ระทึก ผู้ดีค้นหา"เด็กผีนัยน์ตาดำ"โผล่หลอนเมืองอีกครั้ง หลังหายตัวไปกว่า 30 ปี
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักสืบพิสูจน์เหตุการณ์เหนือธรรมชาติของอังกฤษ ได้เปิดฉากพิสูจน์การปรากฎตัวของ"เด็กหญิงนัยน์ตาดำ"หลังปรากฎตัวอีกครั้งในย่านคอนน็อก เชส ในเมืองสตาฟ์ฟอร์ดไชร์ ของอังกฤษ ซึ่งเธอได้ถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อ 30 ปีก่อน ท่ามกลางเสียงร่ำลือว่าเธออาจเป็นวิญญาณหลอนของลัทธิบางกลุ่ม
โดยสื่อท้องถิ่นของอังกฤษอ้างการเปิดเผยของหญิงรายหนึ่งระบุว่า เด็กหญิงดังกล่าวได้ปรากฎตัวขึ้นพร้อมเสียงร้อง ขณะที่หญิงรายนี้ที่กำลังอยู่ในป่า ขณะเดินอยู่ในย่านเบอร์ชส วัลเลย์ ในย่านชุมชนคอนน็อก เชส ทำให้เธอและคนอื่น ๆ ได้วิ่งตามหาเสียงเด็กหญิงคนนี้ แต่หาไม่เจอ ก่อนจะหยุดพัก และเมื่อมองไปรอบๆ เธอจึงได้เห็นเด็กหญิงผู้นี้ยืนอยู่ข้างเธอ อายุไม่เกิน 10 ปี และทำท่าเหมือนกับอยากของเค้กวันเกิด
เมื่อเธอถามเด็กหญิงรายนี้ว่า สบายดีหรือไม่ และทำไมถึงต้องกรีดร้อง เด็กหญิงคนนี้ได้เอามือลง พร้อมทั้งเบิกตาขึ้น ปรากฎว่าเธอมีนัยน์ตาดำล้วน ๆ ไม่มีตาขาวเลย และคล้ายกับผีมาก ขณะที่เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความฮือฮาให้แก่โลกอินเตอร์เนท ซึ่งร่ำลือว่าเด็กหญิงดังกล่าวอาจเป็นเหยื่อหรือสมาชิกลัทธิหลอนบางกลุ่ม
ทางด้านนายลี นักเขียนหนังสือปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติบอกว่า เขารู้สึกตะลึงกับการเปิดเผยนี้ และว่า เขากำลังเปิดฉากการค้นหาเด็กหญิงลึกลับรายนี้ เนื่องจากเธอเคยปรากฎตัวเมื่อปี 1982 ในช่วงฤดูร้อน ขณะที่ป้าของเขายังมีอายุเพียง 18 ปี ซึ่งเด็กหญิงลึกลับรายนี้ พร้อมเพื่อนๆ มักจะถูกพบเห็นอยู่ในย่านแคนน็อก เชส ในช่วงบ่ายเสมอ ๆ และวันหนึ่ง เธอได้ตะโกนขอความช่วยเหลือ ทำให้ย่าของเขาวิ่งไปดู และพบเห็นเด็กหญิงรายนี้ วิ่งหนีเข้าไปในป่า โดยหน้าตาของเธอ มีนัยน์ตาสีดำล้วน ๆ ไม่มีตาขาว คล้ายกับเด็กหญิงที่มีการพบเห็นล่าสุดนี้
ที่มา : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1411970576
____________________
ชาวบ้านในเมืองนิมบาแตกตื่นและขวัญผวาหลังเชื่อว่ามี ศพผู้หญิงที่เสียชีวิตจากอีโบลา 2 ราย ได้ฟื้นคืนชีพจากความตายมาเดินปะปนร่วมกับคนเป็น
วันนี้(26ก.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชาวบ้านในเมืองนิมบาประเทศไลบีเรียต่างขวัญผวาหลังเชื่อว่า ผู้เสียชีวิตจากไวรัสอีโบลา 2 รายได้ฟื้นคืนชีพจากความตาย
ด้านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นได้รายงานว่า ศพผู้ป่วยหญิงทั้ง 2 คนที่มีอายุ 40 และ 60 ปี ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายและเดินปะปนร่วมกับคนเป็น ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างความแตกตื่นและความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากเชื้ออีโบลาแล้วจำนวน 2,800 คน และติดเชื้ออีกกว่า 5,800 คน โดยหน่วยงานป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐประเมินว่า ผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มจำนวนกว่า1.4 ล้านคน ก่อนสิ้นเดือนม.ค.ปีหน้า
ที่มา : http://www.tnews.co.th/html/content/108370/
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง : http://www.mirror.co.uk/news/world-news/ebola-victims-african-village-rise-4320414
________________________________
หน่วยงานอวกาศอินเดีย ได้เผยแพร่ภาพดาวอังคารชุดแรกจากยานสำรวจ "มังคลายาน"
วันนี้(26 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หน่วยงานอวกาศอินเดีย ได้เปิดเผยถึงภาพภ่ายดาวอังคารภาพแรก ซึ่งแสดงถึงหลุมขนาดใหญ่ ถูกถ่ายโดยยานสำรวจ "มังคลายาน" ซึ่งเป็นยานสำรวจดาวเคราะห์ลำแรกของอินเดียที่เริ่มโคจรรอบดาวอังคารเพื่อถ่ายภาพดางอังคารรวมทั้งการสำรวจหาก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศของดาวงอังคาร ซึ่งหากพบว่ามีก็จะเป็นสิ่งที่ชี้วัดถึงโอกาสที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บริเวณพื้นผิวดาวอังคาร
โดยยาน "มังคลายาน" เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือ MOM (Mars Orbiter Mission) โคจรอยู่ห่างจากพื้นผิวดาวอังคารราว 7,300 กิโลเมตร และใช้เวลาประมาณ 12 นาทีในการส่งข้อมูลดิจิตอลกลับมายังโลก ซึ่งภาพนี้ได้รับการโพสลงในทวิตเตอร์ชื่อ @MarsOrbiter โดยล่าสุดมีผู้ติดตามกว่า 100,000 คนแล้ว
และหลังจากนั้นอีกราว 8 ชั่วโมง นักวิทยาศาสตร์อินเดียได้โพสภาพที่ 2 ซึ่งแสดงถึงชั้นบรรยากาศของดาวอังคาร
ทั้งนี้ ยานสำรวจจะใช้เวลาอีก 6 เดือนในการโคจร ซึ่งจะมีการโคจรระยะใกล้เพียง 365 กิโลเมตรจากพื้นผิวดาวอังคาร ก่อนที่จะถอยออกไปเป็น 80,000 กิโลเมตร เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับชั้นบรรยากาศของดาวอังคาร
จากข้อมูลของหน่วยงานอวกาศ งบประมาณที่ประเทศอินเดียใช้ลงทุนกับโครงการนี้ไปทั้งหมดมีมูลค่าราว 4.5 พันล้านรูปี (ประมาณ 2.25 พันล้านบาท) นับว่าเป็นโครงการส่งยานอวกาศทางข้ามดาวเคราะที่ประสบผลสำเร็จโดยใช้เงินทุนต่ำที่สุด
