันตนก็ไม่อยากที่จะไปคัดค้านความเชื่อของชาวบ้านในพื้นที่บ้านห้วยน้ำราก
ด้าน ศ.ดร.นพ.เทพพนม เมืองแมน นายกสมาคมค้นคว้าทางจิต ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษย์ต่างดาวและ UFO ให้สัมภาษณ์ผ่านทางรายการวิทยุร่วมด้วยช่วยกันเชียงราย เมื่อวันที่ 12 ก.ย. เวลา 08.50 น. ว่า ทางสมาคมได้ส่งนายสมจินต์ คล่องอักขระ เป็นตรวจแทนมาตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่ทุ่งนาห้วยน้ำราก เท่าที่ฟังจากการบอกเล่าของชาวบ้าน คาดว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวกลุ่มสีเกร์ย (เทา) ตัวเล็ก ซึ่งตนเคยถ่ายภาพไว้ได้ เชื่อว่าสิ่งที่ชาวบ้านพบน่าจะเป็นความจริง ตนสื่อสารทางจิตติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวนานกว่า 20 ปี ทราบว่าการปรากฏตัวครั้งนี้เพื่อเตือนภัยน้ำท่วมในบริเวณดังกล่าว จึงขอให้ชาวบ้านให้เตรียมกล้องถ่ายภาพเอาไว้ ซึ่งมนุษย์ต่างดาวส่งสัญญาณทางจิตกับตนว่า อนุญาตให้ถ่ายภาพได้
เปรียบเทียบ ภาพสเก็ต ชาวบ้านที่พบเห็นกับภาพของนายทองม้วน โพธิชัยเลิศ
ภาพสเก็ต ชาวบ้านที่พบเห็น
ภาพสเก็ต นายทองม้วน
____________________________________________________
ชาวเชียงรายตื่นพบรอยเท้าประหลาด คาดว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่าชาวบ้านที่หมู่บ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า อ.แม่จัน จำนวนมาก ต่างพากันแตกตื่นเกี่ยวกับรอยเท้าประหลาดที่เกิดขึ้นบนถนนภายในหมู่บ้าน
และพากันไปดูความแปลกประหลาดดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
เมื่อไปตรวจสอบพบชาวบ้านพาไปดูรอยบนถนนสายดังกล่าวซึ่งเป็นถนนลาดยางมะตอยขนาดเล็กภายในหมู่บ้านและตัดออกจากทุ่งนาเชื่อมกับถนนสายเชียงราย-เชียงแสน โดยบนถนนปรากฎมีรอยเท้าขนาดเล็กหลายรอยเรียงรายกันบนถนนห่างจากรอยละ 30-50 ซ.ม.ลักษณะรอยมี 4 นิ้ว กว้างรอยละ 6 ซ.ม.ยาว 10 ซ.ม.โดยมีจุดเริ่มกลางถนนริมทุ่งนาท้ายหมู่บ้านและลักษณะเท้าเดินตรงเรื่อยมาเป็นระยะทางประมาณ 100 เมตรก่อนจะเดินวกกลับและรอยไปหายที่จุดเริ่มต้นเดิม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าลักษณะพิเศษของรอยคือมีการหยั่งลึกลักษณะคล้ายกันขัดสีลงบนผิวยางมะตอยจนเป็นรอยมันลื่นชัดเจน เมื่อใช้มือลูบดูจะมีลักษณะลื่นเหมือนผิวถูกขัดแตกต่างจากผิวถนนปกติอย่างชัดเจน ทั้งนี้เดิมชาวบ้านเคยเข้าใจกันว่าเป็นรอยเท้าสัตว์ เช่น เสือ สุนัข แมวขนาดใหญ่ ฯลฯ แต่ปรากฎว่าเมื่อช่วงคืนที่ผ่านมามีฝนตกหนักทำให้รอยอื่นๆ จางหายไปหมดเหลือแต่เพียงรอยเท้าประหลาด 4 นิ้วดังกล่าวที่ยังคงปรากฎอยู่ให้เห็นอย่างชัดเจน
รอยเท้าประหลาดเกิดขึ้นที่ บ้านน้ำราก ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
(เป็นหมู่บ้านที่เคยมีข่าวว่ามีมนุษย์ต่างดาวเคยมาลงที่นี่ )
ผมกับเพื่อนที่ทำงานเลยขออนุญาตเจ้านายเป็นกรณีพิเศษเพื่อขอไปดูให้เห็นกับตา.....
พอไปถึงมีเช้าบ้านจำนวนมากไปมุงดูรอยเท้าประหลาดซึ่งชาวบ้านลือกันว่าเป็นรอยเท้ามนุษย์ต่างดาว
ซึ่งผมได้สอบถามชาวบ้านที่มีอยู่ในพื้นที่เหตุการณ์ทุกคนเล่าเป็นเสียงเดียวกันว่า..เมื่อคืนประมาณตีหนึ่งได้ยินเสียงหมาในหมู่บ้านเห่าหอนแต่ไม่มีใครสนใจจะลุกขึ้นมาดู
..พอตอนเช้ามีชาวบ้านไปเห็นรอยเท้าประหลาดจึงชวนกันมาดูนับได้แล้วมีร้อยเท้าประมาณ 124 รอย ซึ่งลักษณะของรอยเท้าก็คือมีรอยนิ้วเท้า 4 นิ้ว
ตรงที่เป็นรอยเท้าไม่ใช่รอยขีด..รอยครูดจากของแข็ง...แต่เป็นรอยที่เหมือนกับใครมาทำความสะอาดด้วยน้ำยาแล้วทำเป็นรูปเท้าเอาไว้..
แต่ถ้าทำจากน้ำยาแล้วทำไมตรงร่องของหินในถนนกลับไม่มีร่องรอยน้ำยา..หรือใครจะไปทำได้รวดเร็วปานนั้น..ลองดูภาพแล้วช่วยกันพิจารณาเอาน่ะครับ..ส่วนตัวผมแล้วก็เป็นเรื่องแปลกเรื่องประหลาด...
