เรื่องลึกลับจากทั่วโลก All mystery world

รวมเรื่องราว พลังแห่งจิตนาการ,โลกลี้ลับ,UFO,มนุษย์ต่างดาว,อารยธรรมโบราณ,ปริศนาต่างๆ,จากทั่วทุกมุมโลก

  • Homeหน้าหลัก
  • โลกต่างดาวโลกต่างดาว
    • Subitem 1
    • Subitem 2
  • โลกต่างมิติโลกต่างมิติ
    • Subitem 1
    • Subitem 2
  • โลกลี้ลับโลกลี้ลับ
    • Subitem 1
    • Subitem 2
  • จักรวาลจักรวาล
    • Subitem 1
    • Subitem 2
  • อารยธรรมโบราณอารยธรรมโบราณ
    • Subitem 1
    • Subitem 2
  • ภัยพิบัติภัยพิบัติ
    • Subitem 1
    • Subitem 2
  • พลังแห่งจินตนาการพลังแห่งจินตนาการ
    • Subitem 1
    • Subitem 2
You are here : Home »


นักดาราศาสตร์สเปนได้เปิดเผยว่า ได้พบเห็นดวงจันทร์ถูกบอมบ์ด้วยก้อนอุกกาบาตโตเท่าตู้เย็น นับเป็นการโดนถล่มด้วยก้อนดาวตก ก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ แรงระเบิดทำให้เกิดประกายไฟสว่างวาบขึ้น เชื่อว่าหากมีคนคอยจ้องคอยดูอยู่ก็จะต้องมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ศาสตราจารย์โฮเซ มาเรีย มาไดโด อาจารย์มหาวิทยาลัยฮิวล์วาของราชสมาคมดาราศาสตร์อังกฤษเล่าว่า ขณะที่ส่องกล้องโทรทรรศน์ดูบริเวณที่มีชื่อว่า แมร์ นาเบียม อันเป็นแอ่งเต็มไปด้วยธารหินละลายสีดำเก่าแก่บนดวงจันทร์ 


เมื่อวันที่ 11 กันยายนปีกลาย ได้สังเกตเห็นการลุกไหม้เป็นไฟขึ้น อันตรงกับเวลากรุงเทพฯ 03.07 น. ของวันที่ 12 ความสว่างได้สาดส่องเกือบทั่วบริเวณขั้วเหนือ
 เชื่อว่าหากมีใครคอยดูอยู่ในสภาพอากาศที่อำนวยจะต้องมองเห็นด้วยตาเปล่าอย่างแน่นอน

 ทั้งยังเห็นแสงสว่างอยู่นานถึง 8 วินาที นับเป็นแสงที่เกิดขึ้นอยู่นานบนดวงจันทร์นานที่สุดเท่าที่เคยเห็นกันมา “ผมรู้ในทันทีตอนนั้นว่าได้เห็นปรากฏการณ์ที่แปลกเป็นพิเศษและหายากที่สุด”

เขากับคณะยังได้คำนวณว่า ก้อนอุกกาบาตก้อนนั้นอาจจะหนักถึง 400 กก. กว้าง 60 ซม. และยาว 1.40 ม. ตกกระทบพื้นดวงจันทร์ด้วยความเร็วชั่วโมงละ 610,000 กม. 






ด้วยความเร็วขนาดนั้นจะทำให้ก้อนหินร้อนจนหลอมละลายและระเบิดกลายเป็นไอเมื่อกระทบพื้น ทำให้ไฟลุกไหม้จนมองเห็นถึงโลกได้ พร้อมกับทำให้เกิดหลุมระเบิดกว้างโตถึง 40 ม. ด้วยแรงระเบิดเทียบเท่ากับดินระเบิดทีเอ็นทีปริมาณถึง 15 ตัน.






ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/edu/406261
____________________

: Pageviews


ภาพแสดงดาวฤกษ์เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบ (ที่ตำแหน่งปลายลูกศร) โดยทีมนักดาราศาสตร์ออสเตรเลีย (AFP PHOTO / SPACE TELESCOPE SCIENCE INSTITUTE)

       ทีมนักดาราศาสตร์จากออสเตรเลียค้นพบดาวฤกษ์ที่เก่าแก่ที่ที่สุดในเอกภพ กำเนิดหลัง “บิ๊กแบง” เมื่อ 1.37 หมื่นล้านปีก่อนในเวลาไม่นาน และนับเป็นครั้งแรกที่ช่วยให้นักดาราศาสตร์ได้ศึกษาเคมีของดาวรุ่นแรกๆ ซึ่งเผยถึงสภาพของเอกภพในช่วงวัยเยาว์ได้ชัดเจนขึ้น
     
       การค้นพบดังกล่าวนำโดยทีมนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (The Australian National University) หรือเอเอ็นยู (ANU) ซึ่ง ดร.สเตฟาน เคลเลอร์ (Dr.Stefan Keller) จากวิทยาลัยเพื่อการวิจัยดาราศาสตร์และดาราศาสตร์ฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยเผยว่า พวกเขาพูดได้เต็มปากว่า การค้นพบครั้งนี้เป็นการค้นพบลายนิ้วมือทางเคมีของดาวฤกษ์ยุคแรก และเป็นก้าวแรกในความเข้าใจว่าดาวฤกษ์ยุคแรกๆ นั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร
     
       ดาวฤกษ์ซึ่งเกิดหลังระเบิด “บิ๊กแบง” (Big Bang) เมื่อ 1.37 หมื่นล้านปีไม่นานนี้ ถูกค้นพบโดยกล้องโทรทรรศน์สกายแมพเปอร์ (SkyMapper telescope) ของมหาวิทยาลัย ณ หอดูดาวซิดิงสปริง (Siding Spring Observatory) ซึ่งกล้องโทรทรรศน์ดังกล่าวมีหน้าที่ในการค้นหาดาวฤกษ์ดึกดำบรรพ์ในโครงการสร้างแผนที่ท้องฟ้าซีกใต้ โครงการระยะเวลา 5 ปี
     
       ดาวโบราณดังกล่าวอยู่ห่างจากโลกแค่ 6,000 ปีแสง ซึ่งในแง่ดาราศาสตร์แล้ว ดร.เคลเลอร์ระบุว่าเป็นระยะทางที่ค่อนข้างใกล้ และเป็นหนึ่งในดาวฤกษ์กว่า 60 ล้านดวงที่กล้องสกายแมพเปอร์ค้นพบในช่วงปีแรกของโครงการ ซึ่ง ศ.ไมค์เบสเซลล์ (Prof Mike Bessell) ผู้ร่วมวิจัยอีกคนกล่าวว่า การค้นหาดาวฤกษ์ดังกล่าวเปรียบเหมือนการงมเข็มในกองฟาง แต่สกายแมพเปอร์ก็มีความสามารถค้นหาดาวฤกษ์ที่มีธาตุเหล็กต่ำๆ ได้จากสีของดาวฤกษ์ และเพื่อยืนยันการค้นพบครั้งนี้ทีมวิจัยอาศัยข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์แมกเจลแลน (Magellan telescope) ในชิลีทำการตรวจสอบ
     
       จากการศึกษาองค์ประกอบของดาวฤกษ์โบราณ พบว่าดาวฤกษ์ดวงนี้มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเรา 60 เท่า ซึ่งองค์ประกอบของดวงอาทิตย์นั้นมีไฮโดรเจนและฮีเลียมที่เกิดจากบิกแบง ผสมด้วยธาตุเหล็กปริมาณเทียบเท่ามวลของโลก 1,000 ดวง แต่ดาวฤกษ์โบราณนั้นประกอบด้วยธาตุเหล็กในขนาดไม่เกินออสเตรเลีย กับคาร์บอนอีกในปริมาณมาก ซึ่งองค์ประกอบที่แตกต่างกันระหว่างดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์โบราณนี้ ทำให้นักดาราศาสตร์ของใจถึงธรรมชาติของดาวยุคแรกๆ มากขึ้น และเข้าใจด้วยว่าดาวฤกษ์เหล่านั้นตายอย่างไร
     