ซึ่งยานอวกาศอินเดียเข้าสู่วงโคจรดาวอังคารเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2557 และนับเป็นชาติที่ประสบความสำเร็จในการไปถึงดาวเคราะห์เพื่อนบ้านตั้งแต่ความพยายามครั้งแรก
องค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (Indian Space Research Organisation: ISRO) รายงานความคืบหน้าเกี่ยวสถานะของยานอวกาศมาร์ออร์บิเตอร์มิชชัน (Mars Orbiter Mission: MOM) หรือมงคลยาน (Mangalyaan) ผ่านทางแฟนเพจเป็นระยะ และได้ยืนยันว่ายานอวกาศลำนี้ได้เข้าสู่วงโคจรของดาวอังคารเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.ของวันที่ 24 ก.ย.แล้ว
ทางด้านรอยเตอร์ระบุว่า ความสำเร็จดังกล่าวทำให้อินเดียกลายเป็นชาติแรกที่ไปถึงดาวอังคารตั้งแต่ความพยายามในครั้งแรก อีกทั้งยังกระตุ้นให้ นเรนทรา โมที (Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอินเดียขยายโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในโครงการอวกาศของชาติที่เริ่มต้นมาได้ 5 ทศวรรษให้ดียิ่งขึ้น
ยานอวกาศมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาทถูกกว่ายานมาเวน (MAVEN) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ที่เพิ่งไปถึงวงโคจรของดาวอังคารก่อนหน้านี้ 2 วันประมาณ 10 เท่า หลายสำนักข่าวจึงเรียกยานอวกาศลำนี้ว่า "ยานโลว์คอสต์"
การเข้าไปโคจรอยู่รอบดาวอังคารครั้งนี้ของมงคลยาน ทำให้อินเดียเป็นอีกชาติที่เข้าไปรวมกลุ่มเล็กๆ ของไม่กี่ชนชาติได้แก่ สหรัฐฯ รัสเซียและยุโรปที่ส่งยานอวกาศไปโคจรหรือลงจอดดาวอังคาร ขณะที่อีกหลายชาติพยายามส่งยานไปยังเป้าหมายเดียวกันกลับล้มเหลวตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการ
ทั้งนี้ สัญญาณยืนยันความสำเร็จในการเข้าสู่วงโคจรของดาวอังคารต้องใช้เวลาเดินทางมาถึงโลกนาน 12 นาที แต่เมื่อศูนย์ควบคุมในบังกาลอร์ได้รับสัญญาณแล้วรอยเตอร์ระบุว่าการฉลองก็เริ่มขึ้น
ด้านโมทีซึ่งนั่งลุ้นอยู่ด้านหลังนักวิทยาศาสตร์ในห้องควบคุมดูลุ้นมากระหว่างที่มงคลยานเข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนถึงวงโคจรดาวอังคาร และเขาก็แสดงความยินดีกับนักวิทยาศาสตร์ของชาติหลังประสบความสำเร็จแล้ว
"อินเดียไปถึงดาวอังคารเรียบร้อยแล้ว ขอแสดงความยินดีกับทุกคน ประวัติศาสตร์ถูกสร้างขึ้นแล้วในวันนี้ เรากล้าที่จะไปยังที่ที่เราไม่รู้จักและเอาชนะความเป็นไปไม่ได้" โมทีกล่าวภายในห้องควบคุม
องค์การวิจัยอวกาศอินเดียประสบความสำเร็จในการจุดระเบิดเครื่องยนต์เชื้อเพลิงเหลว 440 นิวตัน และเครื่องยนต์ขับเคลื่อนขนาดเล็ก 8 เครื่องเป็นเวบา 24 นาที เพื่อลดความเร็วของยานให้สอดเข้าสู่วงโคจรและอยู่ใต้เงาดาวอังคารได้อย่างนิ่มนวล
ทั้งนี้ มงคลยานมีเป้าหมายในการศึกษาพื้นผิวดาวอังคารและองค์ประกอบแร่ธาตุต่างๆ ของดาวอังคาร รวมถึงกราดดูชั้นบรรยากาศดาวอังคารเพื่อค้นหามีเทน ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีความเกี่ยวพันกับสิ่งมีชีวิตบนโลก
ที่มา :
http://www.tnews.co.th/html/content/108305/
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000109810____________________
ปิระมิดในประเทศอียิปต์นั้นเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยแรงมนุษย์ (หรือเปล่า ??) ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก
จนจัดอันดับได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับหนึ่งของโลก
โดยทางอียิปต์นั้นอ้างว่าปิระมิดนั้นเกิดจากฝีมือการสร้างของฟาโรห์(แต่ละองค์) ที่ได้ทำการสร้างไว้เมื่อสี่พันกว่าปีล่วงมาแล้วหรือในช่วงเวลานั้น คือในช่วง 2575-2467 ปีก่อน ค.ศ. และตระหง่านทนทานดินฟ้าอากาศกลางทะเลทรายมาจนถึงปัจจุบันนี้ (แปลกดีนะครับไม่ได้ผุกร่อนไปตามกาลเวลาซักเท่าไหร่เลย)
แต่มีนักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้ทำการแย้งเรื่องนี้ขึ้นมาโดยจากการค้นคว้าและหลักฐานที่มีอยู่ในมือ โดยอันที่จริงนั้นปิระมิด สฟิงซ์และสุสานฟาโรห์ที่อยู่ในบริเวณที่ราบทะเลทรายกิเซนั้นล้วนแล้วแต่กำเนิดมาก่อน(หรืออาจสร้างมานานกว่านั้น) ของยุคไอยคุปต์เป็นเวลาหลายพันปีอยู่
และที่สำคัญคือ องค์ฟาโรห์(แต่ละองค์) ไม่ได้เป็นผู้สร้างปิระมิดแต่อย่างที่เราๆ เข้าใจแต่อย่างใดเลย นักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์นั้นเขาไม่ได้แย้งกันขึ้นมาเปล่าๆ นะครับ แต่มีทฤษฎีรองรับอยู่หลายทฤษฎีด้วยกัน มาดูกันเลยครับว่ามีทฤษฎีอะไรบ้าง
1. ทฤษฏีการกัดกร่อนจากน้ำ
ทฤษฎีแรกนั้นเชื่อว่า การสึกกร่อนของสฟิงซ์และปิระมิดนั้นเกิดขึ้นเนื่องมาจากน้ำครับ โดยนายจอห์น เวสท์ ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีอียิปต์ได้สังเกตเห็นว่า ความชำรุดทรุดโทรมของประติมากรรมมหึมา "สฟิงซ์" นั้น ไม่ได้มีสาเหตุมาจากโดนพายุลมและทรายพัดเอาครับ เหมือนดังเช่นที่เกิดกับโบราณสถานอื่นๆ ในบริเวณเดียวกันนั้น แต่ว่าเกิดมาจากการกัดกร่อนของน้ำและความชื้นเสียส่วนใหญ่ ???