ลองดูใกล้ๆอีกภาพ...ลักษณะของรอยที่เกลี้ยงเหมือนมีคนมาทำความสะอาดดูที่ก้อนหินและบริเวณร่องหินที่ไม่ได้สัมผัสดูความสะอาดความเกลี้ยงมีความแตกต่างกัน
ที่มา :
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9480000123328
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9480000124788
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9480000125218&TabID=3&
http://forum.khonkaenlink.info/index.php?topic=201771.0;
http://www.pantown.com/board.php?id=32963&area=3&name=board1&topic=445&action=view
________________________________
การทำเหมืองแร่ในอวกาศ ได้ก้าวออก มาจากหน้านวนิยายวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องจริงแล้ว แต่พ่อค้าใหญ่และผู้มีอิทธิพลไม่ต้องเป็นห่วงว่าสินค้าจากนอกโลกเป็นภูเขาเลากาจะมาตีตลาด ด้วยเหตุว่าแร่ธาตุเหล่านั้นจะถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนพามนุษย์เดินทางลึกไกลเข้าไปในอวกาศเท่านั้น
ได้มีบริษัทไม่น้อยกว่า 2 แห่ง เตรียมจะทำธุรกิจขุดแร่จากดาวเคราะห์น้อยที่โคจรผ่านโลกไปภายในเวลา 3 ปีนี้ แต่เนื่องจากว่ายังไม่มีหนทางที่จะนำแร่ธาตุหรือโลหะกองโตๆจากสวรรค์ลงมาสู่โลก พวกผู้ประกอบการรุ่นใหม่และแม้กระทั่งองค์การอวกาศสหรัฐฯที่มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ด้วย ยังคิดแค่แต่เพียงจะใช้แร่ธาตุในอวกาศ ตั้งเป็นปั๊มเชื้อเพลิงเพื่อการเดินทางระหว่างดวงดาวหรือฐานสนับสนุนและปั๊มน้ำมันบนดาวอังคารเท่านั้น
รัฐบาลหลายชาติก็เล็งเห็นว่า เป็นเรื่องที่มีอนาคต องค์การอวกาศสหรัฐฯก็ตั้งโครงการจะส่งมนุษย์อวกาศขึ้นไปยึดดาวเคราะห์น้อยภายในรอบทศวรรษนี้ และขึ้นไปบนดาวอังคาร ในราวปี พ.ศ.2575 ในการดำเนินการเหล่านี้ จะต้องใช้เงินทองสูงมาก แต่พวกฝ่ายขัดแย้งก็ถูกหลอกว่า มันจะคุ้มได้ในวันหน้าด้วยเหตุที่ความรู้ต่างๆที่ได้รับ จะสามารถนำมาช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นภัยพิบัติแบบเดียวกับที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์มาแล้ว นั่นคือหาหนทางรอดพ้นจากการถูกดาวเคราะห์น้อยขนาดยักษ์เข้ามาชนโลก.
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/edu/385002
____________________
วันนี้(22 พ.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ที่ช่องแคบฮัดสัน ในจังหวัดนูนาวัต ทางตอนเหนือสุดของแคนาดา ชาวประมงต้องตื่นตะลึงเมื่อพบปลาประลาดมีจมูกยาว อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเลระดับ 3,000ฟุต
ปลาจมูกยาว
โดยผู้เชี่ยวชาญ เผยว่า ในตอนแรกเชื่อว่ามันเป็นปลาฉลาม แต่ลักษณะของจมูกที่ยาวแหลมรวมถึงมีฟันอันแหลมคม ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านปลาต้องถกเถียงว่ามันเป็นปลาอะไรกันแน่
ซึ่งมันน่าจะเป็นสายพันธ์เครือญาติระหว่างกระเบนกับฉลาม เพราะมันมีหางคล้ายแส้ รวมถึงลักษณะที่ใหญ่กว่า 3 เมตร และดำน้ำได้ลึกกว่า 1- 2 พันเมตร ทำให้มันเป็นสัตว์หายากมาก
ที่มา : http://news.mthai.com/world-news/287715.html
____________________
นับว่าเป็นข่าวสร้างความตื่นตระหนกอีกครั้ง รายงานข่าวจากเมืองคมบริดจ์ รัฐแมสซาจูเสทสหรัฐอเมริกา ที่ตั้งสำนักงานนาซาองค์การสำรวจอวกาศซึ่งได้ส่งกล้องโทรทรรศน์เอกซเรย์ขึ้นสู่วงโคจรของโลก เพื่อจับภาพความเคลื่อนไหวในอวกาศ ได้แก่วัตถุที่โคจรเข้าสู่โลกหรือเข้ามาในเขตใจกลางของสุริยจักรวาล
กล้องโทรทรรศน์เอกซเรย์ตัวนี้ส่งคลื่นเอกซเรย์ออกไปแล้ว มีจานรับสัญญาณแปลงคลื่นในระบบดิจิตอล จึงไม่อาจมีสิ่งแปลกปลอมหลุดรอดการตามล่าไปได้
นาซาตั้งชื่อกล้องโทรทรรศน์มูลค่าพันกว่าล้านดอลลาร์หรือ 40,000 ล้านบาทไทยว่า “จันทรา” (Chandra) กล้องโทรทรรศน์เอกซเรย์จันทราพบสิ่งผิดปกติมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
จนบันดนี้มีข่าวรั่วจากนาซาว่าสิ่งผิดปกติที่พบนั้นคือ หลุมดำ(Black hole) หรือนรกดำที่กำลังเคลื่อนที่มายังสุริยจักรวาลด้วยความเร็วกว่าล้านไมล์ต่อชั่วโมง
หลุมดำดังกล่าวนี้มีขนาดใหญ่กว่าระบบสุริยจักรวาลเสียอีก นั่นก็หมายความว่าหากเคลื่อนผ่านตรงดิ่งมาโดยไม่เปลี่ยนทิศทาง ไม่เพียงชะตากรรมของมนุษย์โลกจะสิ้นสุดลงแล้ว สุริยจักรวาลทั้งระบบก็ถูกดูดกลืนหายไปในความมืดมิดของนรกดำนี้ด้วย