       ดร.เคลลี ระบุว่า เดิมทีเข้าใจว่าการตายในดาวฤกษ์ยุคบุกเบิกนั้นต้องเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง และปล่อยธาตุเหล็กออกไปเต็มอวกาศ แต่ดาวฤกษ์โบราณที่เพิ่งค้นพบนี้เผยให้เห็นสัญญาณของธาตุที่เบากว่า เช่น คาร์บอนและแมกนีเซียม เป็นต้น แต่กลับไม่พบร่องรอยการปลดปล่อยธาตุเหล็กสู่อวกาศ ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าการระเบิดซูเปอร์โนวา (supernova) หรือการระเบิดของดาวที่ตายแล้วในอดีตนั้นมีพลังงานต่ำอย่างน่าประหลาดใจ
     
       สำหรับการค้นพบครั้งนี้ได้ตีพิมพ์ลงวารสารเนเจอร์ฉบับล่าสุด

กล้องโทรทรรศน์สกายแมพเปอร์ที่หอดูดาวซิดิงสปริง ( AFP PHOTO / SPACE TELESCOPE SCIENCE INSTITUTE)

     

กล้องโทรทรรศน์สกายแมพเปอร์ที่หอดูดาวซิดิงสปริง ( AFP PHOTO / SPACE TELESCOPE SCIENCE INSTITUTE)

     


(ซ้ายไปขวา) ดร.สเตฟาน เคลเลอร์ และ ศ.ไมค์เบสเซลล์ ณ กล้องโทรทรรศน์สกายแมพเปอร์ (David Paterson, ANU)

     







ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000015920
____________________
เครดิต :
________________________________

อ้างอิง :
________________________________
: Pageviews



ผู้ประท้วงในไอซ์แลนด์หวั่นการสร้างถนนทำลายถิ่นอาศัยของ "เอลฟ์"

       ในโลกนี้มีการประท้วงอยู่นับไม่ถ้วน แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่าการประท้วงนี้มีอยู่จริง ที่ไอซ์แลนด์มีการประท้วงการตัดถนนผ่านดินแดนที่เต็มไปด้วยหินภูเขาไฟ ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่ผู้ประท้วงหยิบขึ้นมาคัดค้านการก่อสร้างที่จะเกิดขึ้น จะเป็นการทำลายถิ่นอาศัยของเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ท่ามกลางหินเหล่านั้น
     
       เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่นักสิ่งแวดล้อมหลายสิบคนในไอซ์แลนด์ได้ออกมาประท้วงคัดค้านการสร้างถนนที่จะตัดผ่านดินแดนที่เต็มไปด้วยหินภูเขาไฟในคาบสมุทรแอลฟ์ทาเนส (A'lftanes peninsula) และหนึ่งในกิจกรรมประท้วงที่เรียกความสนใจได้มากคือคำอ้างของผู้ประท้วงที่ระบุว่า การสร้างถนนจะรบกวนถิ่นอาศัยของเอลฟ์ที่อยู่ตามหินต่างๆ
     
       เบนจามิน แรดฟอร์ด (Benjamin Radford) คอลัมนิสต์ประจำไลฟ์ไซน์ วิเคราะห์เรื่องความเชื่อเกี่ยวกับเอลฟ์ (Elves) ของชาวไอซ์แลนด์ลงคอลัมน์แบดไซน์ เขาระบุว่าเอลฟ์และภูตแฟรี่ (fairies) นั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันในตำนานเล่าขาน ซึ่งมีกำเนิดมาจากตำนานเทพปกรณัมนอร์ส (Norse mythology) โดยผลสำรวจความคิดเห็นพบว่ากว่าครึ่งของชาวไอซ์แลนด์เชื่อในเอลฟ์หรืออย่างน้อยก็ไม่ปฏิเสธการมีอยู่ของเอลฟ์
     