และถึงแม้ว่าอียิปต์ปัจจุบันจะมีภูมิประเทศที่เป็นเขตแห้งแล้งและทะเลทรายอยู่มาก แต่เมื่อ 10,000 ปีมาแล้ว อียิปต์นั้นเคยเป็นดินแดนที่ชุ่มชื้นและมีฝนตกชุกดินแดนนึงเลยทีเดียว ดังนั้นตัวสฟิงซ์นั้น จึงน่าจะมีอายุอย่างน้อยราวๆ 7,000 - 10,000 ปี จากข้อสันนิษฐานและทฤษฎีของนายเวสท์นี้ ในเวลาต่อมาต่อมาจึงมีนักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์อียิปต์เห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของนายเวสท์นี้ด้วยกันหลายคน
2. ทฤษฎีแผนที่ดวงดาว
ทฤษฎีถัดมาแผนที่ดวงดาว โดยนายโรเบิร์ต โบวัลกับนายเอเตรียม กิลเบิร์ต ได้ช่วยกันเขียนหนังสือ เรื่อง "ความลึกลับแห่งหมู่ดาวโอเรียน" ขึ้นมาเพื่อแจกแจงว่าบรรดาตำแหน่งที่ตั้งของบรรดาปิระมิดในทะเลทรายกิเซนั้น บังเอิญไปสอดคล้องกับตำแหน่งของหมู่ดาวโอเรียนบนท้องฟ้าเมื่อ 10,500 ปีก่อน ค.ศ. !!!
โดยทั้งสองยืนยันว่าสิ่งก่อสร้างโบราณที่เรียงรายริมฝั่งแม่น้ำไนล์นั้นก็คือ แผนผังหลัก (master plan) ของบรรดาดวงดาวบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น และแม่น้ำไนล์นั้นก็คือ ตัวแทนของทางช้างเผือก (Milky Way) นั่นเอง
โอสิริสและไอซิส เทพผู้มีความสำคัญอย่างมากต่ออียิปต์โบราณ
โดยจะเห็นได้จากความสัมพันธ์ของจุดที่ตั้งมหาปิระมิดทั้งสามแห่งกิเซ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันกับตำแหน่งของดวงดาว 3 ดวง ที่ส่องสว่างที่สุดของแถบดาวโอเรียน ซึ่งในอียิปต์นั้นถือว่าเป็นดาวประจำตัวของเทพโอซิริส นอกจากนี้โบวัลกับกิลเบิร์ตยังชี้ให้เห็นว่าแกน "ระบายลม" ในปิระมิดก็มีมุมที่มีนัยสำคัญ นั่นก็คือ แกนทิศใต้ของห้องกษัตริย์จะชี้ตรงไปยังแถบดาวโอเรียน
ในขณะที่แกนระบายลมของห้องราชินีจะชี้ไปยัง "กลุ่มดาวซิรีอุส" ดาวประจำตัวของเทพีไอซิส มเหสีของเทพโอซิริสนั้นเอง และเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่า หลังจากองค์ฟาโรห์ทรงสิ้นพระชนม์ ดวงวิญญาณของพระองค์จะล่องลอยไปสถิตอยู่กับเทพโอซิริสในดวงดาวนั้น เพราะเทพโอซิริสมีพลังอำนาจในการกลับคืนสู่ชีวิตอีกครั้งหลังความตาย (เอ ในหนัง the mummy returns เทพองค์ที่คืนชีพให้ scorpion king นั่นมันเทพอานูบิส นี่นา อิอิ) ก็เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจทฤษฎีนึงครับ
3. ทฤษฎีการกำเนิดก่อน
ทฤษฎีนี้ได้ระบุว่า ปิระมิดนั้นมีการสร้างหรือกำเนิดมาก่อนอียิปต์ซะอีกทฤษฎีนี้เป็นของ นายเอ็ดการ์ เคย์ซี โดยมีหลักการสำคัญว่า อียิปต์โบราณนั้นมีความเกี่ยวเนื่องมาจากทวีปแอตแลนติสที่ล่มสลายไปแล้ว เขาได้อ้างว่า มีหลักฐานเรื่องราวของการมีอยู่ของทวีปแอตแลนติสแห่งนี้อยู่ในอียิปต์มากมาย และยังเชื่อมั่นอีกว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ในปัจจุบันนี้นั้น ได้มีใช้มานานแล้วในแอตแลนติส หรือเทคโนโลยีที่ใช้กันอยู่โดยชาวแอตแลนติสเมื่อครั้งที่ทวีปแอตแลนติสยังเจริญรุ่งเรื่องอยู่นั่นเอง (ถ้าทวีปนี้มีอยู่จริงนะ) สั้นๆ ครับทฤษฎีนี้
(แต่มีภาคต่ออีกครับ)
ภาคพิเศษ
โหรเทวดา "เอ็ดการ์ เคย์ซี" ได้เปิดเผย (จากการรับรู้ ทางจิตของตัวเอง) ซึ่งข้อมูลไม่ได้พึ่งพาเอกสาร หรือการค้นคว้าใดๆ ทั้งสิ้น ดังเช่นเดียวกับการทำนายอื่นๆ โดยมหาปิระมิดแห่งกิเซนั้น
ถูกสร้างขึ้นราวๆ หนึ่งหมื่นปีก่อนคริสต์กาล ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 100 ปีเต็ม โดยใช้ "พลังจักรวาล" ที่มาตลอดช่วงเวลาสองแสนห้าหมื่นปี
ซึ่งอียิปต์นั้นยังเป็นดินแดนอยู่ใต้ทะเล แต่ที่ที่อยู่เหนือพ้นน้ำก็มีแต่ทะเลทรายซาฮาร่ากับดินแดนตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์ เมื่อดินแดนอื่นๆ เริ่มผุดขึ้นมาเป็นแผ่นดิน ก็ยังกินเวลาอีกนานกว่าที่อียิปต์จะกลายเป็นพื้นที่ที่มีคนอยู่อาศัย และชนเผ่าแรกที่มาอาศัยอยู่นั้น เป็นพวกผิวดำ อาศัยอยู่บริเวณตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์
หลังจากนั้น ก็มาถึงยุคของพระเจ้าไร ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองอียิปต์ที่ทรงพระปรีชาสามารถมากเกี่ยวกับเรื่องทางจิตวิญญาณ เข้าใจเกี่ยวกับกฎของจักรวาล คำสอนต่างๆของพระองค์ ได้ถูกบันทึกไว้ในแผ่นหินและแผ่นไม้ กลายเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มแรกๆ ที่มีผู้รู้จักในชื่อ "คัมภีร์มรณะอียิปต์" (the book of the death) พระเจ้าไรปกครองอียิปต์เป็นเวลา 199 ปี