ดร.จีราร์ด โฮลท์เซียน นักฟิสิกส์อวกาศ ผู้ซึ่งเคยทำงานให้นาซามาก่อนกล่าวว่า “โลกของเราจะถูกหลุมดำดูดเข้าไปด้วยแรงดูดมหาศาล จากนั้นบดขยี้กลายเป็นเศษฝุ่นเล็กๆพอกับอณู”
หลุมดำคืออะไร ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายรูปลักษณ์ได้มากนัก รู้เพียงว่ามันมีสภาพคล้ายกลุ่มก๊าซ กลุ่มควัน ซึ่งหมุนอยู่รอบตัวคล้ายพายุเฮอริเคน แต่ความเร็วหมุนนั้นไม่อาจมีมาตรามาวัดได้
ความเร็วหมุนนี่เองได้ดูดทุกสรรพสิ่งเข้าไปในหลุมดำ ไม่ว่าสิ่งนั้นเป็นวัตถุธาตุ เป็นก๊าซ เป็นดวงดาว เป็นแสงสว่าง และรวมทั้งกาลเวลาด้วย แรงหมุนมากมายมหาศาลทำให้ตรงใจกลางของการหมุนปราศจากสี กลายเป็นความกำมืด ก็เพราะมันดูดทุกสรรพสิ่งเข้าไปนั่นเอง ขนาดของหลุมดำมีไม่แน่นอน เช่นเดียวกับการเคลื่อนที่ไปทิศทางใดของจักรวาลก็ไม่มีใครรู้แน่ชัด สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พอมีข้อมูลอยู่บ้างถึงการถือกำเนิดของหลุมนรกดำ เกิดจากปากฎการณ์เรียกว่า “ซูเปอร์โนวา” หรือการแตกตัวการระเบิดของกลุ่มดาว หรือดาวเคราะห์ ซึ่งถึงเวลาแตกดับ
ก่อนเกิดปรากฎการณ์ซูเปอร์โนวา ดาวถึงเวลาดับนั้นจะหดตัวเข้าหากันเรื่อยๆใช้เวลานับล้านๆปี จากนั้นขยายตัวออกเป็น 3 เท่า แล้วระเบิดเป็นจุล ซึ่งสุริยจักรวาลของเราก็เกิดขึ้น จากปรากฎการณ์ซูเปอร์โนวานี่เอง ทั้งนี้นักดาราศาสตร์พบหลักฐานบริเวณสุริยจักรวาลมีฝุ่นควันก้อนอุกกาบาตน้อยใหญ่และน้ำแข็งยังปกคลุมภายในเป็นรัศมีวงกลม หากมองจากจักรวาลอื่นๆพบว่าสุริยจักรวาลของเรามีหมอกควันปกคลุมอยู่ หลังจากการระเบิดของซูเปอร์โนวา ความร้ายแรงจะขยายไปยังดวงดาวใกล้เคียงระเบิดต่อๆกัน
แต่เนื่องจากแรงดึงดูดในจักรวาลยังอยู่ “ธาตุ” หรือแกนยังไม่สูญสลายไปไหน ดวงดาวที่แตกสลายจะกลับมารวมกันใหม่ นี่เองจึงเกิดการหมุนอย่างรุนแรงขึ้นและหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ แกนกลางของหลุมดำนั้นนักวิทยาศาสตร์คาดว่าแข็งแกร่งกว่าเพชรหลายล้านเท่า
นักวิทยาศาสตร์เคยคิดว่า ในหลุมดำนี่เองมีโพรงสำหรับการท่องจักรวาลได้ ในเมื่อหลุมดำไม่มีอะไรเลยแม้แต่กาลเวลา ก็น่าจะเป็นช่องทางสำหรับการเคลื่อนที่ได้เร็มกว่าความเร็วแสง “หลุมดำได้ชื่อว่าเป็นตัวกินดวงดาว ตัวดูดกลืนทุกสรรพสิ่งในจักรวาล” ดร.จีราร์ด กล่าว
เรื่องราวของหลุมดำ นักวิทยาศาสตร์พบเค้าลางในปี 1960 แต่ไม่มั่นใจว่ามันคืออะไร จะเป็นกลุ้มก๊าซ กลุ่มดาวก็ไม่ใช่ นี่เองนาซาจึงสร้างโครงการอวกาศฮับเบิสเปซและอื่นๆตามมาอีกหลายโครงการ เพื่อส่งกล้องไปจับภาพสิ่งแปลกปลอมที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามมาใกล้สุริยจักรวาล
สำหรับกล้องโทรทรรศน์จันทรา นับว่าเป็นกล้องที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในโลกมนุษย์ที่เคยผลิตขึ้นมาได้ และเมื่อปลายปีมานี่เอง กล้องจันทราจับภาพหลุมดำได้ หลุมดำเป็นเรื่องร้ายแรง
ดังนั้นนาซาเก็บภาพที่กล้องจันทราถ่ายไว้ได้เป็นความลับสุดยอด “ดวงตาของคนเรานั้น ไม่อาจจับภาพ มองเห็นภาพขอหลุมดำได้เลย เพราะมันหมุนด้วยความเร็วไม่อาจประมาณได้” แต่กล้องจันทราจับภาพได้ พร้อมกับคำนวณว่าหลุมดำเคลื่อนที่ด้วยความเร็วล้านไมล์ต่อชั่วโมง
และหากหลุมดำเคลื่อนที่ผ่านสุริยจักวาลจริง ดวงอาทิตย์และดาวนพเคราะห์อีก 9 ดวง รวมทั้งโลกเราจะถูกดูดไปในนรกดำเหมือนน้ำไหลลงรูขนาดใหญ่ ก่อนที่โลกเผชิญหน้ากับหลุมดำจะเกิดปรากฎการณ์อะไรขึ้นมาก่อน แน่นอนคำถามนี้ย่อมไม่มีใครตอบได้ แต่มีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มทฤษฎีอธิบายว่า ก่อนเกิดเหตุทุกเหตุย่อมมีลางเกิดเหตุเกิดขึ้นก่อนทั้งสิ้น ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงก่อนคือภูมิอากาศของโลก
จากนั้นตามด้วยภัยพิบัติร้ายแรง หาดว่าแรงดูดในระยะไกลนับร้อยปีแสงทำให้แกนโลกเกิดเอียงหรือเสียสมดุล สิ่งที่ตามมา คือ พายุร้าย แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และคลื่นยักษ์สูงนับไมล์
เกี่ยวกับเรื่องหลุมดำมุ่งหน้ามายังสุริยจักรวาลนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายแถลงข่าวของนาซาไมยอมรับพร้อมๆกับไม่ปฏิเสธ ขณะที่หลายคนที่ไม่เชื่อตามคำทำนายในคัมภีร์ไบเบิล ถึงวันสุดท้ายของโลกหรือ
“ดูมส์สิเดย์” นั้น ก็เริ่มเชื่อ พระคาทอลิกที่นครบอสตันผู้หนึ่งกล่าวเมื่อเร็วๆนี้ว่า