       จากการสืบค้นหนังสือเกี่ยวกับตำนานและนิทานนางฟ้าของไอซ์แลนด์ แรดฟอร์ดได้คำอธิบายว่า โดยทั่วไปชาวไอซ์แลนด์นั้นมีความผูกผันกับประเทศตนเองมาก และอาจจะมากกว่าคนอื่นๆ ในโลก โดยมีความรักให้ต่อลักษณะทางกายภาพของผืนดินที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นก้อนดิน ภูเขา ธารน้ำ หุบเขา หรือแม้แต่ภูเขาไฟที่ปะทุและเศษธารน้ำแข็งไร้ค่า นอกจากนี้ยังมองว่าแผ่นดินนั้นมีชีวิตและจิตวิญญาณ และเอลฟ์และแฟร์รีก็มีชีวิตอยู่แยกออกไปจากมนุษย์ หลบซ่อนจากโลกและปฏิเสธมนุษย์ แต่ก็ต้องได้รับการเคารพ ไม่เช่นนั้นจะได้รับอันตรายจากเอลฟ์หรือเด็กอาจถูกลักพาตัว
     
       แรดฟอร์ดยังยกตัวอย่างการประท้วงของนักอนุรักษ์ในอีกหลายประเทศที่ยกเรื่องเอลฟ์และแฟร์รี่มาเป็นประเด็น ซึ่งพบได้ในประเทศที่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมากกว่าแค่การหยิบฉวยจินตนาการอันโรแมนติกของคนทั่วไป แต่ยังสะกิดความกังวลในเชิงสังคมและวัฒนธรรมต่อสิ่งแวดล้อมที่คงอยู่มายาวนานด้วย
     
       ประเด็นการคุกคามของโลกยุคใหม่ต่อธรรมชาติก็ปรากฏชัดในงานเขียนระดับคลาสสิคหลายชิ้น โดยเขาได้ยกตัวอย่างเช่น ผลงานเรื่อง “ลอร์ดออฟเดอะริงส์” ของ เจอาร์อาร์ โทลกิน ที่กล่าวถึงบ้านของชาวฮอบบิตที่ถูกคุกคามจากอุตสาหกรรมก่อมลภาวะอันสกปรกที่อยู่ในมือของปีศาจซารูแมน แต่สันติสุขและธรรมชาติก็เอาชนะภัยคุกคามนั้นได้ ซึ่งเป็นข้อความของการอนุรักษ์ที่ทรงพลัง
     
       ทั้งนี้ ยังมีผู้ประท้วงคนอื่นๆ ที่อาจไม่ได้สนใจในประเด็นเรื่องการทำลายถิ่นอาศัยของเอลฟ์ และอาจมีเหตุผลอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความถูกต้องตามกฎหมายในการสร้างถนน หรือการทำลายภูมิประเทศที่มีความหมายเชิงวัฒนธรรม แต่ไม่ว่าผู้ประท้วงจะเชื่อหรือไม่เชื่อในตำนานเอลฟ์ แรกฟอร์ดกล่าวว่า ตอนนี้โลกกำลังจับตาในการสร้างถนนดังกล่าว ในแง่ของความไม่ชอบธรรมทางกฎหมาย หรือการทำลายดินแดนเก่าแก่อันบริสุทธิ์
     
       “ไม่ว่าจะได้เห็นถนนที่ตัดผ่านหินลาวาเสร็จสมบูรณ์หรือไม่ แต่หากผู้ประท้วงหรือแม้แต่เอลฟ์ไม่อาจแก้ปัญหา เชื่อเถอะว่าระบบกฏหมายจะแก้ไขได้” แรดฟอร์ดระบุ







ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000005568
____________________

: Pageviews


เดลฟลายเอกซ์พลอเรอร์ โดรนที่กระพือปีกได้เอง และมีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก (เอเอฟพี)

       ด้วยน้ำหนักเพียง 20 กรัม ทำให้ “เดลฟลายเอกซ์พลอเรอร์”  โดรนที่ขับปีกบินได้อัตโนมัติ กลายเป็นโดรนที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก และเป็นผลงานต่อยอดของอดีตนักศึกษาเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน
     
