ปิระมิดในประเทศอียิปต์นั้นเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยแรงมนุษย์ (หรือเปล่า ??) ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก
จนจัดอันดับได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับหนึ่งของโลก
โดยทางอียิปต์นั้นอ้างว่าปิระมิดนั้นเกิดจากฝีมือการสร้างของฟาโรห์(แต่ละองค์) ที่ได้ทำการสร้างไว้เมื่อสี่พันกว่าปีล่วงมาแล้วหรือในช่วงเวลานั้น คือในช่วง 2575-2467 ปีก่อน ค.ศ. และตระหง่านทนทานดินฟ้าอากาศกลางทะเลทรายมาจนถึงปัจจุบันนี้ (แปลกดีนะครับไม่ได้ผุกร่อนไปตามกาลเวลาซักเท่าไหร่เลย)
แต่มีนักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้ทำการแย้งเรื่องนี้ขึ้นมาโดยจากการค้นคว้าและหลักฐานที่มีอยู่ในมือ โดยอันที่จริงนั้นปิระมิด สฟิงซ์และสุสานฟาโรห์ที่อยู่ในบริเวณที่ราบทะเลทรายกิเซนั้นล้วนแล้วแต่กำเนิดมาก่อน(หรืออาจสร้างมานานกว่านั้น) ของยุคไอยคุปต์เป็นเวลาหลายพันปีอยู่
และที่สำคัญคือ องค์ฟาโรห์(แต่ละองค์) ไม่ได้เป็นผู้สร้างปิระมิดแต่อย่างที่เราๆ เข้าใจแต่อย่างใดเลย นักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์นั้นเขาไม่ได้แย้งกันขึ้นมาเปล่าๆ นะครับ แต่มีทฤษฎีรองรับอยู่หลายทฤษฎีด้วยกัน มาดูกันเลยครับว่ามีทฤษฎีอะไรบ้าง
1. ทฤษฏีการกัดกร่อนจากน้ำ
ทฤษฎีแรกนั้นเชื่อว่า การสึกกร่อนของสฟิงซ์และปิระมิดนั้นเกิดขึ้นเนื่องมาจากน้ำครับ โดยนายจอห์น เวสท์ ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีอียิปต์ได้สังเกตเห็นว่า ความชำรุดทรุดโทรมของประติมากรรมมหึมา "สฟิงซ์" นั้น ไม่ได้มีสาเหตุมาจากโดนพายุลมและทรายพัดเอาครับ เหมือนดังเช่นที่เกิดกับโบราณสถานอื่นๆ ในบริเวณเดียวกันนั้น แต่ว่าเกิดมาจากการกัดกร่อนของน้ำและความชื้นเสียส่วนใหญ่ ???
และถึงแม้ว่าอียิปต์ปัจจุบันจะมีภูมิประเทศที่เป็นเขตแห้งแล้งและทะเลทรายอยู่มาก แต่เมื่อ 10,000 ปีมาแล้ว อียิปต์นั้นเคยเป็นดินแดนที่ชุ่มชื้นและมีฝนตกชุกดินแดนนึงเลยทีเดียว ดังนั้นตัวสฟิงซ์นั้น จึงน่าจะมีอายุอย่างน้อยราวๆ 7,000 - 10,000 ปี จากข้อสันนิษฐานและทฤษฎีของนายเวสท์นี้ ในเวลาต่อมาต่อมาจึงมีนักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์อียิปต์เห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของนายเวสท์นี้ด้วยกันหลายคน
2. ทฤษฎีแผนที่ดวงดาว
ทฤษฎีถัดมาแผนที่ดวงดาว โดยนายโรเบิร์ต โบวัลกับนายเอเตรียม กิลเบิร์ต ได้ช่วยกันเขียนหนังสือ เรื่อง "ความลึกลับแห่งหมู่ดาวโอเรียน" ขึ้นมาเพื่อแจกแจงว่าบรรดาตำแหน่งที่ตั้งของบรรดาปิระมิดในทะเลทรายกิเซนั้น บังเอิญไปสอดคล้องกับตำแหน่งของหมู่ดาวโอเรียนบนท้องฟ้าเมื่อ 10,500 ปีก่อน ค.ศ. !!!