จนคนรุ่นหลังๆ บูชาพระองค์เปรียบเป็น เทพเจ้าองค์หนึ่ง แต่การปกครองของพระองค์มิได้ต่อเนื่อง เพราะถูกรุกราน จนพระองค์ต้องเสียราชบัลลังก์ การถูกรุกรานเกิดขึ้นเมื่อ 11,016 ปี ก่อนคริสต์กาล หรือราวๆ 300 ปี ก่อนที่จะเกิดการระเบิดครั้งสุดท้ายในทวีปแอตแลนติส (ซึ่งเป็นผลให้แอตแลนติสจม) มีชนผิวขาวกลุ่มใหญ่ โดยการปกครองของพระเจ้าอารีท บุคคลผู้นี้มีความเลื่อมใสในพระหนุ่มรูปหนึ่ง ที่มีความสามารถดุจผู้วิเศษ ชื่อราตะ
พระราตะได้ทำนายไว้ว่า ชาวเผ่าซูที่อพยพมาจากอารเบียจะรุกรานเข้ามาในอียิปต์ และต่อไปอียิปต์จะเป็นรัฐชั้นนำแห่งยุค เมื่อได้ฟังคำทำนายนั้น พระเจ้าไรก็เอาแต่หมกมุ่นค้นคว้าในเรื่องอภิปรัชญา ไม่ใส่ใจกับการปกครองบ้านเมือง จึงทำให้พระเจ้าอารีท ยึดอียิปต์ได้โดยง่ายอย่างแทบจะไม่มีการต่อต้าน ซึ่งส่งผลให้ทั้งสองประนีประนอมกัน พระเจ้าไรก็ยอมสละราชบัลลังก์ให้พระเจ้าอารีท โดยยกธิดาโฉมงามของพระองค์ให้เป็นพระชายา และสละราชสมบัติให้แก่ราชบุตรของพระองค์ชื่ออารารัทโดยพระองค์หันมาเป็นที่ปรึกษาคอยค้ำบัลลังก์ ให้แก่ราชบุตรของตนแทน
ต่อมา ก็มาถึงยุคการปกครองของอารารัท ได้มีชาวแอตแลนติส อพยพมาอยู่อียิปต์เป็นจำนวนไม่น้อย คนเหล่านี้มีความสามารถสูง และมีความทะเยอะทะยาน จนพระองค์ต้องยกตำแหน่งสำคัญๆ ทางการเมืองให้แก่ชาวแอตแลนติส เพื่อมิให้คนเหล่านี้คิดการกบฏ ฝ่ายพระราตะ (โหร) ได้รับความไว้วางใจให้เป็นสังฆราชแห่งอียิปต์ มีหน้าที่ในการค้นคว้าเรื่องของจิตวิญญาณและอภิปรัชญาต่างๆ เพื่อนำมาเผยแพร่แก่ประชาชน เพื่อเป็นการฝึกฝนตนได้พระราตะได้สร้างวิหาร ซึ่งเป็นแหล่งบำบัดสุขภาพของประชาชน โดยเรียนรู้มาจากชาวแอตแลนติส ชื่อเฮปซาฟ ที่เป็นผู้นำทางจิตฝ่ายธรรมะของแอตแลนติสส่วนข้างน้อย วิหารที่สร้างขึ้น มีการรักษาผู้ป่วย นันทนาการต่างๆ
แต่สิ่งที่พระราตะเน้นก็คือ "การทำสมาธิ" เพื่อสัมผัสโดยตรงกับพลังของพระเจ้าเพื่อขจัดกิเลสให้หมดไปจากใจ เพราะเป็นข้อบกพร่องทางกายภาพของมนุษย์ ในทัศนะของ "ราตะ" และในช่วงที่พระราตะไม่อยู่ ได้มีกลุ่มการเมืองซึ่งเป็นชาวแอตแลนติส ที่กระหายในอำนาจ ได้วางแผนกำจัดพระราตะ โดยใส่ร้ายว่า พระราตะทำผู้หญิงท้อง พระเจ้าอารารัท หลงเชื่อในคำยุยง ได้เนรเทศพระราตะไปอยู่เมืองชายแดน
แต่เมื่อความจริงกระจ่าง ชาวเมืองอียิปต์จึงเชิญพระราตะ กลับมาดังเดิมช่วงนี้เอง ที่พวกผู้นำของอียิปต์ ตัดสินใจที่จะสร้างปิระมิด กับสฟิงส์ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บความรู้ บันทึก และหลักวิชาศาสตร์ต่างๆที่เร้นลับของแอตแลนติส กับพระเจ้าไรและพระราตะ ให้ปลอดภัย และอยู่นานเท่านาน เพราะเขารู้ว่า โลกใบนี้จะต้องเผชิญกับการ "เคลื่อนย้ายของแกนโลก" เหมือนอย่างในยุคของแอตแลนติส จึงตัดสินใจสร้างและเลือกที่ราบกิเซนี้เป็นที่ตั้ง เพราะอยู่สูงปลอดภัยจากน้ำท่วม (ในทางตัวเลข ยังอยู่ใกล้ศูนย์กลางของโลกทำให้ได้รับภัยแผ่นดินไหวได้ยาก) สถานที่เก็บความรู้เร้นลับของชาวแอตแลนติสนี้ อยู่ในห้องลับ ที่เชื่อมระหว่างมหาปิระมิดกับสฟิงซ์ โดยมีทางเข้าใต้ดินอยู่ที่ด้านขาหน้าข้างขวาของสฟิงซ์ มหาปิระมิดถูกสร้างขึ้นในปี 10,490 ก่อนคริสต์กาล ใช้เวลาก่อสร้าง 100 ปีเต็ม โดยผู้รับผิดชอบเรื่องนี้คือ เฮลเมส ที่เป็นชาวแอตแลนติส
วิธีการสร้างปิระมิด
ในการสร้างปิระมิดนั้น ได้มีการประยุกต์กฎของธรรมชาติและพลังจักรวาลมาใช้ ทำให้สามารถต้านแรงดึงดูด ยกหินก้อนโตให้ลอยขึ้นในอากาศได้ โดยการส่งเสียงมนตร์บางประโยค แล้วทำให้ก้อนหินลอยขึ้นมาจากพื้นได้ ก้อนหินที่นำมาสร้างปิระมิดนั้นขนมาจากแดนไกลที่ชื่อนูเบีย ยอดปิระมิดทำจากโลหะผสมระหว่างทองแดงกับทองคำ ที่สำคัญ ปิระมิดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่เป็นวัฏจักรตั้งแต่จากยุคของราตะจนถึงปี ค.ศ. 1998 เพราะวัฏจักรของโลกในรอบนี้จะมาสั้นสุดที่ปี ค.ศ.1998 ตาม "การอ่าน" ของเอ็ดการ์ เคย์ซี ซึ่งเขายังได้กล่าวต่อไปอีกว่าจากสิ่งที่เขาอ่านจาก "บันทึกจักรวาล" (เส้นแสงจักรวาล) ว่าประวัติศาสตร์แห่งอนาคตที่ถูกบันทึกไว้ในปิระมิดในรูปสัญญลักษณ์ของตัวเลข วิชาดาราศาสตร์และวิชาภูมิศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อวัฏจักรของโลกในรอบนี้สิ้นสุดลงและพร้อมกันนั้น วิชาเร้นลับที่กล่าวไว้ในคำทำนายทั้งหลาย ก็จะเผยโฉมออกมา