       เดลฟลายเอกซ์พลอเรอร์ (DelFly Explorer) เป็นโดรนที่ขับปีกได้อัตโนมัติ มีรูปร่างคล้ายแมลงปอ และติดตั้งระบบมองเห็นแบบรองทิศทาง ทำให้ยานสามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้ด้วยตัวเอง และเซนเซอร์หลายๆ ตัวบนโดรนหนัก 20 กรัมนี้ช่วยให้ยานบินขึ้น เพิ่มความสูงเพื่อเลือกระดับเพดานบิน และยังบินไปได้ทั่วอยู่ภายในอาคาร
     
       ทั้งนี้ เดลฟลายเอกซ์พลอเรอร์เป็นผลงานต่อยอดจากผลงานของนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่ประดิษฐ์อากาศยานส่งเข้าประกวดในเวทีนานาชาติเมื่อปี 2005 โดยเดลฟลายรุ่นแรกเป็นอากาศยานขนาดเล็กที่มีความกว้างของปีกเพียง 51 เซ็นติเมตร และหนักเพียง 21 กรัม จากนั้นได้พัฒนาต่อยอดมาเรื่อย จนกลายเป็นเดลฟลายเอกซ์พลอเรอร์ที่ขยับปีกบินได้เองโดยไม่ต้องอาศัยการควบคุมจากภายนอก
     
     

     

 
       ข้อมูลจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของโครงการเดลฟลาย ของมหาวิทยาลัยเทคนิคเดลฟ์ท (Delft Technical University) เนเธอร์แลนด์ ระบุว่า ตอนนี้เดลฟลายเอกซ์พลอเรอร์สามารถบินต่อเนื่องได้นานที่สุด 9 นาที ตามความจุของแบตเตอรี่ โดยส่วนสำคัญที่สุดของยานคือเซนเซอร์ในการรับภาพ ที่ติดตั้งกล้องแบบมองได้รอบทิศทาง และทำงานร่วมกับการประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตรวจจับสิ่งกีดขวาง โดยมีน้ำหนักเพียง 4 กรัม
     
       ขณะที่เอเอฟพีระบุว่า โดรนลำนี้นับเป็นโดรนน้ำหนักเบาที่สุดในโลก และด้วยความสามารถในการมองภาพสามมิติของยานจะช่วยปฏิวัติวงการต่างๆ ที่เราคุ้นเคย ตั้งแต่การแสดงคอนเสิร์ตเพลงป็อป ไปจนถึงการทำเกษตร




กุยโด เดอ ครูน (Guido de Croon) หัวหน้าทีมพัฒนาโดรนเดลฟลายเอกซ์พลอเรอร์ สาธิตการทำงานของยาน (เอเอฟพี)

       

กระพือปีก
       


ขณะบิน

       


เปรียบกับยานเอฟ 16 (เอเอฟพี)

       


(บน) ภาพยานขณะบิน (ล่าง) ระบบมองเห็นแบบรอบทิศทาง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญใในการประมวลภาพและหลบหลีกสิ่งกีดขวาง และมีน้ำหนักเพียง 4 กรัม (MAVLab/TUDelft)

     






: Pageviews



ภาพผสมจากกล้องฮับเบิลเผยลำรังสีและคลื่นวิทยุที่ปล่อยมาจาก หลุมดำ ใจกลางกาแล็กซีเซนทอรัสเอ (Centaurus A) หรือ NGC5128 (นาซา)




ขณะที่คนทั่วไปอาจจะพอรู้จักหลุมดำในแง่ว่าเป็นวัตถุขนาดยักษ์ที่ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ธรรมชาติที่แท้จริงของ “หลุมดำ” เป็นอย่างไรนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันในแวดวงวิทยาศาสตร์และยังคงศึกษาเพื่อเข้าใจในธรรมชาติอันยากจะเข้าใจของวัตถุลึกลับในเอกภพนี้



