วันที่ 26 มี.ค. สำนักข่าวต่างประเทศเปิดเผยภาพทิวทัศน์ที่ถ่ายจากยอดมหาพีระมิดกีซ่า
ภาพชุดดังกล่าวถ่ายโดยช่างภาพชาวรัสเซีย ซึ่งช่างภาพกลุ่มนี้ได้ติดสินบนไกด์นำเที่ยวและแอบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอียิปต์ขึ้นไป
ซึ่งอียิปต์ได้มีกฎห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้มีคนขึ้นไปข้างบนนั้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธื์และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ต้องรักษาไม่ให้เกิดความเสียหาย
ที่มา : http://news.mthai.com/world-news/225551.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม!!!!
ภาพวัตถุลักษณะเหมือนงู เหนือชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าส่วนไหนคือหัวและส่วนไหนคือหาง
กำลังมุงหน้าไปยังทะเลที่อยู่ด้านหน้า
ภาพต้นฉบับ จากทาง NASA
http://eol.jsc.nasa.gov/sseop/images/ISD/highres/STS105/STS105-703-38_3.JPG
ชาวยุโรป เชื่อว่าเป็นงูยักษ์ แต่สำหรับชาวเอเชีย นั้นคือมังกร ในเทพนิยาย
ทำให้หวนคิด เรื่องราวที่เคยอ่านมาเกี่ยวกับการพบมังกร
บันทึกการเผชิญหน้าพญามังกรในรอบ 400 ปี
พญามังกร เป็นสัตว์ในเทพนิยายหลายชาติ ทั้งในเอเชีย และ ประเทศในทวีป ยุโรป ฝรั่งเรียกมังกรว่า "ดรากอน" คนจีน เรียกว่า "เล้ง" หรือ กิมเล้ง มีอิทธิฤทธิสูงส่ง เหนือสรรพสัตว์ทั้งปวง
ฝรั่งและชาวเอเชียบรรยาย รูปลักษณ์พญามังกรตรงกัน มีลำตัวเป็นงู หัวเหมือนม้า มีเขาเหมือนแพะ มีฟันแหลมคม เหมือนปลาฉลาม มีปีกเหมือนปีกค้างคาว บินได้รวดเร็วคล่องแคล่ว อาวุธที่ใช้ต่อสู้กับศัตรู สามารถพ่นเปลวไฟร้อนแรงออกจากปากได้
พงศาวดารของชาวจีน ระบุว่า พญา-มังกรเป็นทูตจากสวรรค์ หรือเทพเจ้าจำแลง แปลงกาย เพื่อปราบปรามคนชั่วหรือจุติมา เป็นพาหนะสำหรับคนมีบุญ จึงเรียกว่า "เทียนเล้ง" หรือมังกรสวรรค์
ส่วนตำนานของชาวยุโรป โดยเฉพาะ ชนเผ่าเซลติก โบราณ (บรรพบุรุษคนอังกฤษ ในปัจจุบัน) บรรยายถึงมังกรเป็นสัตว์ร้าย ทำร้ายผู้คนทำลายบ้านเมือง เป็นหน้าที่ของ อัศวินผู้กล้าหาญ ไปปราบซึ่งกว่าจะฆ่ามังไรได้ อัศวินเองก็แทบดับดิ้น
ไทยเราได้รับอิทธิพลความเชื่อเรื่อง มังกรคะนองฤทธิ์ มาจากอารยะธรรมของจีน แต่ทว่าเราก็มีมังกรประจำถิ่นอยู่แล้ว แต่เรียกว่า "พญานาค" มีอิทธิฤทธิ์น่าจะทัดเทียมกับ พญามังกร เพราะต่อสู้กับพญาครุฑได้อย่างสูสี
สำหรับสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศ เพิ่งเกิดใหม่ ได้เพียง 200 กว่าปี แต่ก็มี ตำนานเรื่องเล่า เกี่ยวกับพญามังกร ไม่แพ้ ชนชาติอื่น ๆ ที่น่าสังเกตไปยิ่งกว่านั้น ชาวอเมริกันพบเห็นมังกรบ่อยครั้งและ ตัวล่าสุดมังกรทองได้ปรากฏตัวให้เห็น เมื่อปีเศษที่ผ่านมา เมื่อ 3 กันยายน ค.ศ.2009
ที่เมืองเล็ก ๆ ชื่อ เบลคคีย์วิลล์ แห่ง รัฐแคนซัส เจ้าของฟาร์มเกลี้ยงปศุสัตว์ชื่อ เคนท์ รัดเดิล อายุ 54 ปี กำลังให้อาหารหมูใน ตอนเช้า ตรู่ ทันใดนั้นบนท้องฟ้าเขาเหลือบไปเห็นเหมือนม้า กำลังบินอยู่ มีเสียงปีกกระทบอากาศดัง พึ่บพับเป็นระยะ
"ผมมองเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ อยากเชื่อสายตาตนเอง" เจ้าของฟาร์มเลี้ยงหมู เคนท์ กล่าว" มันเหมือนก้อนเมฆ กำลังลอย ตรงมาข้ามหัวผมไป 2 ตาของผมเห็นตัวอะไรบาง อย่าง ลำตัวสีเทาเข้ม เมื่อมันลอยผ่านหัวผมไป จึงรู้ว่ามันเป็นงูยักษ์มีปีก มีหัวเหมือนม้า มีเขา งอกบนหัว 2 เขา ผมคำนวณว่าความยาว ลำตัวของมังกรตัวนี้กว่า 50 ฟุต
"ขณะบินอยู่กลางอากาศ ลำตัวของงู ยักษ์มีปีก เลื้อยไปมาเหมือนกับงูกำลังเลื้อย บนพื้นดิน แค่ต่างกันตรงที่มันมีปีกขนาดใหญ่ ตีปีกแต่ละครั้งเหมือนการสะบัดผ้าอย่างแรง"
"ผมเป็นคนไม่ดื่มเหล้า คงไม่เมาตาฝาดไป อีกอย่างผมสาบานกับพระเจ้าแล้ว จะไม่กล่าวคำโกหก เหตุการณ์นี้ผมเห็น มังกร ยักษ์จริง ๆ"
การพบเห็นพญามังกรครั้งล่าสุด เมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้เอง ช่วงปลายเดือน มกราคมที่นอกเมืองคีย์เวสต์ รัฐฟอริด้า พระบาทหลวงหนุ่มชื่อ จอห์น โอ" มอลลีย์ อายุ 34 ปี เดินทางไปท่องเที่ยวกับพ่อแม่ นางลูซี่ และ นาย จีราลด์ โอ" มอลลีย์ โดยไปพัก อยู่ที่บังกะโลริมหาดที่สันโดษแห่งหนึ่ง
"ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ผม อ่านหนังสืออยู่ในบ้านพัก ส่วนพ่อแม่ออก มานอนตากแดดที่ริมชายหาด ทันใดนั้นผม ได้ยินเสียงแม่หวีดร้องอย่างตกใจสุดขีด" พระบาทหลวงหนุ่มเล่าย้อนเหตุการณ์
"ผมรีบวิ่งออกไปนอกบ้านเมื่อมา ถึงชายหาด พ่อกับแม่ชี้ให้ดูบนท้องฟ้าเมื่อ ผมมองขึ้นไปความรู้สึกตอนนั้นเหมือนนอน หลับฝันไป เพราะภาพที่มองเห็นมันเหลือเชื่อ จริงๆ"
"บนท้องฟ้าสูงไปราว 500 เมตร ผมมอง เห็นงูยักษ์ มีปีกลำตัวสีเหลืองมีลายดำบนหลัง เป็นปล้อง ๆ มันลอยตัวอยู่กลางอากาศด้วย 2 ปีก และลำตัวขดไปมา ส่วนหนึ่งของลำตัวบังอยู่ใน ก้อนเมฆครึ้มหนา"
"สิ่งเหลือเชื่อเกิดขึ้นตามมาอีก เมื่อมีฝูงนกนางนวลทะเลบินผ่านมาโดยไม่ ทันระวังตัวมังกรทองตัวนั้น ฉกใส่ฝูงนก ด้วยความเร็วปานสายฟ้า มันฉกครั้งเดียวได้นก ในปากถึง 2 ตัว
เมื่อฝูงนกแตกหนี พญามังกร ทองก็บินไล่ตามจนกระทั่งลับสายตาไปก่อนหน้านี้มีบันทึกอย่างเป็น ทางการที่ชาวบ้านชาวเมืองพบเห็นมังกร ทองอย่างชัดแล้ว นับแต่ปี ค.ศ.1800 หรือ 200 ปีกว่ามาแล้ว
นักชีววิทยาผู้เชี่ยวชาญสัตว์โลก ดึกดำบรรพ์ เวลโน เดรช กล่าวอธิบายว่า "สำหรับฃวามเห็นส่วนตัวของผมแล้ว การพบเห็นมังกรยักษ์ครั้งสร้างความฮือฮา มากที่สุด เป็นเหตุการณ์ต้นศตวรรษที่ 19 ที่แคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 1882
"ครั้งนั้นมังกรยักษ์ถึงกับโจมตี ขบวน รถไฟ เส้นทางเซาเฮิร์น แปชิฟิคนอกจากพนักงาน ขับรถไฟ และข่างเฃรื่องมองเห็นมังกรทองแล้ว ผู้โดยสารนับร้อยฃนมากับขวนรถไฟต่าง มองเห็นกันทุกฃน"
"รถไฟรุ่นหัวจักรไอน้ำ ลากจูงตู้ โดยสาร 12 โบกี้ แล่นตัดผ่าน ทะเลทรายโมเจฟ ช่วงเวลาบ่ายช่างเครื่องเหลือบตามองเห็นท้องฟ้า เพื่อสังเกตการณ์ว่าจะมีฝนตกหรือไม่ จึงมอง เห็นเมฆดำกลุ่มหนึ่ง ลอยจากที่สูงลงต่ำอย่าง รวดเร็ว ทีแรกคิดว่าเป็นลำของพายุทอร์นาโด"