“ฉันรู้ดี นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มีทฤษฎีมากมายอธิบายถึงสิ่งบังเกิดในจักรวาล กับเรื่องวาระสุดท้ายของโลก ใช่ว่าปราศจากมูลความจริง”
“แต่ตราบใดพวกเรายังคงเชื่อมั่นในพระองค์ ศรัทธาต่อพระองค์ก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวอีก….เราสิ้นสุดจากที่นี่เพื่อไปพบกันที่แดนสวรรค์”
สำหรับคำพยากรณ์จากคัมภีร์ไบเบิลถึงวาระสุดท้ายของโลกนั้น ได้เขียนไว้มนคัมภีร์ฉบับใหม่ (New Testament) ซึ่งผุ้เชี่ยวชาญได้ถอดความออกมาคล้ายกับอธิบายว่าโลกที่กำลังเผชิญหน้ากับหลุมดำนั้นเป็นอย่างไร
1. “แล้วพระองค์ได้เปิดทางออกของหลุม ซึ่งมีควันพวยพุ่งออกมาจากเตาหลอมร้อนแรง ทั้งดวงอาทิตย์และอวกาศพลันถลำสู่ความมืดมน อนธกาล” (จากเรฟวีเลชั่น 9:1-2)
2.”แล้วมันได้บังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อน ผู้คนจะหายลับไปใต้พื้นโลก” (จากเรฟวีเลชั่น 16:18) ข้อความนี้หมายถึงโลกจะระเบิดออกมา
3. “แล้วนางพญางูใหญ่ พ่นปล่องน้ำออกจากปากกลายเป็นน้ำท่วม” (จากเรฟวีเลชั่น 12:13) ข้อความนี้หมายถึงเกิดคลื่นยักษ์
4.แล้วข้าฯมองเห็นผู้รั้งบังเหียนม้าเรียกชื่อของพระองค์ ถลำสู่ความตาย พลังทุกทิศถาโถมเข้าหากัน ห้ำหั่นกันด้วยดาบและความหิวกระหาย (จากเรฟวีเลชั่น 6:8) ข้อความนี้หมายความว่า จะเกิดภัยสงครามและความอดอยากไปทั่วโลก
5. “แล้วทุกสิ่งทุกอย่างหมุนกลิ้งเข้าหากัน ทั้งภูเขา ทั้งเกาะ หลุดออกจากที่ตั้ง” (จากเรฟวีเลชั่น 6:14) หมายถึงโลกปริแยกแตกจากกัน
6. “แล้วดวงอาทิตย์จะหรี่แสงกลายเป็นความมืดมิดพร้อมกับดวงตาแห่งสวรรค์ตกลงมายังพื้นโลก” (จากเรฟวีเลชั่น 6:12-13) หมายถึงบรรยากาศลุกเป็นไฟ แล้วถูกดูดกลืนลงสู่หลุมดำ
สำหรับวันเวลาที่หลุมดำเคลื่อนที่ใกล้สุริยจักรวาลเพียงพอต่อการทำลายล้างได้นั้น “นาซา” ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลลับนี้
ที่มา : http://www.nokroo.com/?p=73
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ภาพวาดแสดงปฏิบัติสำรวจบรรยากาศดาวอังคารเมื่อยานเดินทางไปถึง
ยานอวกาศนาซามุ่งหน้าสู่ดาวอังคาร เพื่อไขคำตอบอะไรทำให้บรรยากาศที่ในอดีตเคยหนาแน่นของดาวอังคารบางเบาเหมือนในปัจจุบัน และเหลือเพียงความแห้งแล้ง
ยานอวกาศมาเวน (Maven: Mars Atmosphere and Volatile EvolutioN) ขององค์การบริหารการอวกาศสหรัฐ (นาซา) ทะยานฟ้ามุ่งหน้าสู่ดาวอังคารเมื่อวันที่ 19 พ.ย.ตามเวลาในประเทศไทย
ยานมาเวนจะโคจรรอบดาวอังคารเพื่อสำรวจชั้นบรรยากาศชั้นบนของดาวเคราะห์เพื่อนบ้านดังกล่าวเพื่ออธิบายถึงกระบวนการที่ปล้นเอาอากาศเกือบทั้งหมดของดาวแดงไป โดยตามกำหนดการบีบีซีนิวส์รายงานว่า ยานโคจรมูลค่าราว 2 หมื่นล้านลำนี้จะไปถึงเป้าหมายในเดือน ก.ย.2014
ขณะที่ยานสำรวจบรรยากาศดาวอังคารของอินเดียที่ถูกส่งขึ้นไปก่อนหน้านี้ 2 สัปดาห์ ไม่มีพลังงานขับเคลื่อนในตัว จึงต้องโคจรรอบโลกอยู่เกือบเดือน เพื่อให้มีความเร็วมากพอที่จะหนีจากแรงดึงดูดโลก แต่จะไปถึงเป้าหมายในช่วงเดือน ก.ย.2014 เช่นเดียวกัน โดยยานนาซาถึงก่อนไม่กี่วัน
ทั้งนี้ รายงานบีบีซีนิวส์ระบุว่าจากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า ครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยถูกปกคลุมไปด้วยก๊าซหนาๆ ที่เอื้อต่อการมีน้ำในรูปของเหลวอยู่บนพื้นผิว แต่ทุกวันนี้ความกดอากาศของดาวเคราะห์ต่ำมาก ซึ่งน่าจะทำให้น้ำเดือดระเหยไปทันที
บรรยากาศของดาวอังคารในปัจจุบันนั้นประกอบไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ โดยมีชั้นบรรยากาศที่บางมาก และมีความดันบรรยากาศที่พื้นผิวคิดเป็นเพียง 0.6% ของความดันบรรยากาศที่พื้นผิวโลก
สำหรับภูมิทัศน์ของดาวอังคารนั้น ยังคงมีร่องน้ำที่แสดงหลักฐานว่าเคยมีน้ำปริมาณมหาศาลไหลผ่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า ในอดีตดาวอังคารเคยมีชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นมาก และอากาศบางส่วนน่าจะได้ทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุที่พื้นผิวดาวอังคาร
ทว่าสิ่งที่น่าจะอธิบายถึงการสูญเสียอากาศส่วนใหญ่ของดาวอังคารได้มากที่สุดคือ ลมสุริยะ (solar wind) ซึ่งเป็นกระแสปริมาณมากของอนุภาคมีพลังงานจากดวงอาทิตย์ ที่กัดกร่อนชั้นบรรยากาศดาวอังคารไปตามกาลเวลา