โดยทั้งสองยืนยันว่าสิ่งก่อสร้างโบราณที่เรียงรายริมฝั่งแม่น้ำไนล์นั้นก็คือ แผนผังหลัก (master plan) ของบรรดาดวงดาวบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น และแม่น้ำไนล์นั้นก็คือ ตัวแทนของทางช้างเผือก (Milky Way) นั่นเอง
โอสิริสและไอซิส เทพผู้มีความสำคัญอย่างมากต่ออียิปต์โบราณ
โดยจะเห็นได้จากความสัมพันธ์ของจุดที่ตั้งมหาปิระมิดทั้งสามแห่งกิเซ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันกับตำแหน่งของดวงดาว 3 ดวง ที่ส่องสว่างที่สุดของแถบดาวโอเรียน ซึ่งในอียิปต์นั้นถือว่าเป็นดาวประจำตัวของเทพโอซิริส นอกจากนี้โบวัลกับกิลเบิร์ตยังชี้ให้เห็นว่าแกน "ระบายลม" ในปิระมิดก็มีมุมที่มีนัยสำคัญ นั่นก็คือ แกนทิศใต้ของห้องกษัตริย์จะชี้ตรงไปยังแถบดาวโอเรียน
ในขณะที่แกนระบายลมของห้องราชินีจะชี้ไปยัง "กลุ่มดาวซิรีอุส" ดาวประจำตัวของเทพีไอซิส มเหสีของเทพโอซิริสนั้นเอง และเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่า หลังจากองค์ฟาโรห์ทรงสิ้นพระชนม์ ดวงวิญญาณของพระองค์จะล่องลอยไปสถิตอยู่กับเทพโอซิริสในดวงดาวนั้น เพราะเทพโอซิริสมีพลังอำนาจในการกลับคืนสู่ชีวิตอีกครั้งหลังความตาย (เอ ในหนัง the mummy returns เทพองค์ที่คืนชีพให้ scorpion king นั่นมันเทพอานูบิส นี่นา อิอิ) ก็เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจทฤษฎีนึงครับ
3. ทฤษฎีการกำเนิดก่อน
ทฤษฎีนี้ได้ระบุว่า ปิระมิดนั้นมีการสร้างหรือกำเนิดมาก่อนอียิปต์ซะอีกทฤษฎีนี้เป็นของ นายเอ็ดการ์ เคย์ซี โดยมีหลักการสำคัญว่า อียิปต์โบราณนั้นมีความเกี่ยวเนื่องมาจากทวีปแอตแลนติสที่ล่มสลายไปแล้ว เขาได้อ้างว่า มีหลักฐานเรื่องราวของการมีอยู่ของทวีปแอตแลนติสแห่งนี้อยู่ในอียิปต์มากมาย และยังเชื่อมั่นอีกว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ในปัจจุบันนี้นั้น ได้มีใช้มานานแล้วในแอตแลนติส หรือเทคโนโลยีที่ใช้กันอยู่โดยชาวแอตแลนติสเมื่อครั้งที่ทวีปแอตแลนติสยังเจริญรุ่งเรื่องอยู่นั่นเอง (ถ้าทวีปนี้มีอยู่จริงนะ) สั้นๆ ครับทฤษฎีนี้
(แต่มีภาคต่ออีกครับ)
ภาคพิเศษ
โหรเทวดา "เอ็ดการ์ เคย์ซี" ได้เปิดเผย (จากการรับรู้ ทางจิตของตัวเอง) ซึ่งข้อมูลไม่ได้พึ่งพาเอกสาร หรือการค้นคว้าใดๆ ทั้งสิ้น ดังเช่นเดียวกับการทำนายอื่นๆ โดยมหาปิระมิดแห่งกิเซนั้น