"แต่เมื่อสิ่งแปลก ประหลาดนั้นลอย เข้ามาใกล้ขบวนรถไฟ จึงรู้ว่ามันไม่ใช่ทอร์นาโด แต่เป็นงูยักษ์มีปีก มีขนาดลำตัวยาวราว 30 ฟุต บินอยู่ฟ้าด้วย 2 ปีก เหมือนปีกค้างคาว กวักปีกแต่ละครั้งดังพึ่บอย่างชัดเจน"
"มังกรตัวนั้น บินต่ำราวกับกำลังค้นหา อะไรตามพื้นดิน เมื่อมันบินผ่านขบวนรถไฟ ในระยะประชิด ส่วนปลายทางจึงฟาดกับ หลังคาโบกี้ ซึ่งทำให้มันโกรธคราวนี้ขับไล่ ตามขบวนรถไฟอย่างติด ๆ พร้อมทั้ง โจมตีส่วนหัวรถจักร"
"ปากที่มันฟันคมกริบราวใบ เลื่อยกัด ทะลุผ่านหลังคาโบกี้โดยสารทำให้ ผู้โดยสารกรีดร้องลั่น แต่มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ปลายปีกไฟโดนเข้ากับปล่องควันทำให้ ไฟไหม้ปีก มังกรร้องกรี๊ด ๆ แล้วบินหนีหายไป"
จนกระทั่งทุกวันนี้บันทึกการเผชิญ หน้ากับมังกรทองเป็น ๆ โดยมีผู้โดยสารเป็น ร้อย ต่างมองเห็นชัดแจ้ง ยังไม่มีใครสามารถหา คำอธิบายได้ว่า...เป็นความจริงหรือความฝันกันแน่
เช่นเดียวกัน มีประเทศจีนเมื่อปี ค.ศ.1641 หรือ เมื่อ 400 ปีก่อน มีคนจีนอย่าง น้อย 350 คน ที่อาศัยอยู่ที่เมือง ซานตง มองเห็น พญามังกรทองบินล่องฟ้า ฝ่ากลุ่มเมฆลงมา แล้วบินทะยานหายลับไปในกลุ่มเมฆฝนอีกครั้ง
การปรากฏตัวครั้งนี้ ชาวจีนใน ยุคนั้น ต่างเชื่อกันว่า เป็นคำเตือนจากสวรรค์ ถึงจักรพรรดิ์ ราชวงศ์หมิง อย่าทำร้ายประชาชน
หลังจากนั้นไม่นานราชวงศ์หมิง ก็ล่มสลายไป
ที่มา : http://www.nokroo.com/plak/browse.php?cat_id=32&id=13758
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
คนไทยเรามีประเพณีปฏิบัติ เมื่อ จุดธูป 1 ศพ คนตาย มักส่งจิตอธิษฐาน ขอให้ดวงวิญญาณคนตายจงไปสู่สรวงสวรรค์ หรือ “ปรภพ”
โลกปรภพในความเชื่อของชาวพุทธ เป็นที่อยู่ของดวงวิญญาณ ซึ่งเดิมเชื่อว่าเป็นดินแดนสวรรค์ ทั้ง 16 ชั้นฟ้า แต่ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์เป็นผู้ให้คำตอบ ดินแดนปรภพ ไม่ใช่สวรรค์ เป็นดินแดนที่มีแต่ความสงบสุข ไร้ทุกข์ ไร้กังวล
นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาวโปแลนด์ เบอร์นาร์ด ชิมลิตต์ แห่งสถาบันเฟิร์สต์ สเปซ ไซน์ โพลีเทคนิค แห่งกรุงกลาสโกว์ กล่าว ยืนยันว่า จากการเฝ้าสังเกตการณ์และตรวจ ชั้นบรรยากาศอย่างละเอียด เรามั่นใจว่าดวงดาว เอ็มโอเอ-192 บี (MOA-192 b) ซึ่งตั้งอยู่ใน กลุ่ม ดาวแคปริคอน (ม้ามีหัวเป็นคน ราศีที่ 9 จาก 12 ราศี) ซึ่งอยู่ห่างจากดาวโลก ราว 3,000 ปีแสง
MOA-192 b |
คือแดนสวรรค์ที่สิงสถิตของ ดวงวิญญาณ หรือที่ชาวพุทธเรียกว่า ดินแดน "ปรภพ"
“เรานำข้อมูลที่เก็บมาได้ โดยเฉพาะ ข้อมูลชั้นบรรยากาศ บอกให้รู้ถึงร่องรอยสิ่งมีชีวิต อาศัยอยู่บนดาวดวงนั้น 2 กรณี”
“ประการแรก เราตรวจพบสัญลักษณ์พลังงานไฟฟ้าระดับต่ำ ซึ่งเป็นไปได้ว่าไฟฟ้าเกิดจากพายุฟ้าคะนอง หรือเกิดจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าก็ได้”
“ประการที่ 2 เราตรวจพบคล้าย เป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่มี รูปแบบต่างไปจากคน บริเวณขั้วโลกเหนือ ของดวงดาว MUA-192 b”