เหตุการณ์ดังกล่าวมีความเป็นไปได้เพราะดางอังคารต่างจากโลกตรงที่ขาดสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่เหมือนโลกไว้ช่วยปกป้องและเบนการถูกจู่โจมจากกระแสอนุภาคดังกล่าว
ในส่วนของอุปกรณ์นั้นมาเวนมีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์รวม 8 เครื่องมือ บางอย่างมีไว้เพื่อศึกษาอิทธิพลของดวงอาทิตย์บนดาวอังคาร ส่วนอื่นๆ มีไว้เพื่อศึกษาองค์ประกอบและพฤติกรรมของบรรยากาศดาวอังคาร โดยมีเป้าหมายเพื่อวัดอัตราที่โมเลกุลอากาศชนิดต่างๆ สูญเสียไปในปัจจุบัน เพื่อจำแนกกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
บีบีซีนิวส์รายงานอีกว่า นักวิทยาศาสตร์จะใช้ข้อมูลเหล่านี้ เพื่อเข้าถึงอดีตของภูมิอากาศดาวอังคารเมื่อหลายพันล้านปีก่อน ขณะที่ดาวยังอุ่นกว่าและชุ่มชื้นกว่าตอนนี้ รวมถึงศักยภาพที่จะเป็นถิ่นอาศัยของสิ่งมีชีวิตเมื่อครั้งอดีต และเก็บสัญญาณของสภาพแวดล้อมในปัจจุบันซึ่งหนาวเหน็บและแห้งแล้ง
ด้าน บรูซ จาโกสกี (Bruce Jakosky) ผู้ศึกษาหลักในโครงการมาเวนของนาซาจากมหาวิทยาลัยโคโลราโดในโบลเดอร์ (University of Colorado at Boulder) กล่าวว่า การสูญเสียบรรยากาศส่วนใหญ่ของดาวอังคารนั้น เชื่อว่าเกิดขึ้นในยุคแรกๆ ของดาวอังคาร ซึ่งเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์และลมสุริยะมีความเข้มสูง
ส่วนอัตราการสูญเสียบรรยากาศของดาวอังคารในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำพอที่เราอาจจะไม่ได้เห็นการสูญเสียบรรยากาศทั้งหมด แต่เหตุผลที่นาซายังศึกษาอยู่แม้การสูญเสียบรรยากาศจะต่ำมากนั้น จาโกสกีอธิบายว่า เพราะเราจะได้เข้าใจถึงกระบวนการเฉพาะที่กำลังเกิดขึ้น และนำมาอ้างอิงย้อนกลับไปในอดีต
ตามคำอธิบายของ กาย บิวเทลสชีส์ (Guy Beutelschies) ผู้จัดการโครงการของยานอวกาศที่โรงงานผลิตล็อคฮีดมาร์ติน (Lockheed Martin) ยานมาเวนจะเข้าไปอยู่ในวงโคจรของดาวอังคาร ที่มีช่วงระยะไกลดาวอังคารที่สุด 6,220 กิโมเมตร และใกล้ดาวอังคารที่สุด 150 กิโลเมตร
เจ้าหน้าที่จะควบคุมให้ยานมาเวนเข้าไปเก็บตัวอย่างในบรรยากาศชั้นบนของดาวอังคารได้สัปดาห์ละครั้ง เรียกว่าปฏิบัติการ "ดีพดิพส์" (deep dips) ซึ่งจะปฏิบัติทั้งหมด 5 ครั้งระหว่างปฏิบัติการหลัก
ปฏิบัติการหลักของมาเวนจะกินเวลา 1 ปีโลก หรือครึ่งปีดาวอังคาร หลังจากนั้นทีมวิทยาศาสตร์ของยานจะต้องเพิ่มทุนวิจัยเพื่อเดินหน้าโครงการต่อ โดยนาซามีแนวโน้มชัดเจนว่าจะเดินหน้าโครงนี้ต่อไปอีกยาว ซึ่ง บิวเทลสชีส์กล่าวว่า หากทุกอย่างเป็นไปตามปกติ ยานน่าจะทำงานต่อไปได้อีกหลายปี เหมือนยานโอดิสซี (Odyssey) ที่ส่งขึ้นไปตั้งแต่ปี 2001 แต่ยังคงใช้งานอยู่ถึงทุกวันนี้
ภาพจำลองรูปร่างของยานมาเวน
ภาพระหว่างสร้างยานมาเวน
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000143610
____________________
ฝนดาวตกลีโอนิดส์ วันที่ 18 พ.ย.52 เวลา 01.19 น. (Tony Hallas, Science Faction/Corbis)
สดร.- สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เผย "ฝนดาวตกลีโอนิดส์” หรือ “ฝนดาวตกกลุ่มดาวสิงโต" ปีนี้มีจำนวนมากสุดระหว่างวันที่ 17-18 พ.ย. ตรงกับดวงจันทร์เต็มดวงในคืนลอยกระทงพอดีจึงสังเกตเห็นได้ยาก แนะรอชม “ดาวหางไอซอน” ปลาย พ.ย. นี้
ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยว่า วันที่ 17-18 พ.ย.56 จะเกิดปรากฏการณ์ "ฝนดาวตกลีโอนิดส์" สังเกตได้ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันที่ 17 พ.ย.55 ต่อเนื่องไปถึงเช้ามืดของวันที่ 18 พ.ย.56 ช่วงเวลาที่คาดการณ์ว่าสามารถเห็นฝนดาวตกลีโอนิดส์มากที่สุด คือ 03:00 ถึง 04:00 น. ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณใกล้กลุ่มดาวสิงโต ซึ่งเป็นศูนย์กลางการกระจายของฝนดาวตก
“ในปีนี้ดวงจันทร์ไม่เป็นใจให้ชมฝนดาวตกลีโอนิดส์เนื่องจากเป็นช่วงดวงจันทร์เต็มดวงพอดี แสงสว่างของดวงจันทร์เต็มดวงเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการสังเกตการณ์ฝนดาวตก ทั้งนี้นักดาราศาสตร์คาดการณ์ว่าอาจเห็นดาวตกประมาณ 10-20 ดวงต่อชั่วโมง” รองผู้อำนวยการ สดร.ระบุ