ถูกสร้างขึ้นราวๆ หนึ่งหมื่นปีก่อนคริสต์กาล ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 100 ปีเต็ม โดยใช้ "พลังจักรวาล" ที่มาตลอดช่วงเวลาสองแสนห้าหมื่นปี
ซึ่งอียิปต์นั้นยังเป็นดินแดนอยู่ใต้ทะเล แต่ที่ที่อยู่เหนือพ้นน้ำก็มีแต่ทะเลทรายซาฮาร่ากับดินแดนตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์ เมื่อดินแดนอื่นๆ เริ่มผุดขึ้นมาเป็นแผ่นดิน ก็ยังกินเวลาอีกนานกว่าที่อียิปต์จะกลายเป็นพื้นที่ที่มีคนอยู่อาศัย และชนเผ่าแรกที่มาอาศัยอยู่นั้น เป็นพวกผิวดำ อาศัยอยู่บริเวณตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์
หลังจากนั้น ก็มาถึงยุคของพระเจ้าไร ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองอียิปต์ที่ทรงพระปรีชาสามารถมากเกี่ยวกับเรื่องทางจิตวิญญาณ เข้าใจเกี่ยวกับกฎของจักรวาล คำสอนต่างๆของพระองค์ ได้ถูกบันทึกไว้ในแผ่นหินและแผ่นไม้ กลายเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มแรกๆ ที่มีผู้รู้จักในชื่อ "คัมภีร์มรณะอียิปต์" (the book of the death) พระเจ้าไรปกครองอียิปต์เป็นเวลา 199 ปี
จนคนรุ่นหลังๆ บูชาพระองค์เปรียบเป็น เทพเจ้าองค์หนึ่ง แต่การปกครองของพระองค์มิได้ต่อเนื่อง เพราะถูกรุกราน จนพระองค์ต้องเสียราชบัลลังก์ การถูกรุกรานเกิดขึ้นเมื่อ 11,016 ปี ก่อนคริสต์กาล หรือราวๆ 300 ปี ก่อนที่จะเกิดการระเบิดครั้งสุดท้ายในทวีปแอตแลนติส (ซึ่งเป็นผลให้แอตแลนติสจม) มีชนผิวขาวกลุ่มใหญ่ โดยการปกครองของพระเจ้าอารีท บุคคลผู้นี้มีความเลื่อมใสในพระหนุ่มรูปหนึ่ง ที่มีความสามารถดุจผู้วิเศษ ชื่อราตะ
พระราตะได้ทำนายไว้ว่า ชาวเผ่าซูที่อพยพมาจากอารเบียจะรุกรานเข้ามาในอียิปต์ และต่อไปอียิปต์จะเป็นรัฐชั้นนำแห่งยุค เมื่อได้ฟังคำทำนายนั้น พระเจ้าไรก็เอาแต่หมกมุ่นค้นคว้าในเรื่องอภิปรัชญา ไม่ใส่ใจกับการปกครองบ้านเมือง จึงทำให้พระเจ้าอารีท ยึดอียิปต์ได้โดยง่ายอย่างแทบจะไม่มีการต่อต้าน ซึ่งส่งผลให้ทั้งสองประนีประนอมกัน พระเจ้าไรก็ยอมสละราชบัลลังก์ให้พระเจ้าอารีท โดยยกธิดาโฉมงามของพระองค์ให้เป็นพระชายา และสละราชสมบัติให้แก่ราชบุตรของพระองค์ชื่ออารารัทโดยพระองค์หันมาเป็นที่ปรึกษาคอยค้ำบัลลังก์ ให้แก่ราชบุตรของตนแทน