“ทั้ง 2 ประการนี้ ล้วนเป็นร่องรอย ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นับเป็นการค้นพบครั้ง ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์ ที่ได้พบ ร่องรอยว่าดาว MOA อาจเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต ที่มีอารยธรรมสูง”
ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญด้าน วิปัสสนาอธิบายว่าสิ่งมีชีวิตดังกล่าว หากเป็น ดวงวิญญาณ ก็ย่อมมีลักษณะเป็นกายทิพย์ (ขณะมีชีวิตอยู่บนโลก กายทิพย์ อาศัยอยู่ใน กายหยาบ)
ทั้งนี้ตั้งแต่การเริ่มต้นศึกษาวิจัยกลุ่มดาวที่อยู่ห่างจากโลก 3,000 ปีแสง เมื่อหลายปีก่อน ทีมงานนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ เบอร์นาร์ด ชิมมิตต์ พบว่ามีกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งมีชั้นบรรยากาศแตกต่างไปจากโลกโดยสิ้นเชิง นับแต่นั้นมาได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ทางไกลแรงสูง คอยติดตามความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด
ต่อมาได้ประสานงานกับโรงการ “พลังโทรจิต” ที่ยูเครน (เดิมเป็นสหภาพ หนึ่งของรัสเซีย ปัจจุบันแยกตัวเป็นอิสระ) ซึ่งรัฐบาลสหภาพรัสเซีย ตั้งโครงการขึ้น ในยุคสงครามเย็น
โครงการลับสุดยอดพลังโทรจิต ทางไกล ตั้งขึ้นบนข้อสมมติฐานว่าเมื่อคนเราฝึกฝนทางจิตจนแก่กล้า จนสามารถ ถอดดวงจิตออกจากร่างกาย ได้แล้ว ก็สามารถท่องจักรวาลไป ที่ไหนก็ได้ โดยมีความเร็วเหนือกว่า ความเร็วของแสง
โครงการนี้มีหน่วยงานข่าวกรอง รัสเซีย หรือเคจีบี. เป็นเจ้าภาพ โดยรับคัดเลือก ผู้มีพลังจิตสูงมาแต่กำเนิดมาฝึกเพิ่ม ต่อมา ได้สร้างผลงานดีเด่น เมื่อครั้งเครื่องบินรบ มิก.29 ฟอกซ์ แบท ของรัสเซียตกที่โคลัมเบียทั้งเคจีบี.และซีไอเอ.ต่างแย่งชิงเพื่อไปถึงซากมิก.29ก่อนอีกฝ่าย เพราะ มิก.29 ในยุคนั้นคือ เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดทรงอานุภาพที่สุด
ซีไอเอ. ใช้พิกัดจากดาวเทียมจารกรรม แต่เคจีบี.ใช้นักพลังจิตตามโครงการโทรจิตทางไกล แผ่พลังจิตตามหาซากเครื่องบิน
ปรากฏว่าหน่วยข่าวกรองรัสเซีย ไปถึงซากเครื่องบินก่อน ขณะที่ฝ่ายสหรัฐรู้ว่า ตกอยู่ในหุบเขา แต่ไม่อาจเจาะจงได้ เป็นที่ จุดใด
หลังจากรัสเซียประสบความ สำเร็จจากโครงการนี้ รัฐบาลสหรัฐ โดย ซีไอเอ. ก็ได้ตั้งแผนงานโทรจิตทางไกล ขึ้นมาเช่นกัน แต่พัฒนาได้ไม่ทันรัสเซีย
เมื่อนักวิทยาศาสตร์โปแลนด์ ไป ประสานงานไปยังรัฐบาลยูเครน ขอตัวนัก พลังจิตมาช่วย เพื่อถอดดวงจิตเดินทางไปยัง ดวงดาว MOA-192 b
ผู้รู้อธิบายตรงนี้ว่า คือการทำ วิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งเกิดฌานชั้นสูง ระดับอภิญญาฌาน ดวงจิตจึงถอดออกจากร่างได้ และดวงจิตที่ถูกถอดออกจากกายหยาบนี่เอง เรียกกันว่า “กายทิพย์”
การเข้าฌานโดยนักพลังจิตยูเครน ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง แสดงว่าใช้เวลาไปกลับ ดวงดาว MOA แค่ชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้น แต่หากนักวิทยาศาสตร์โลกสามารถสร้่าง ยานอวกาศมีความเร็วเท่าความเร็วของแสงได้ ยานลำนั้นใช้เวลาเดินทางถึง 3,000 ปี จึงจะเดินทางถึงดวงดาว MOA ได้ (ระยะทาง 1 ปีแสง = 10 ล้านกิโลเ้มตร)
นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ เบอร์นาร์ด เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ผลการส่งพลังจิต ได้พบกับถิ่นฐานของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ มีเคหะสถานบ้านเรือนเหมือนชาวโลก แต่สร้างในรูปทรงต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ผู้ถอดดวงจิตยืนยันว่า เขาได้ พบกับสิ่งมีชีวิตที่มีใบหน้ารูปร่างเหมือนกับ คนที่เขา่รู้จักด้วย ไม่ใช่จำได้แค่คนเดียว แต่จำได้หลายคน”
“ตรงนี้เป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้ โครงการวิจัยของเราสามารถสรุปได้ว่า คนบางคนเมื่อตายไปแล้ว ดวงวิญญาณของ พวกเขาเดินทางมาอยู่ที่นี่”
“เพื่อความมั่นใจ เราให้ผู้ส่งพลังจิต อย่างน้อย 3 คน ตรวจสอบหลายครั้งจนมั่นใจ ว่า เขาจำได้ว่าคนที่เขาพบเห็นในดวงดาว เอ็มโอเอ.จริง ๆ ไม่ได้ผิดตัวแต่อย่างใด”
“เขายืนยันว่าเขาพบนักเต้นบัลเล่ต์ ผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเขาชื่นชอบมาก ขณะที่ เปิดการแสดงที่โรงละครกรุงมอสโคว์ ต่อมา นักบัลเล่ต์ผู้นี้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน ได้ไม่นาน เขาได้ถอดจิต แล้วไปพบกันที่นั่น”
“ไม่มีการพูดคุยกับผู้ที่อยู่บนดาว เอ็มโอเอ. กับพลังจิตที่ส่งออกไปจากโลก เพราะ ผู้ที่อยู่ที่นั่น มองไม่เห็นพลังจิต” นักดาราศาสตร์ เบอร์นาร์ดกล่าว
โครงการได้ทดลองนำภาพ คนตายจำนวน 43 คน ให้นักพลังจิตดู ว่าพบใครบ้างที่โน่น ปรากฏว่านักพลังจิต 2 คน จำได้ 3 คน
“ภาพใบหน้าที่เราเอาไปให้เลือกดู ล้วนเป็นคนตายในช่วงเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ ตรงนี้เป็นอีกข้อมูลยืนยันว่าดวงวิญญาณ เดินทางด้วยความเร็วพอ ๆ กับพลังจิต”
“นักพลังจิตที่ส่งพลังจิตไปสำรวจ ดวงดาวเอ็มโอเอ. อธิบายว่าไม่ได้มีความเหมือน กับแดนสวรรค์ ตามภาพวาดตามผนังโบสถ์ แต่อย่างใด ไม่มีกลุ่มเมฆ ไม่มีนางฟ้า เทพ สวรรค์ หรือถนนปูลาดด้วยทองคำ”
“ภาพลักษณ์ดินแดนปรภพ เหมือนเมืองเล็ก ๆ อยู่ตามภูธร ไม่มีรถยนต์ ไม่มีเครื่องจักร ผู้คนอยู่อย่างสงบสุข”
“ผู้อยู่ที่นั่นล้วนมีสุขภาพดี ปรากฏตัว เป็นอย่างไรก็อยู่เช่นนั้ตลอดไป ไม่มีความแก่เฒ่า ไม่มีอาการเจ็บป่วย ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีสงคราม”
“ไม่มีเด็กเกิดใหม่ พบเห็นผู้คน หน้าใหม่เดินออกจากอาคารขนาดใหญ่ เหมือน ศูนย์รับส่ง เหมือนศูนย์กลางรอรับดวงวิญญาณ มาจุติที่นี่” ดร.เซอร์ไก อูซนิดอฟ ผู้อำนวยการ โครงการโทรจิตทางไกลแห่งยูเครนกล่าว
“ในโลกของเราอาจมีกลไก ธรรมชาติที่เรายังค้นหาไม่พบ ทำหน้าที่เป็น ภาคส่งดวงวิญญาณไปยังดาวดาวต่าง ๆ ทั่วทั้งจักรวาล ไม่จำเพาะเจาะจงที่ดวงดาว เอ็มโอเอ. เท่านั้น”