ฝนดาวตกลีโอนิดส์เกิดจากสายธารเศษฝุ่นของดาวหาง 55พี เทมเพล-ทัตเทิล (55P Tempel-Tuttle) ที่ยังหลงเหลืออยู่ในวงโคจรของดาวหางตัดผ่านวงโคจรของโลก ทำให้เศษฝุ่นของดาวหางเหล่านั้นเสียดสีกับชั้นบรรยากาศโลก เกิดการเผาไหม้จนเห็นเป็นแสงสว่างวาบคล้ายลูกไฟวิ่งพาดผ่านท้องฟ้า ทิศทางวงโคจรของฝนดาวตกลีโอนิดส์สวนทางกับทิศทางวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ทำให้ความเร็วของเม็ดฝุ่นที่เข้ามาเสียดสีกับบรรยากาศโลกมีความเร็วค่อนข้างมาก โดยมีความเร็วสูงถึง 71 กิโลเมตรต่อวินาที ฝนดาวตกลีโอนิดส์ เป็นฝนดาวตกที่มีความสว่างมากที่สุด จึงได้รับการขนานนามว่า “ราชาแห่งฝนดาวตก”
สำหรับข้อแนะนำในการชมฝนดาวตก ควรเป็นสถานที่ท้องฟ้ามืดสนิทไม่มีแสงไฟรบกวน จะสังเกตดาวตกมีความสว่างมาก ทั้งนี้ วิธีการชมฝนดาวตกให้สบายที่สุด ให้นอนรอชมเนื่องจากช่วงที่เกิดฝนดาวตกจุดศูนย์กลางจะอยู่เหนือท้องฟ้ากลางศีรษะพอดี ส่วนการบันทึกภาพฝนดาวตกนั้น ไม่อาจบอกได้แน่ชัดว่าควรตั้งกล้องทางทิศไหน ต้องอาศัยการเดาหรือเปิดหน้ากล้องเพื่อรอให้ดาวตกวิ่งผ่านหน้ากล้อง เนื่องจากฝนดาวตกลีโอนิดส์มีอัตราเร็วสูงมาก และกระจายทั่วท้องฟ้า
นอกจากฝนดาวตกลีโอนิดส์ที่จะได้ชมกันในเดือน พ.ย.แล้ว ในเดือน ธ.ค.ยังมีฝนดาวตก เจมินิดส์หรือฝนดาวตกคนคู่ ให้ชมส่งท้ายปี 2556 อีกด้วย จะเกิดขึ้นมากที่สุดในวันที่ 13-14 ธ.ค.56 สามารถสังเกตได้ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันที่ 13 ธ.ค.56 ต่อเนื่องไปจนถึงเช้ามืดของวันที่ 14 ธ.ค.55 ในปีนี้ดวงจันทร์ก็ไม่เป็นใจให้ชมฝนดาวตกเจมินิดส์อีกเช่นกัน เนื่องจากเป็นช่วงดวงจันทร์ข้างขึ้น 11-12 ค่ำ แสงสว่างของดวงจันทร์นับเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเฝ้ารอชมฝนดาวตก
ดร.ศรัณย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ว่าในปี 2556 สภาพท้องฟ้าไม่เอื้ออำนวยต่อการชมฝนดาวตกลีโอนิดส์และฝนดาวตกเจมินิดส์ แต่ในปีนี้นับว่าเป็นปีแห่งดาวหาง มีดาวหางสว่างหลายดวงแวะเวียนเข้ามาในระบบสุริยะชั้นในหลายดวง เช่น ดาวหางแพนสตารร์ ดาวหางเลมมอน ดาวหางเองเค ดาวหางลิเนียร์ ดาวหางเลิฟจอย และดาวหาง ไอซอน
“สำหรับดาวหางไอซอนนั้น เป็นที่จับตามองของนักดาราศาสตร์ทั่วโลกเนื่องจากนักดาราศาสตร์คาดการณ์ว่าอาจมีความสว่างมากจนสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยในวันที่ 28 พ.ย.56 นี้ ดาวหางไอซอนจะโคจรเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด คาดว่าช่วงที่เหมาะในการสังเกตการณ์ได้แก่ 15-25 พ.ย.56 และ 8-15 ธ.ค.56 คงต้องรอลุ้นกันว่าดาวหางไอซอนจะรอดพ้นจากพลังทำลายล้างของดวงอาทิตย์โผล่มาอวดโฉมให้ชาวโลกได้ชมกันหรือไม่ ต้องรอติดตาม” ดร.ศรัณย์กล่าว
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000142533
____________________
โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ ( Moai Easter Island )
โมอายแห่ง ราโน ราราคู
เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยได้ยินเรื่องราวของเกาะอีสเตอร์กัน และเชื่อว่าอีกไม่น้อยเหมือนกันที่กำลังสงสัยอยู่ ว่าเจ้าเกาะชื่อประหลาดๆนี้มันคืออะไร วันนี้แอนจะนำเรื่องของเกาะอีสเตอร์มาฝาก
โดยเฉพาะเจ้ารูปสลักหน้าใหญ่ ที่เรียงรายกันบนชายหาดของเกาะนี้
เรารู้จักรูปสลักนี้กันในนามของ
" โมอาย "
แผนที่บนเกาะอีสเตอร์
เกาะอีสเตอร์ อยู่ห่างจากแหล่งชุมชนของตาฮิติและชิลีไปประมาณ 2,000 ไมล์ ดูในแผนที่โลกก็คงจะเห็นว่าอีสเตอร์เป็นเกาะเล็กๆและโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง
สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเกาะนี้แบบที่ว่าเอ่ยถึงเกาะอีสเตอร์เป็นต้องนึกถึงเจ้านี่ ก็คือแท่งหินขนาดยักษ์แกะสลักเป็นรูปหน้าคน ที่เรารู้จักกันในนามของโมอาย เมื่อก่อนเกาะนี้ไม่ได้ชื่ออีสเตอร์หรอก
มันมีชื่อพื้นเมืองว่า " Te Pito O Te Henua " ซึ่งความหมายคือ " Navel of The World " หรือ สะดือของโลก จนกระทั่งเรือของชาวตะวันตกได้มาขึ้นฝั่งที่นี่เมื่อปี 1722 อันเป็นวันอีสเตอร์พอดี เกาะนี้เลยได้ตามวันด้วย
โมอาย (Moai) คือ รูปปั้นหินซึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์และส่วนศีรษะมีขนาดใหญ่เด่นชัด
โมอายถูกพบมากกว่า 600 ตัว กระจายอยู่ทั่วเกาะอีสเตอร์ อุทยานแห่งชาติลาปานุย ประเทศชิลี
โมอายเกือบทั้งหมดที่พบนั้นถูกแกะสลักมาจากหินก้อนเดียว