ต่อมา ก็มาถึงยุคการปกครองของอารารัท ได้มีชาวแอตแลนติส อพยพมาอยู่อียิปต์เป็นจำนวนไม่น้อย คนเหล่านี้มีความสามารถสูง และมีความทะเยอะทะยาน จนพระองค์ต้องยกตำแหน่งสำคัญๆ ทางการเมืองให้แก่ชาวแอตแลนติส เพื่อมิให้คนเหล่านี้คิดการกบฏ ฝ่ายพระราตะ (โหร) ได้รับความไว้วางใจให้เป็นสังฆราชแห่งอียิปต์ มีหน้าที่ในการค้นคว้าเรื่องของจิตวิญญาณและอภิปรัชญาต่างๆ เพื่อนำมาเผยแพร่แก่ประชาชน เพื่อเป็นการฝึกฝนตนได้พระราตะได้สร้างวิหาร ซึ่งเป็นแหล่งบำบัดสุขภาพของประชาชน โดยเรียนรู้มาจากชาวแอตแลนติส ชื่อเฮปซาฟ ที่เป็นผู้นำทางจิตฝ่ายธรรมะของแอตแลนติสส่วนข้างน้อย วิหารที่สร้างขึ้น มีการรักษาผู้ป่วย นันทนาการต่างๆ
แต่สิ่งที่พระราตะเน้นก็คือ "การทำสมาธิ" เพื่อสัมผัสโดยตรงกับพลังของพระเจ้าเพื่อขจัดกิเลสให้หมดไปจากใจ เพราะเป็นข้อบกพร่องทางกายภาพของมนุษย์ ในทัศนะของ "ราตะ" และในช่วงที่พระราตะไม่อยู่ ได้มีกลุ่มการเมืองซึ่งเป็นชาวแอตแลนติส ที่กระหายในอำนาจ ได้วางแผนกำจัดพระราตะ โดยใส่ร้ายว่า พระราตะทำผู้หญิงท้อง พระเจ้าอารารัท หลงเชื่อในคำยุยง ได้เนรเทศพระราตะไปอยู่เมืองชายแดน
แต่เมื่อความจริงกระจ่าง ชาวเมืองอียิปต์จึงเชิญพระราตะ กลับมาดังเดิมช่วงนี้เอง ที่พวกผู้นำของอียิปต์ ตัดสินใจที่จะสร้างปิระมิด กับสฟิงส์ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บความรู้ บันทึก และหลักวิชาศาสตร์ต่างๆที่เร้นลับของแอตแลนติส กับพระเจ้าไรและพระราตะ ให้ปลอดภัย และอยู่นานเท่านาน เพราะเขารู้ว่า โลกใบนี้จะต้องเผชิญกับการ "เคลื่อนย้ายของแกนโลก" เหมือนอย่างในยุคของแอตแลนติส จึงตัดสินใจสร้างและเลือกที่ราบกิเซนี้เป็นที่ตั้ง เพราะอยู่สูงปลอดภัยจากน้ำท่วม (ในทางตัวเลข ยังอยู่ใกล้ศูนย์กลางของโลกทำให้ได้รับภัยแผ่นดินไหวได้ยาก) สถานที่เก็บความรู้เร้นลับของชาวแอตแลนติสนี้ อยู่ในห้องลับ ที่เชื่อมระหว่างมหาปิระมิดกับสฟิงซ์ โดยมีทางเข้าใต้ดินอยู่ที่ด้านขาหน้าข้างขวาของสฟิงซ์ มหาปิระมิดถูกสร้างขึ้นในปี 10,490 ก่อนคริสต์กาล ใช้เวลาก่อสร้าง 100 ปีเต็ม โดยผู้รับผิดชอบเรื่องนี้คือ เฮลเมส ที่เป็นชาวแอตแลนติส
วิธีการสร้างปิระมิด
ในการสร้างปิระมิดนั้น ได้มีการประยุกต์กฎของธรรมชาติและพลังจักรวาลมาใช้ ทำให้สามารถต้านแรงดึงดูด ยกหินก้อนโตให้ลอยขึ้นในอากาศได้ โดยการส่งเสียงมนตร์บางประโยค แล้วทำให้ก้อนหินลอยขึ้นมาจากพื้นได้ ก้อนหินที่นำมาสร้างปิระมิดนั้นขนมาจากแดนไกลที่ชื่อนูเบีย ยอดปิระมิดทำจากโลหะผสมระหว่างทองแดงกับทองคำ ที่สำคัญ ปิระมิดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่เป็นวัฏจักรตั้งแต่จากยุคของราตะจนถึงปี ค.