ดร.เซอร์ไกกล่าวอีกว่า “มีนักวิจัย บางคนบอกกับผมว่ามีอยู่ทฤษฎีหนึ่ง ที่เป็น ไปได้สูง เกี่ยวกับพลังชีวภาพ (bioenergy) ซึ่งในร่างกายคนทุกคนมีพลังงานนี้ จะปรากฏ ออกมาเมื่อคนกำลังจะตาย ทำหน้าที่เป็นแรงส่ง ดวงวิญญาณไปยังดวงดาวต่าง ๆ”
แล้วแรงส่ง “พลังชีวภาพ” จะ เลือกส่งดวงวิญญาณหรือกายทิพย์ไปยัง ดวงดาวใกล้ไกลโดยอาศัยเหตุปัจจัย อะไร? พระนักวิปัสสนา ผู้ได้ฌานมาบ้าง แล้ว ต่างรู้ดีว่า...ล้วนมีบาปบุญคุณโทษเป็น ตัวกำหนดนั่นเอง
ที่มา : http://www.nokroo.com/plak/browse.php?cat_id=30&id=7137
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
รายงานข่าวแจ้งว่า ที่บ้านเลขที่ 116 หมู่ 10 บ้านหัวดอนคา ต.ห้วยม่วง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม พบงูประหลาดสีฟ้าที่นายพศวัต แผนพงษ์ภัค อายุ 48 ปี สามารถจับได้ โดยนอกจากจะมีสีฟ้าแล้ว นัยน์ตายังมีสีทอง ลำตัวใหญ่ประมาณ 2 นิ้ว ความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร โดยจับเลี้ยงไว้ในตู้กระจก ท่ามกลางชาวบ้านที่เดินทางมาดู และตีเป็นเลข
โดยนายพศวัต เล่าว่า จับงูตัวนี้ได้เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ระหว่างที่ขับขี่รถจักรยานยนต์กลับจากทำธุระเพื่อเข้าบ้าน แต่มีงูสีฟ้าสะท้อนแสงเลื้อยผ่านหน้าไปและตรงไปยังประตูบ้าน ตนจึงรีบนำสวิงช้อนปลาตะปบไว้ หวั่นว่ามันจะกัดหรือทำร้ายคนในบ้าน ก่อนจะนำมาขังไว้ในตู้กระจก แต่ไม่ทราบว่าเป็นงูชนิดใด และมีพิษหรือไม่
ที่มา : http://news.mthai.com/general-news/222735.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
แฟ้มลับกระทรวงกลาโหมอังกฤษระบุ หมู่บ้านเวสต์ คิลไบรด์ทางตะวันตกของแคว้นสก็อตแลนด์ เป็นจุดที่มีรายงานการพบเห็นจานบินของมนุษย์ต่างดาวหรือ "ยูเอฟโอ" ในช่วงระหว่างปี 2003 -2006 มากที่สุดในสหราชอาณาจักร...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 11 ส.ค. โดยอ้างแฟ้มลับจากกระทรวงกลาโหมอังกฤษที่ระบุว่า หมู่บ้านเวสต์ คิลไบรด์ซึ่งตั้งอยู่ทางชายฝั่งด้านตะวันตกของแคว้นสก็อตแลนด์เป็นจุดที่มีรายงานการพบเห็นจานบินของมนุษย์ต่างดาวหรือ "ยูเอฟโอ" ในช่วงระหว่างปี 2003 -2006 มากที่สุดในสหราชอาณาจักร
ข้อมูลของกระทรวงกลาโหมอังกฤษที่มีการเปิดเผยล่าสุดระบุว่าในช่วงเวลาดังกล่าว มีรายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดที่มีรูปร่างแตกต่างกันกว่า 25 ชนิด เป็นจำนวนกว่า 20 ครั้งบนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านเล็กๆที่มีประชากรเบาบางอย่างเวสต์ คิลไบรด์ โดยจานบินที่มาปรากฏตัวเหนือน่านฟ้าบริเวณนี้มีทั้งที่มีรูปร่างกลมคล้ายจาน, รูปร่างคล้ายแท่งซิการ์ ไม่เว้นแม้แต่จานบินที่มีรูปร่างคล้ายแมงกะพรุน
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากแฟ้มลับดังกล่าวยังระบุว่า เคยมีการพบเห็นยูเอฟโอในพื้นที่อื่นของสก็อตแลนด์เช่นกันไม่ว่าจะเป็นที่เมืองช็อตต์ส ในเขตลานาร์คเชียร์เหนือ , เมืองฟอร์โทรสใกล้กับอินเวอร์เนสส์ รวมถึงที่กลาสโกว์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของแคว้นสก็อตแลนด์.