แต่ก็มีบางตัวซึ่งมี Pukau ลักษณะคล้ายหมวกเป็นชิ้นต่างหากอยู่บนศีรษะ โมอายเกือบทั้งหมดถูกแกะสลักมาจากเหมืองหินที่ราโน ราราคู (Rano Raraku) ซึ่งเป็นที่ที่พบโมอายอยู่กว่า 400 ตัว อยู่ในกระบวนการแกะสลักซึ่งใกล้เสร็จสมบูรณ์
จากการค้นพบรูปปั้นที่ยังแกะสลักอยู่ครึ่งๆกลางๆนั้น ทำให้มีการสันนิษฐานว่าเหมืองหินได้ถูกทิ้งร้างไปอย่างกระทันหัน นอกจากนั้นในการค้นพบโมอายเกือบทั้งหมดอยู่ในสภาพล้มนอน ซึ่งเชื่อว่าชาวพื้นเมืองบนเกาะเป็นผู้ทำให้มันล้ม
ลักษณะที่เด่นชัดของโมอาย คือส่วนหัว แต่ก็มีโมอายหลายตัวซึ่งมีส่วนหัวไหล่, แขน และลำตัว
ซึ่งเป็นโมอายที่พบหลังจากถูกฝังมานานนับปี
ความหมายและวัตถุประสงค์ของการสร้างโมอายนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัดและมีการสันนิษฐานกันไปต่างๆนานา ข้อสันนิษฐานที่แพร่หลายมากที่สุดข้อหนึ่ง
คือรูปปั้นโมอายถูกแกะสลักโดยพวกโพลิเนเชียน (Polynesian) ซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะนี้เมื่อกว่า 1,000 ปีมาแล้ว ข้อสันนิษฐานนี้เชื่อว่าพวกโพลิเนเชียนอาจสร้างโมอายขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ หรืออาจจะเป็นผู้ซึ่งมีความสำคัญ ณ สมัยนั้นหรืออาจจะเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะของครอบครัว
สัดส่วน โมอาย
MOAI TUTURI
(Rano Raraku) | MOAI KO TE RIKU
(Tahai) | MOAI AHU TONGARIKI
(Hotu iti) |
MOAI TUTURI
(Rano Raraku) | MOAI AHU TONGARIKI
(Hotu iti) |
เห็นได้ชัดว่าการสร้างโมอายนั้นต้องลงทุนลงแรงและใช้เวลาเป็นอย่างมาก หลังจากสร้างเสร็จแล้วยังต้องเคลื่อนย้ายรูปปั้นไปยังตำแหน่งที่ต้องการ
การขนย้ายโมอายซึ่งหนักและใหญ่นั้นทำอย่างไรก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดจนปัจจุบัน
ปริศนาการสร้างและเคลื่อนย้ายโมอาย
ประติมากรรมเหล่านี้แกะสลักจากหินปูนแข็งประกอบด้วยเถ้าลาวาจากภูเขาไฟอัดตัวกันเป็นก้อน
หาได้จากยอดภูเขาไฟเตี้ยๆ ชื่อว่า ราโนรารากู (Rano Raraku) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ
รูปสลักบางรูปจะมีผมจุกขนาดใหญ่สีแดงอยู่บนหัว แกะจากหินสโกเรียสีแดง (scoria) จุกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.4 เมตร สูง 1.8 เมตร หนัก 11.5 ตัน
แต่ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กกว่านี้มาก หินสีแดงนี้ได้จากเหมืองที่ปูนาเปา ซึ่งเป็นยอดภูเขาไฟเตี้ยๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
มีการพบอุปกรณ์แกะสลักที่เรียกกันว่า โตกิ (toki) ทิ้งอยู่ตามเหมืองหินที่ราโนรารากู คำว่าโตกิเป็นภาษาราปานุย (Rapa Nui) อันเป็นภาษาท้องถิ่นของชาวเกาะอีสเตอร์ ใช้เรียกเครื่องมือประเภทผึ่งถากไม้หรือขวาน ทำจากหินบะซอลต์ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟ ลักษณะเป็นก้อนสีคล้ำอยู่ในหินปูนแข็ง (ที่เกิดจากเถ้าภูเขาไฟ) ซึ่งมีเนื้ออ่อนกว่า
มีรูปสลัก 394 รูปที่ยังแกะค้างทิ้งอยู่ตามเหมืองหิน แกะสลักไปแล้วมากน้อยต่างๆ กัน บ้างก็เพิ่งจะขึ้นโครงหน้าบนผิวของก้อนหิน ที่ใกล้เสร็จมีเพียงน้อยชิ้น ซึ่งก็เหลือเพียงตอกให้รูปสลักหลุดจากหน้าผาเท่านั้น บ้างก็นอนหงายอยู่ บ้างก็ตะแคงข้างหลบลึกเข้าไปในซอกหน้าผาดังซากศพในหลุม บางชิ้นก็ใกล้จะได้เวลาเคลื่อนย้ายโดยมีหินก้อนกลมๆ รับน้ำหนักไว้
นักวิชาการหลายคนถึงกับลงมือขุดค้นเข้าไปในตำนานของชาวเกาะ เพื่อจะหาที่ไปที่มาของโมอาย
แต่ก็ไม่ค่อยจะได้เรื่องราวมากนัก พอถามชาวเกาะที่มีอายุ และมีความทรงจำเกี่ยวกับความเป็นมาของเกาะ ก็ได้รับคำตอบอย่างเป็นที่น่าพอใจว่า "มันเดินกันลงมาเอง" !?
รูปสลักสูง 9.8 เมตร ซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่พบบนอาฮูนั้น ปัจจุบันอยู่ในสภาพหักพังกองอยู่กับพื้นดินในลักษณะที่บ่งให้รู้ว่าถูกผลักหล่นลงมาจาก อาฮู ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดทราบถึงสาเหตุ
สันนิษฐานกันว่ารูปสลักแต่ละรูปนั้นคงจะต้องใช้แรงงานคนประมาณ 90 คน และใช้เวลาถึง 18 เดือนในการแกะสลักและนำไปตั้งเข้าที่
รูปสลักใหญ่โตขนาดนี้ ใครล่ะจะเชื่อว่าชาวเกาะโบราณจะใช้แรงงานของพวกเขาขนย้าย ด้วยการลากลงมาเอง อย่าว่าแต่ลากเลยอ่ะ แค่วิธีแกะสลักเนี่ยก็ลำบากมากแล้ว ขนาดแอนเองยังนึกไม่ออกเลยว่า ชาวโพลิเนเชี่ยนเหล่านี้เค้าเอาอะไรมาสลักหินภูเขาไฟก้อนใหญ่โตขนาดนี้ให้ออกมาเป็นศิลปกรรมหน้าตาประหลาดแบบนี้ได้ ลิ่มหรือ หรือว่าขวานหิน ?