ห้องต่างๆที่อยู่ในปิระมิดขุดพบหมดแล้ว เว้นเสียแต่ห้องที่เป็นสถานที่เก็บความรู้ศาสตร์ต่างๆของแอตแลนติส เอ็ดการ์ เคย์ซี เริ่ม "อ่าน" เรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติสจาก "บันทึกจักรวาล" ในขณะที่เขาเข้าสู่ภวังค์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1923 และก็อ่านเรื่อยมา เป็นเวลา 23 ปีเต็ม อิทธิพลของชาวแอตแลนติส ที่กลับมาเกิดในยุคนี้ ส่งผลใหญ่หลวงต่ออารยธรรม ในยุคต้นๆของชาวแอตแลนติส "มนุษย์" กับ "เทพ" มีความแตกต่างกันไม่มาก
เพราะมนุษย์สมัยนั้นมีตาที่สามสามารถพัฒนาต่อมไพนิลในสมองจนมีพลังจิตมีฤทธิ์เดชต่างๆ
แต่เมื่อมนุษย์ยอมแพ้ต่อกิเลส ศีลธรรมเสื่อม โศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้นกับชาวแอตแลนติส 3 ครั้ง ครั้งแรกราวๆ 50,700 ปีก่อนคริสต์กาล เพราะมนุษย์นำสารเคมีมาทำเป็นระเบิด ขับไล่สัตว์ร้ายจนก่อให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไประเบิด ทำให้แกนโลกเอียง เข้าสู่ยุคน้ำแข็ง ครั้งที่สอง ราวๆ 28,000 ปีก่อนคริสต์กาล เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่คำภีร์ไบเบิลบอกว่าเป็นยุคของโนอาห์โดยมีสาเหตุมาจากการใช้พลังคริสตัล ซึ่งเป็นพลังค้ำจุนอารยธรรมมากจนเกินไป จนเกิดภูเขาไประเบิดและแผ่นดินไหว และครั้งสุดท้าย ราวๆ 10,700 ปีก่อนคริสต์กาล แต่คราวนี้พวกผู้นำทางจิต ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในหมู่ชาวแอตแลนติสได้มองเห็นเหตุการณ์จึงได้อพยพและนำความรู้และศาสตร์ต่างๆ มาเก็บไว้เพื่อมิให้สูญหายวิชาเหล่านั้นในยุคของเรารู้จักกันในชื่อของ โยคะ , ตันตระ , เต๋า และพราหมณ์ นั่นเอง
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________ : Pageviews
มนุษย์สนใจและใฝ่ฝันที่จะได้ไปเยือน ดาวอังคารมานานหลายพันปีแล้ว นักดาราศาสตร์ชาวบาบิโลนเมื่อเห็นดาวดวงนี้ มีสีแดงเรื่อ ๆ จึงตั้งชื่อว่า Nergal ซึ่งแปลว่า มรณเทพ คนจีนโบราณเรียกดาวอังคารว่า ดาวเพลิง เพราะมีสีแดง ส่วนชาวกรีกและชาวโรมันเรียกดาวนี้ว่า ดาวสงคราม
ในปี พ.ศ. 2420 G.V. Schiaparalli นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่ Galileo ประดิษฐ์ขึ้นศึกษาดาวดวงนี้อย่างจริงจัง เขาได้เห็นร่องรอยการกระทบกระแทก โดยอุกกาบาตที่ผิวดาวอังคารและได้เห็นเส้นสายต่าง ๆ พาดผ่านผิวดาวอังคารมากมาย เขามีจินตนาการว่าเส้นมัว ๆ ที่เขาเห็นคือ "คลอง" ประจวบกับขณะนั้น Ferdinand de Lesseps ผู้เป็นสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ได้ประสบความสำเร็จในการขุดคลอง Suez ที่ยาว 150 กิโลเมตร โดยใช้เวลานานถึง 11 ปี ผู้คนในสมัยนั้น จึงคิดว่า "คลอง" บนดาวอังคารที่เห็นยาว 1,500 กิโลเมตรนั้น เป็นคลองที่เทวดาขุดแน่ ๆ
ข้อสรุปเช่นนี้นำมาซึ่งความแตกตื่น และเมื่อนักประพันธ์ชื่อ H.G Wells ได้แต่งนวนิยายที่เกี่ยวกับมนุษย์บนดาวอังคารว่า ได้เดินทางมารุกรานโลก คนหลายคนจึงเชื่อว่ามีมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อาศัยอยู่บนดาวอังคาร และเขาเหล่านี้ มีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเหนือมนุษย์บนโลกมาก
ในปี พ.ศ. 2508 สหรัฐอเมริกาได้ส่งยานอวกาศ ชื่อ Mariner 4 ไปสำรวจดาวอังคารที่ระดับสูง 1,000 กิโลเมตร กล้องถ่ายภาพบนยานได้บันทึกภาพ และภาพที่ได้แสดงให้เห็นชัดว่า บนดาวอังคารไม่มีสิ่งมีชีวิต ที่มีขนาดใหญ่อาศัยอยู่เลย
Mariner 4
ในปี พ.ศ. 2518 ยาน Viking 2 ได้ทะยานจากโลก แล้วโคจรไปลงจอดบนดาวอังคาร ผลการวิเคราะห์ดินบนดาว แสดงให้เราเห็นอีกครั้งว่าบนดาวดวงนี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย
Viking 2
ดาวอังคารนั้นโคจรรอบดวงอาทิตย์ที่ระยะห่าง โดยเฉลี่ย 235 ล้านกิโลเมตร ซึ่งคิดเป็นระยะทางประมาณ 1.5 เท่าของระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ ดังนั้นอุณหภูมิของดาวโดยเฉลี่ย จะเย็นกว่าของโลกมาก ในเวลากลางวันอุณหภูมิจะสูงประมาณ 10 องศาเซลเซียส แต่ในเวลากลางคืน อุณหภูมิจะลดต่ำกว่าศูนย์ ถึง 90 องศา
จากการที่แกนของดาวเอียงทำมุม 24 องศา กับระนาบ การโคจรของมัน ดาวอังคารจึงมีฤดูกาลเหมือนโลกเรา โดยมีวันหนึ่งๆ นาน 24 ชั่วโมง 31 นาที และปีหนึ่งๆ นาน 687 วัน
ภาพถ่ายที่ได้จากยานอวกาศแสดงให้เห็นว่าในอดีตเมื่อหลายพันล้านปี มาแล้ว ดาวอังคารเคยมีบรรยากาศที่อบอุ่น และผิวดาวอังคารเคยมีบรรยากาศที่อบอุ่น และผิวดาวเคยมีทะเลปกคลุม ยาน Viking ที่สหรัฐฯเคยส่งไปสำรวจดาว รายงานกลับมายังโลกว่า ถึงแม้บรรยากาศของดาวอังคารจะเจือจางกว่าของโลก ก็ตาม แต่ดาวอังคารก็มีก๊าซชนิดต่างๆ เหมือนโลก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์(95%) และไนโตรเจน (3%) ดังเลขที่แสดงให้ดูนี้ ทำให้เราเห็นได้ว่าดาวอังคาร มีคาร์บอนไดออกไซด์มากเกินไปและไนโตรเจนน้อยเกินไป ดังนั้นหากสิ่งมีชีวิตใดๆจะอุบัติได้บนดาวอังคาร ชีวิตนั้นก็ไม่ควรจะมีรูปร่าง เหมือนสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จัก