งานวิจัยล่าสุดโดย สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking) นักฟิสิกส์ทฤษฎีและนักจักรวาลวิทยา จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge) อังกฤษ ได้เขย่าวงการจักรวาลวิทยาอีกครั้ง เมื่อเขาปรับเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับจุดคงที่ของหลุมดำ (black hole) ที่เรียกว่า “ขอบฟ้าเหตุการณ์” (event horizon) ซึ่งเป็นจุดที่แม้แต่แสงก็ไม่อาจหนีออกมาได้ ว่าอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง และเสนอ “ขอบฟ้าปรากฏ” (apparent horizon) ที่มีอยู่ชั่วคราวในหลุมดำขึ้นมาแทน



ไบรอัน โกเบอร์ไลน์ (Brian Koberlein) นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ และศาสตราจารย์ฟิสิกส์ประจำสถาบันเทคโนโลยีโรเชสเตอร์ (Rochester Institute of Technology) อธิบายผ่านบทความในยูนิเวอร์สทูเดย์ว่า ขอบฟ้าเหตุการณ์เป็นลักษณะสำคัญของหลุมดำ เป็นตำแหน่งที่หากมีสิ่งใดผ่านเข้าไปจะไม่อาจหวนกลับออกมาได้



ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ที่ขอบฟ้าเหตุการณ์เป็นตำแหน่งที่กาล-อวกาศบิดเบี้ยวผิดรูปเนื่องจากแรงโน้มถ่วงจนเราไม่อาจหนีออกมาได้ และธรรมชาติของขอบฟ้าเหตุการณ์ที่เข้าไปแล้วออกไม่ได้นี้ได้ท้าทายความเข้าใจเกี่ยวกับฟิสิกส์ของแรงโน้มถ่วง เพราะดูเหมือนขอบฟ้าเหตุการณ์จะละเมิดกฎอุณหพลศาสตร์ (thermodynamics)



ตัวอย่างที่โกเบอร์ไลน์ยกมาคือหนึ่งในกฎของอุณหพลศาสตร์ระบุว่าไม่มีสิ่งใดที่จะมีอุณหภูมิเป็นศูนย์องศาสัมบูรณ์ (absolute zero) เพราะแม้แต่ของที่เย็นจัดก็ยังแผ่ความร้อนออกมาบ้าง แต่ถ้าหลุมดำกักแสงเอาไว้ทั้งหมด นั่นหมายคามว่าหลุมดำก็จะไม่ปลดปล่อยความร้อนใดๆ ออกมา ดังนั้น หลุมดำจะมีอุณหภูมิศูนย์องศาสัมบูรณ์ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ ตามกฎอุณหพลศาสตร์



เจอเรนท์ ลูอิส (Geraint Lewis) ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ (University of Sydney) ออสเตรเลีย ได้เขียนบทความลงในสเปซด็อทคอม ชี้ถึงที่มาของปัญหาความขัดแย้งระหว่างทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปกับกลศาสตร์ควอนตัมที่นำมาสู่ผลงานใหม่ของฮอว์กิง โดยเริ่มปูพื้นจากกำเนิดของหลุมดำที่คาร์ล ชวาร์ซไชลด์ (Karl Schwarzschild) นักฟิสิกส์เยอรมันนำสมการจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์มาอธิบายถึงการมีหลุมดำ



สมการจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปที่ไอน์สไตน์นำเสนอเมื่อปี 1915 ได้ปฏิวัติความเข้าใจของเราเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง ซึ่งระหว่างที่เขาติดอยู่กับสมการของตัวเองนั้น ชวาร์ซไชลด์ก็นำสมการดังกล่าวมาอธิบายถึงสนามโน้มถ่วงที่กระจายอยู่รอบมวลเป็นทรงกลมรอบๆ และได้ข้อสรุปที่นำไปสู่การทำนายว่า มวลของวัตถุดังกล่าวจะยุบตัวลงมาปะทะกันตรงศูนย์กลางที่เรียกว่า “ซิงกูลาริตี” (singularity) ซึ่งมีสนามโน้มถ่วงอยู่รอบๆ และแม้แต่แสงก็ไม่อาจเล็ดลอดออกมาได้