ศาสตราจารย์วิลเลียม มัลลอย ผู้ล่วงลับไปแล้วแห่งมหาวิทยาลัยไวโอมิง
เสนอไว้เมื่อทศวรรษ 1970 ว่าการเคลื่อนย้ายรูปสลักไปสู่ที่หมายคงใช้วิธีคว่ำหน้ารูปสลักลง
และมัดติดไว้กับเครื่องโล้หรือเลื่อนรูปโค้งที่ทำจากซุง
การที่รูปแกะสลักมีพุงพลุ้ยนั้นก็น่าจะเข้ากับข้อสันนิษฐานนี้ เลื่อนหรือเครื่องโล้นี้คงจะเคลื่อนที่ไปโดยมีเสาใหญ่ตั้งขนาบอยู่ 2 ข้าง แต่บันทึกของ ดร.ฟาน ทิลเบิร์ก กลับแสดงความเห็นขัดแย้งว่า
แบบของรูปสลักทำให้ไม่น่าจะใช้วิธีการดังกล่าวได้
การเคลื่อนย้ายโดยวิธีใดก็ตาม ย่อมขึ้นอยู่กับ 2 สิ่ง คือแรงงานและไม้ซุงจำนวนมาก ซึ่งข้อมูลใหม่ๆ แสดงว่ามีปัจจัยทั้ง 2 อย่างเหลือเฟือในยุคที่มีการเคลื่อนย้ายรูปสลัก กล่าวคือนักโบราณคดีขุดพบว่าบ้านและหมู่บ้านหลายแห่งมีโครงเป็นไม้ซุงอยู่บนฐานหิน ในช่วงปี 1000-1500 ที่มีการสร้างรูปสลักและอาฮูนั้น เกาะนี้อาจมีประชากรถึง 10,000 คน
ศาสตราจารย์ชาลส์ เลิฟ แห่งวิทยาลัยเวสเทิร์นไวโอมิง เสนอทฤษฎีว่ารูปสลักเหล่านี้เคลื่อนย้ายมาในสภาพแนวตั้ง เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีนี้ เขาจึงได้ลองนำรูปสลักหล่อด้วยคอนกรีตตั้งบนเลื่อนไม้และกลิ้งไปบนท่อนซุง มีอาสาสมัครช่วยกันใช้เชือกลากรูปสลักหรือบางทีก็ต้องดึงให้แรงยึดโยงระหว่างเส้นเชือกบังคับรูปสลักไว้มิให้ทิ่มลงมา
วิธีการนี้ใช้ได้ผลกับรูปจำลองคอนกรีตที่ใช้ทดลอง แต่ในความเป็นจริงมีรูปสลักไม่กี่รูปที่มีฐานล่างใหญ่พอให้เคลื่อนย้ายได้ด้วยวิธีนี้
ดร.ฟาน ทิลเบิร์ก ศึกษารูปสลัก 47 รูปที่นอนอยู่ตามทางที่เตรียมไว้จากภูเขาไฟราโนรารากูไปสู่อาฮูริมฝั่งทะเลและเสนอว่าคนโบราณน่าจะเคลื่อนย้ายรูปสลักโดยจัดให้วางไปในแนวนอนอาจจะมีการห่อหุ้มรูปสลักเพื่อป้องกันรอยตำหนิก่อนบรรทุกขึ้นบนเลื่อนไม้ แล้วกลิ้งไปบนท่อนซุงมีคานงัดและเชือกช่วย วิธีนี้ดูจะใช้ได้ดีถ้ารูปสลักยาว 4-5 เมตร แต่ถ้ารูปสลักยาวสัก 10 เมตร คงเคลื่อนย้ายไปได้ไม่ไกลกว่า 1.6 กิโลเมตร จากเหมือง
เมื่อปี 1970 ศาสตราจารย์มัลลอยเสนอว่าการเคลื่อนย้ายรูปปาโรนั้นเขาคงจะวางรูปให้คว่ำหน้าอยู่บนเลื่อนไม้ที่เป็นง่ามสองแฉก หนักประมาณ 5 ตัน แล้วเคลื่อนย้ายไปโดยอาศัยเสา 2 ต้นที่ยอดเสาผูกติดกัน แต่ปลายล่างกางแยกจากกันเป็นง่าม แต่ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญเสนอว่ารูปสลักส่วนใหญ่อาศัยเลื่อนชักลากไปบนลูกกลิ้งไม้ซุง
ไขปริศนาโมอายที่แท้จริงจาก UBC ช่อง History
สรุปออกมาแล้วว่า โมอายที่พบบนเกาะที่มีอยู่กว่า 900 ตัว เป็นฝีมือการทำของมนุษย์ (ชาวโพลิเนเชียน) เอง จากการที่บนเกาะนั้นมีเหมืองหินขนาดใหญ่อยู่แล้ว การแกะสลักนั้น พวกเขาได้ใช้หินจากภูเขาไฟซึ่งมีความแข็ง คมกว่าหินภายในเหมืองหินที่มีความแข็งแรงน้อยกว่าหินที่ใช้แกะสลักนั่นเอง
ทำไมอารยธรรมของพวกเขาถึงสาปสูญไป ??
พบว่าพวกเขาได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติบนเกาะจนหมดสิ้น จากเดิมเป็นเกาะที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ที่ให้ร่มเงายามแดดร้อน ทำให้พวกเขาต้องหลบแดดเข้าไปอยู่ภายในถ้ำ และนักประวัติศาสตร์ยังพบว่า เกิดสงครามแย่งอำนาจในการปกครองเกาะกัน รวมทั้งมีสิทธิขาดในการใช้ทรัพยากร แต่พวกเขาก็มีวิธีแก้ไขความขัดแย้งนี้โดยให้มีการจัดการแข่งขัน 'มนุษย์นกขึ้น' (Birdman) โดยตัวแทนของแต่ละเผ่าจะต้องวิ่งลงหน้าผาที่สูงชัน 1000 ฟุต เพื่อว่ายน้ำฝ่าดงฉลามไปยังเกาะนกนางนวล และเลือกหยิบไข่นกนางนวลและต้องว่ายกลับมาน้ำไข่ให้ผู้นำของพวกเขา ก็เป็นการชนะการแข่งขันอันสุดหฤโหดเลยทีเดียวนะเนี้ย เมื่อเผ่าพวกเขาชนะ หัวหน้าเผ่าจะเป็นผู้นำใช้สิทธิขาด อำนาจในการปกครองเกาะไปอีก 1 ปี ถึงจะมีการคัดเลือกผู้นำเกาะขึ้นมาใหม่
เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก
โมอายได้ถูกรับเลือกเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยมีเหตุผลดังนี้
1. เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด
2. เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
3. เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตามกาลเวลา
เสริม
ปัจจุบันมีกานนำโมอายมาเป็นส่วนหนึ่งของวีดีโอเกมส์ด้วย เช่นเกมส์ Gradius เกมส์ยานยิงยอดนิยมของค่าย Konami
ที่มา :
http://www.tumnandd.com/โมอายแห่งหมู่เกาะอีสเต
http://lonesomebabe.wordpress.com/ไขปริศนาการสร้างและเคล
http://www.bradshawfoundation.com/easter/easter_island.php
____________________