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมามานี้ D.Mckay แห่งองค์การบินและอวกาศของสหรัฐฯ (NASA) ได้ออกแถลงการณ์ผ่านหนังสือพิมพ์ New York Times ว่าในอุกกาบาตก้อนหนึ่งที่ NASA สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นอุกกาบาตจากดาวอังคาร มีซากฟอสซิล (Fossil) ของจุลินทรีย์
อุกกาบาตก้อนนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า ALH 84001 เพราะนักธรณีวิทยาได้ขุดพบมันที่บริเวณภูเขาชื่อ Allan Hills ในทวีปแอนตาร์กติกา และอุกกาบาตก้อนนี้มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับมันฝรั่ง แต่หนักกว่ามากถึง 1.9 กิโลกรัม ในการวัดองค์ประกอบของอุกกาบาต นักธรณีวิทยาพบว่ามันประกอบด้วยหิน basalt และ pyroxenite โดยมีอัตราส่วนที่เท่ากับหินบนดาวอังคารที่ยาน Viking ได้เคยวัดไว้เมื่อ 22 ปี ก่อนทุกประการ ดังนั้น Mckay จึงสามารถสรุป ได้ว่าอุกกาบาต ALH 84001 มีกำเนิดจากดาวอังคาร
สำหรับการที่ ALH 84001 เกิดอุบัติเหตุตกจากดาวอังคารสู่โลกนั้น นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์พบว่า ในอดีตที่นานมาแล้วได้มีอุกกาบาตขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง พุ่งชนดาวอังคาร ทำให้หินและดินบนดาวแตกกระจุยกระจาย ก้อนหินบางก้อนได้พุ่งหนีจากสนามแรงดึงดูดของดาวอังคารไปลอยวนเวียนอยู่อากาศนาน 6 ล้านปี จึงได้ถูกโลกดึงดูดให้ตกลงสู่โลกที่ Allan Hills และถูกฝังอยู่ในน้ำแข็งที่นั่นนาน 13,000 ปีจนนักธรณีวิทยา จาก NASA ได้ขุดพบในเวลาต่อมา
จากการใช้แสงเลเซอร์สำรวจอุกกาบาต ALH 84001 McKay และคณะอ้างว่ามีฟอสซิลของสัตว์เซลล์เดียว ที่ร่างกายประกอบด้วยโมเลกุลชื่อ Polycyclie Aromatic Hydrocarbon (PAH) ซึ่ง McKay มั่นใจว่าเป็นที่มาจากดาวอังคาร หาได้มาจากการปนเปื้อนโดยสิ่งแวดล้อม ต่ออุกกาบาต ALH 84001 ไม่ ข้อสังเกตของ McKay อีกประการหนึ่งก็คือว่า ฟอสซิลที่เห็นนี้มีขนาดเล็กกว่าจุลินทรีย์ที่เล็กที่สุด ของโลกถึง 100 เท่า ทำให้เขาไม่สามารถเห็นโครงสร้างภายใน หรือโครงสร้างผนังเซลล์ของมันได้เลย ข้อสรุปนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ สงสัยว่าจริง ๆ ไม่น่าจะมีชีวิตบนดาวอังคาร
จะอย่างไรก็ตามที่ประชุมก็ยังคงเชื่อเหมือน Mckay ว่าในอดีตชีวิตอาจจะเคยอุบัติบนดาวอังคาร ดังนั้นความพยายามในการค้นหาชีวิต บนดาวอังคารจึงสมควรดำเนินต่อไป โดยขณะนี้ยานอวกาศ Pathfinder กำลังมุ่งหน้าสู่ดาวอังคารและมีกำหนด จะลงจอดบนดาวในวันที่ 4 กรกฎาคม หากพายุบนดาวอังคารพัดรุนแรงการสำรวจ ดาวโดยรถยนต์ที่ถูกบังคับทางไกลอาจจะมีปัญหา แต่หากทัศนวิสัยดี Pathfinder ก็คงจะทำให้เรามั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตได้เคยมี กำลังมีหรือจะมีบนดาวอังคารด้วยหาก Pathfinder ไม่มีคำตอบในปี พ.ศ. 2544 ที่จะถึงนี้ NASA กำหนดปล่อยหุ่นยนต์ออกสำรวจ ดาวอังคารอีกสองครั้งเพื่อจะรู้ให้ได้ว่า ดาวอังคารมีชีวิตหรือไม่มีวันมี
เครดิต : https://www.facebook.com/pages/เเอเรีย-51
________________________________
ภูเขาไฟ Rebel Dragon ในรัฐอาระกัน ของพม่า ปะทุ ทำลายพื้นที่เพาะปลูกชาวบ้านเสียหายเป็นวงกว้าง
สำนักข่าว นรินจารา รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุภูเขาไฟโคลนปะทุขึ้นที่เมืองเคี่ยวพิว รัฐอาระกัน ทำลายพื้นที่เพาะปลูกของชาวบ้านได้รับความเสียหายเป็นพื้นที่กว่า 250 ไร่
ภูเขาไฟชื่อ “Rebel Dragon” ซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน โซกเชาว์ เมืองเคี่ยวพิว ได้ปะทุขึ้นเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 31 สิงหาคม เมื่อเวลา 17.00 น.และสงบลงในวันเดียวกันเมื่อเวลา 19.20 ขณะที่มีรายงานว่า ภูเขาไฟแห่งนี้จะปะทุทุกๆ 45 ปี ทั้งนี้ ลาวาเหลวจากภูเขาไฟได้ระเบิดพุ่งไปไกลเป็นระยะทาง 30 เมตร ถึง 300 เมตร ทำลายพื้นที่เพาะปลูกของชาวบ้านในหมู่บ้านเซมอ และหมู่บ้านคะยาตินได้รับความเสียหาย