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/oversea/193290
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ซีบีเอสนิวส์ - คดีปริศนา ชายคนหนึ่งเสียชีวิต หลังร่างกายระเบิดจากข้างในจนไฟลุกท่วม จากการตรวจสอบพบว่าศพถูกเผาผลาญยับเยินจากภายใน ขณะที่ตำรวจมลรัฐโอคลาโฮมา
ยอมรับไม่เคยเจอคดีแบบนี้มาก่อนและจนถึงตอนนี้ทีมสืบสวนก็ยังมืดแปดด้าน
เจ้าหน้าที่ของมลรัฐโอคลาโฮมา ซึ่งกำลังสืบสวนคดีนี้ ได้ผลสรุปขั้นต้นที่น่าขนลุก โดยสันนิษฐานว่าหนุ่มใหญ่วัย 65 ปี เสียชีวิตหลังจากจู่ๆร่างกายก็ระเบิดแล้วลุกติดไฟ
สมาชิกของครอบครัวพบศพนายแดนนี แวนซานด์ท วัย 65 ปี เสียชีวิตอยู่ภายในบ้านพักเมื่อวันจันทร์(26) ขณะที่นายอำเภอ รอน ล็อคฮาร์ท เผยว่า "ศพผู้เสียชีวิตถูกไฟเผาผลาญมอดไหม้จากภายใน"
นายอำเภอรายนี้เชื่อว่าเหตุเสียชีวิตของนาย แวนซานด์ท น่าจะมีต้นตอจากปรากฎการณ์ไฟลุกทั่วตัว(spontaneous human combustion)
โดย spontaneous human combustion ใช้เรียกเหตุการณ์ที่ร่างกายมนุษย์เกิดการลุกไหม้ ขึ้นเองโดยปราศจากแหล่งความร้อนภายนอก
ซึ่งตลาดระยะเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ลักษณะนี้ทั่วโลกแค่ราวๆ 200 ครั้งเท่านั้น
ล็อคฮาร์ท เผยต่อว่าไฟไม่ได้ก่อความเสียหายแก่บ้านพักและไม่พบร่องรอยการดิ้นทุรนทุรายของผู้ตาย
"ไม่พบความเสียหายต่อเฟอร์นิเจอร์หรือข้างของอื่นๆจากไฟไหม้"
เวลานี้ทีมสืบสวนส่งศพไปชันสูตรที่เมืองทูลซา และอยู่ระหว่างรอผลการตรวจสอบ
อย่างไรก็ตามทาง ล็อคฮาร์ท ปักเชื่อว่าคดีนี้น่าจะมีสาเหตุมาจากปรากฏการณ์ไฟลุกทั่วตัว
"ถ้าคุณอ่านปรากฏการณ์ไฟลุกทั่วตัว ทุกอย่างที่เรามีมันบ่งชี้ไปทางนั้น"
ทั้งนี้ด้วยที่นายแวนซานด์ท เป็นคนติดเหล้าและสูบบุหรี่จัด ผู้สื่อข่าวจึงตั้งข้อสงสัยถึงความเป็นไปได้ที่ว่าผู้เสียชีวิตอาจเผลอทำบุหรี่ตกใส่แอลกอฮอล์จนไฟลุกท่วมตัว
แต่นายอำเภอบอกปัดข้อสันนิษฐานนี้โดยชี้ว่า "ร่องรอยจากบุหรี่ลุกไหม้ไม่ได้เป็นแบบนี้" - See more at: http://allmysteryworldforum.fix.gs/index.php?topic=110.0#sthash.DvHI2Kvp.dpuf
ที่มา : http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000024024#sthash.DvHI2Kvp.dpuf
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษ เผยภาพปรากฏการณ์สุดแปลก เมื่อก้อนน้ำแข็งกลม ๆ จำนวนมหาศาล ถูกซัดเข้ามาเกลื่อนบนชายฝั่งทางตอนเหนือของรัฐมิชิแกน สหรัฐฯ
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นบนชายหาดในเขตอุทยานแห่งชาติสลีปปิ้ง แบร์ ดูนส์ รัฐมิชิแกน โดยระหว่างที่ เลดา โอล์มสตีด หญิงสาวรายหนึ่งกำลังพาสุนัขทั้ง 2 ตัวของเธอไปเดินเล่น เธอก็ได้พบกับก้อนน้ำแข็งจำนวนมากนี้เข้า เธอจึงไม่รอรีที่จะบันทึกภาพ แล้วส่งให้กับทางสื่อท้องถิ่น ก่อนที่ภาพดังกล่าวจะถูกเผยแพร่ออกไป และสร้างความฉงนสงสัยให้กับผู้คนอย่างมาก