ศ. 1998 เพราะวัฏจักรของโลกในรอบนี้จะมาสั้นสุดที่ปี ค.ศ.1998 ตาม "การอ่าน" ของเอ็ดการ์ เคย์ซี ซึ่งเขายังได้กล่าวต่อไปอีกว่าจากสิ่งที่เขาอ่านจาก "บันทึกจักรวาล" (เส้นแสงจักรวาล) ว่าประวัติศาสตร์แห่งอนาคตที่ถูกบันทึกไว้ในปิระมิดในรูปสัญญลักษณ์ของตัวเลข วิชาดาราศาสตร์และวิชาภูมิศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อวัฏจักรของโลกในรอบนี้สิ้นสุดลงและพร้อมกันนั้น วิชาเร้นลับที่กล่าวไว้ในคำทำนายทั้งหลาย ก็จะเผยโฉมออกมา
ห้องต่างๆที่อยู่ในปิระมิดขุดพบหมดแล้ว เว้นเสียแต่ห้องที่เป็นสถานที่เก็บความรู้ศาสตร์ต่างๆของแอตแลนติส เอ็ดการ์ เคย์ซี เริ่ม "อ่าน" เรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติสจาก "บันทึกจักรวาล" ในขณะที่เขาเข้าสู่ภวังค์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1923 และก็อ่านเรื่อยมา เป็นเวลา 23 ปีเต็ม อิทธิพลของชาวแอตแลนติส ที่กลับมาเกิดในยุคนี้ ส่งผลใหญ่หลวงต่ออารยธรรม ในยุคต้นๆของชาวแอตแลนติส "มนุษย์" กับ "เทพ" มีความแตกต่างกันไม่มาก
เพราะมนุษย์สมัยนั้นมีตาที่สามสามารถพัฒนาต่อมไพนิลในสมองจนมีพลังจิตมีฤทธิ์เดชต่างๆ
แต่เมื่อมนุษย์ยอมแพ้ต่อกิเลส ศีลธรรมเสื่อม โศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้นกับชาวแอตแลนติส 3 ครั้ง ครั้งแรกราวๆ 50,700 ปีก่อนคริสต์กาล เพราะมนุษย์นำสารเคมีมาทำเป็นระเบิด ขับไล่สัตว์ร้ายจนก่อให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไประเบิด ทำให้แกนโลกเอียง เข้าสู่ยุคน้ำแข็ง ครั้งที่สอง ราวๆ 28,000 ปีก่อนคริสต์กาล เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่คำภีร์ไบเบิลบอกว่าเป็นยุคของโนอาห์โดยมีสาเหตุมาจากการใช้พลังคริสตัล ซึ่งเป็นพลังค้ำจุนอารยธรรมมากจนเกินไป จนเกิดภูเขาไประเบิดและแผ่นดินไหว และครั้งสุดท้าย ราวๆ 10,700 ปีก่อนคริสต์กาล แต่คราวนี้พวกผู้นำทางจิต ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในหมู่ชาวแอตแลนติสได้มองเห็นเหตุการณ์จึงได้อพยพและนำความรู้และศาสตร์ต่างๆ มาเก็บไว้เพื่อมิให้สูญหายวิชาเหล่านั้นในยุคของเรารู้จักกันในชื่อของ โยคะ , ตันตระ , เต๋า และพราหมณ์ นั่นเอง
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________ : Pageviews
loading...