อูจ่อวิน ชาวบ้านจากหมู่บ้านโซกเชาว์เปิดเผยว่า ได้ยินเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้น และเห็นลาวาเหลวร้อนพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและพื้นที่ใกล้เคียง โดยพื้นที่เพาะปลูกของอูจ่อวินเองก็ได้รับความเสียหาย ทางด้านอูซอจี ผู้นำหมู่บ้านโซกเชาว์เองก็ออกมายืนยันว่า เหตุภูเขาไฟระเบิดในครั้งนี้ได้ทำลายพื้นที่เพาะปลูกเป็นวงกว้าง จนถึงขณะนี้มีที่ดินของชาวบ้าน 17 ราย ที่ได้รับความเสียหาย และยังไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆจากทางการ
ที่มา : http://www.oknation.net/blog/akom/2014/09/07/entry-1
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เว็บไซต์เดลิเมล์รายงานข่าวว่าได้มีผู้เผยแพร่ภาพถ่ายล็อกเนสส์ สัตว์ประหลาดในตำนานที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ในทะเลสาบเนสส์ ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร
โดยภาพดังกล่าวถูกถ่ายโดยบังเอิญที่ช่างภาพตั้งกล้องค้างไว้และตั้งถ่ายแบบอัตโนมัติจับภาพชัดๆได้ในที่สุด ทั้งนี้หลายคนยังไม่ปักใจเชื่อว่าภาพดังกล่าวเป็นของจริง แต่มันก็ชัดเจนกว่าหลายภาพที่เคยถ่ายได้
โดยจุดกำเนิดของล็อกเนสส์มีผู้สันนิษฐานว่ามันเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์แบบเดียวกับไดโนเสาร์และอาศัยอยู่ในทะเลสาปแห่งนี้ หลายคนเคยเจอแล้วถ่ายภาพมันได้ ซึ่งภาพที่เป็นปริศนามากที่สุดคือภาพถ่ายในปี 1934ที่หลายคนมองว่ามันเป็นภาพปลอมที่ถูกทำขึ้นมา
ที่มา : MThai News
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
โดยภาพดังกล่าวถูกถ่ายโดยบังเอิญที่ช่างภาพตั้งกล้องค้างไว้และตั้งถ่ายแบบอัตโนมัติจับภาพชัดๆได้ในที่สุด ทั้งนี้หลายคนยังไม่ปักใจเชื่อว่าภาพดังกล่าวเป็นของจริง แต่มันก็ชัดเจนกว่าหลายภาพที่เคยถ่ายได้
โดยจุดกำเนิดของล็อกเนสส์มีผู้สันนิษฐานว่ามันเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์แบบเดียวกับไดโนเสาร์และอาศัยอยู่ในทะเลสาปแห่งนี้ หลายคนเคยเจอแล้วถ่ายภาพมันได้ ซึ่งภาพที่เป็นปริศนามากที่สุดคือภาพถ่ายในปี 1934ที่หลายคนมองว่ามันเป็นภาพปลอมที่ถูกทำขึ้นมา
ที่มา : MThai News
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ดาราศาสตร์ - ชั้นบรรยากาศรอบนอกสุดของดวงอาทิตย์ที่เรียกว่า “คอโรนา” (corona) นั้นมีอุณหภูมิสูงราว 2 ล้านองศาเซลเซียส ในขณะที่พื้นผิวของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิเพียง 6,000 องศาเซลเซียสเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ฉงนมาเป็นเวลานานแล้วว่าเหตุใดชั้นบรรยากาศที่อยู่ห่างแกนกลางดวงอาทิตย์ถึงได้ร้อนกว่าชั้นพื้นผิวที่อยู่ใกล้กับแกนกลาง
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออสโลเชื่อว่า การค้นพบล่าสุดของพวกเขาอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้พวกเขาเสนอทฤษฎีว่า ทอร์นาโดขนาดยักษ์เป็นตัวการที่ทำให้คอโรนาร้อนนรกแตกถึงล้านองศาเซลเซียสอยู่ตลอดเวลา
ข้อสรุปของพวกเขาได้มาจากการศึกษาข้อมูลภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์หลายแห่ง เช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศโซลาร์ไดนามิกส์ (Solar Dynamics Observatory:SDO) ของนาซาและกล้องโทรทรรศน์สวีดิชโซลาร์ (Swedish Solar Telescope: SST) บนหมู่เกาะคะแนรี ซึ่งแสดงให้เห็นทอร์นาโดหลายลูกกำลังพุ่งขึ้นจากชั้นพื้นผิวไปสู่ชั้นบรรยากาศ การสังเกตการณ์ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2011 เพียงวันเดียวก็ตรวจพบทอร์นาโดยักษ์ถึง 14 ลูก
ทอร์นาโดบนดวงอาทิตย์ประกอบด้วยพลาสมาร้อนจัดและสนามแม่เหล็กเข้มข้น หมุนด้วยความเร็วเกือบ 300,000 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีความกว้างเฉลี่ย 5,500 กิโลเมตร และสูง 3,000 กิโลเมตร นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าทุกๆชั่วขณะจะต้องมีทอร์นาโดอย่างต่ำ 11,000 ลูกพัดผ่านพื้นผิวดวงอาทิตย์ พลาสมาร้อนในทอร์นาโดไม่ใช่คำตอบโดยตรงของปริศนาในคอโรนา เมื่อพลาสมาถูกดึงขึ้นไปด้านบน มันจะเย็นลงและร่วงไหลกลับลงมาที่พื้นผิว การไหลของพลาสมาในสนามแม่เหล็กจะก่อให้เกิดคลื่นแม่เหล็กที่หมุนวนขึ้นไปสู่คอโรนา คลื่นแม่เหล็กนี้เองที่สร้างแรงดันอัดให้แก๊สในคอโรนาร้อนถึงหลักล้านองศา นักฟิสิกส์ โรเบอร์ตุส เออร์เดลยี จากมหาวิทยาลัย เชฟฟีลด์กล่าวว่า “หากเราเข้าใจพลวัตตามธรรมชาติของพลาสมาร้อนในสนามแม่เหล็กมากขึ้น มันอาจจะนำไปสู่การประยุกต์สร้างแหล่งพลังงานที่สะอาดและมีราคาถูกในอนาคต”
นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า การก่อตัวของทอร์นาโดบนพื้นผิวดวงอาทิตย์แบ่งออกได้เป็น 3 ขั้น