เพื่อไขข้อข้องใจดังกล่าว ทางด้านเอมี่ ลิปสคอมป์ เจ้าหน้าที่จากอุทยานแห่งชาติสลีปปิ้ง แบร์ ดูนส์ จึงได้ออกมาเปิดเผยว่า ก้อนน้ำแข็งกลม ๆ เหล่านี้ เกิดขึ้นจากการแตกตัวของแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นในฤดูหนาว และลอยอยู่ใกล้กับทะเลสาบมิชิแกน จากนั้นเมื่อเศษน้ำแข็งเหล่านี้ถูกคลื่นลมซัดจนลอยพลิกกลับไปกลับมาเรื่อย ๆ และไปจับกับหิมะ หรือน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ มากมายแล้ว มันก็เลยกลายเป็นก้อนกลมมนเหมือนกับสโนว์บอลที่สมบูรณ์แบบราวกับถูกปั้นด้วยมือ ก่อนที่จะถูกคลื่นซัดลอยมาติดชายฝั่ง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวจะได้รับการอธิบายจากเจ้าหน้าที่อุทยาน แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตั้งแต่พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่มา ไม่เคยเจอปรากฏการณ์น่าทึ่งแบบนี้มาก่อนเลย
ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/82696
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า นางโสภารัตน์ พันธรักษ์ อายุ 36 ปี หญิงรายหนึ่งชาว ต.โมคลาน อ.ท่าศาลา นครศรีธรรมราช อ้างว่า คลอดลูกเป็นไข่ จนกระทั่งชาวบ้านแห่กันไปมุงดูกันเป็นจำนวนมาก รวมทั้งกราบไหว้บูชาตามความเชื่อ ซึ่งก่อนที่จะคลอดยังฝันว่า มีเทวดานำผ้าขาวกับไข่มาให้
ทั้งนี้ นางโสภารัตน์ ยังระบุว่า ตนได้ท้องเป็นเวลา 11 เดือน และเกิดเวลา 11.00 น. ของวันที่ 28 ก.พ.ก่อนที่จะคลอด 2 วัน นั้นมีน้ำเมือกออกมาก่อน กระทั่งคลอดเป็นไข่สีชมพู ราวกับไข่ไก่ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลกที่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น เมื่อชาวบ้านทราบข่าวจึงมาใส่เงินบูชากราบไหว้ จนบ้านที่อยู่ในสภาพเก่ายกสูงทรุดลงมา จึงทำการซ่อมแซม และจัดคิวให้ชาวบ้านขึ้นไปดูทีละ 10 คน
ด้านแม่สามีของนางโสภารัตน์ ยังเล่าว่า ก่อนหน้านี้ ตนเองก็ยังฝันประหลาดว่า จะมีเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้น 16 จุติลงมาเกิดในท้องของลูกสะใภ้ เพื่อมาช่วยเหลือชาวบ้าน พร้อมกับให้โชคลาภ โดยพบว่ามีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นก็คือ ลูกสะใภ้มักจะท้องโตในวันเสาร์ วันอังคาร และวันพระ และท้องนานถึง 11 เดือน ซึ่งหลังจากนั้นก็มีคนมาแห่ตีเลขเด็ดกันเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.สุเทพ ก่อสกุล ผกก.สภ.ท่าศาลา ได้รับแจ้งจากชาวบ้านถึงเรื่องดังกล่าว พร้อมระบุว่า ตนไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ และกำลังตรวจสอบว่าเป็นการหลอกลวงหรือไม่ แต่หากชาวบ้านนำเงินมาให้ด้วยความศรัทธาก็ไม่ถือว่าผิด เพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล
ที่มา : http://news.mthai.com/general-news/221206.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________