1. พลาสมาร้อนกับสนามแม่เหล็กหมุนวนขึ้นจากพื้นผิวดวงอาทิตย์
2. พลาสมาไหลขึ้นตามเส้นทางของเส้นสนามแม่เหล็กเกิดเป็นทอร์นาโดยักษ์
3. คลื่นแม่เหล็กก่อตัวขึ้นในทอร์นาโดและดึงเอาพลังงานขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศด้านบน พลังงานของคลื่นแม่เหล็กจะเปลี่ยนกลับไปเป็นความร้อนที่คอโรนา
กล้องโทรทรรศน์อวกาศโซลาร์ไดนามิกส์ เป็นยานสำรวจอวกาศของนาซาที่ปล่อยขึ้นสู่อวกาศ ตั้งแต่ปี 2010 มีภารกิจสำรวจดวงอาทิตย์เป็นระยะเวลา 5 ปีด้วย จุดประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของปรากฏการณ์บนดวงอาทิตย์ต่อโลกของเรา
กล้องโทรทรรศน์สวีดิชโซลาร์ เป็นกล้องโทรทรรศน์แบบหักเหแสงที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป สร้างด้วยเงินทุนจากราชบัณฑิตยสภาทางวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน (Royal Swedish Academy of Sciences) และด้วยเทคโนโลยีเลนส์รับแสงชั้นเลิศ ภาพถ่ายความละเอียดสูงของดวงอาทิตย์ที่ถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์สวีดิชโซลาร์จึงมีคุณภาพสูงสุด
ที่มา : http://kidsnews.bectero.com/
____________________
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออสโลเชื่อว่า การค้นพบล่าสุดของพวกเขาอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้พวกเขาเสนอทฤษฎีว่า ทอร์นาโดขนาดยักษ์เป็นตัวการที่ทำให้คอโรนาร้อนนรกแตกถึงล้านองศาเซลเซียสอยู่ตลอดเวลา
ข้อสรุปของพวกเขาได้มาจากการศึกษาข้อมูลภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์หลายแห่ง เช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศโซลาร์ไดนามิกส์ (Solar Dynamics Observatory:SDO) ของนาซาและกล้องโทรทรรศน์สวีดิชโซลาร์ (Swedish Solar Telescope: SST) บนหมู่เกาะคะแนรี ซึ่งแสดงให้เห็นทอร์นาโดหลายลูกกำลังพุ่งขึ้นจากชั้นพื้นผิวไปสู่ชั้นบรรยากาศ การสังเกตการณ์ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2011 เพียงวันเดียวก็ตรวจพบทอร์นาโดยักษ์ถึง 14 ลูก
ทอร์นาโดบนดวงอาทิตย์ประกอบด้วยพลาสมาร้อนจัดและสนามแม่เหล็กเข้มข้น หมุนด้วยความเร็วเกือบ 300,000 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีความกว้างเฉลี่ย 5,500 กิโลเมตร และสูง 3,000 กิโลเมตร นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าทุกๆชั่วขณะจะต้องมีทอร์นาโดอย่างต่ำ 11,000 ลูกพัดผ่านพื้นผิวดวงอาทิตย์ พลาสมาร้อนในทอร์นาโดไม่ใช่คำตอบโดยตรงของปริศนาในคอโรนา เมื่อพลาสมาถูกดึงขึ้นไปด้านบน มันจะเย็นลงและร่วงไหลกลับลงมาที่พื้นผิว การไหลของพลาสมาในสนามแม่เหล็กจะก่อให้เกิดคลื่นแม่เหล็กที่หมุนวนขึ้นไปสู่คอโรนา คลื่นแม่เหล็กนี้เองที่สร้างแรงดันอัดให้แก๊สในคอโรนาร้อนถึงหลักล้านองศา นักฟิสิกส์ โรเบอร์ตุส เออร์เดลยี จากมหาวิทยาลัย เชฟฟีลด์กล่าวว่า “หากเราเข้าใจพลวัตตามธรรมชาติของพลาสมาร้อนในสนามแม่เหล็กมากขึ้น มันอาจจะนำไปสู่การประยุกต์สร้างแหล่งพลังงานที่สะอาดและมีราคาถูกในอนาคต”
ทอร์นาโดบนดวงอาทิตย์ เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า การก่อตัวของทอร์นาโดบนพื้นผิวดวงอาทิตย์แบ่งออกได้เป็น 3 ขั้น
1. พลาสมาร้อนกับสนามแม่เหล็กหมุนวนขึ้นจากพื้นผิวดวงอาทิตย์
2. พลาสมาไหลขึ้นตามเส้นทางของเส้นสนามแม่เหล็กเกิดเป็นทอร์นาโดยักษ์
3. คลื่นแม่เหล็กก่อตัวขึ้นในทอร์นาโดและดึงเอาพลังงานขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศด้านบน พลังงานของคลื่นแม่เหล็กจะเปลี่ยนกลับไปเป็นความร้อนที่คอโรนา
กล่องเครื่องมือ
กล้องโทรทรรศน์อวกาศโซลาร์ไดนามิกส์ เป็นยานสำรวจอวกาศของนาซาที่ปล่อยขึ้นสู่อวกาศ ตั้งแต่ปี 2010 มีภารกิจสำรวจดวงอาทิตย์เป็นระยะเวลา 5 ปีด้วย จุดประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของปรากฏการณ์บนดวงอาทิตย์ต่อโลกของเรา
กล้องโทรทรรศน์สวีดิชโซลาร์ เป็นกล้องโทรทรรศน์แบบหักเหแสงที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป สร้างด้วยเงินทุนจากราชบัณฑิตยสภาทางวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน (Royal Swedish Academy of Sciences) และด้วยเทคโนโลยีเลนส์รับแสงชั้นเลิศ ภาพถ่ายความละเอียดสูงของดวงอาทิตย์ที่ถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์สวีดิชโซลาร์จึงมีคุณภาพสูงสุด
ที่มา : http://kidsnews.bectero.com/
____________________