ขณะที่เราทราบว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปนั้นอธิบายถึงแรงของความโน้มถ่วง แต่ลูอิสก็อธิบายต่อว่าในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นั้นก็มีการปฏิวัติความเข้าใจของเราเกี่ยวกับแรงพื้นฐานอื่นๆ ด้วย ซึ่งกลศาสตร์ควอนตัมสามารถให้รายละเอียดเกี่ยวกับแรงพื้นฐานอื่นๆ ได้อย่างงดงาม ทว่าปัญหาคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปและกลศาสตร์ควอนตัมกลับไปด้วยกันได้ไม่สวยนัก โดยกลศาสตร์ควอนตัมไม่สามารถอธิบายถึงแรงโน้มถ่วงได้ ขณะที่สัมพัทธภาพทั่วไปก็อธิบายถึงแรงโร้มถ่วงได้เพียงอย่างเดียว



“เมื่อพูดถึงทฤษฎีทั้งสองในสถานการณ์ที่มีแรงโน้มถ่วง และก็ไม่อาจเมินเฉยต่อกลศาสตร์ควอนตัมได้ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือแปะสมการทั้งสองเข้าด้วยกัน จนกว่าเราจะมีทฤษฎีสรรพสิ่ง (unified theory) ที่รวมแรงโน้มถ่วงและแรงพื้นฐานอื่นๆ เข้าเป็นสมการเดียวกันได้ นั่นคือสุดความสามารถที่เราทำได้” ลูอิสชี้ถึงปัญหาที่นักฟิสิกส์ทฤษฎีกำลังเผชิญ และบอกว่าฮอว์กิงเป็นตัวอย่างหนึ่งของผู้พยายามแก้ปัญหาดังกล่าว



ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ฮอว์กิงได้พยายามแก้ปัญหาดังกล่าว โดยเขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นที่ขอบฟ้าเหตุการณ์ในแง่ของกลศาสตร์ควอนตัม จุดที่มวลของอนุภาคที่กำลังครุ่กรุ่นผลุบเข้าและผลุบออก โดยที่ขอบฟ้าเหตุการณ์นั้นเกิดกระบวนการแยกอนุภาคที่ส่วนหนึ่งถูกดึงเข้าสู่ซิงกูลาริตี และส่วนหนึ่งหนีออกไปได้ ซึ่งฮอว์กิงได้แสดงให้เห็นว่า หลุมดำมีการแผ่รังสีสู่อวกาศ และดูดกลืนพลังงานจากแกนความโน้มถ่วงอย่างช้าๆ ซึ่งทำให้มีเวลาพอที่หลุมดำจะแผ่รังสีได้ และนั่นก็เป็นจุดจบของหลุมดำแบบดั่งเดิมตามคำอธิบายของลูอิส





สตีเฟน ฮอว์กิง (นาซา)




ทว่าเมื่อรวมทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมเข้าไปในการศึกษาเรื่องแรงโน้ม ลูอิสระบุว่าเราเจอปัญหาที่ใหญ่กว่านั่นคือปัญหาเรื่อง “ข้อมูล” (information) โดยตามทฤษฎีกลศาสตร์คอวนตัมนั้นจะให้ความสำคัญต่อข้อมูลอย่างมาก โดยใส่ใจต่อรายละเอียดของสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นวัตถุที่ตกลงไปในหลุมดำ ซึ่งหากยกตัวอย่างเป็นกาน้ำชา ตามทฤษฎีนี้ก็สนใจว่ากาน้ำชานั้นมีโปรตอนและอิเล็กตรอนเท่าไร อยู่ตำแหน่งไหน การจัดเรียงขององค์ประกอบเหล่านั้นเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า ากาน้ำชานั้นต่างจากวัตถุอื่นๆ



“เมื่อโยนกาน้ำชาเข้าไปในหลุมดำ มันจำถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง โดยเริ่มจากแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ จากนั้นจะแตกสลายเป็นอะตอม และถูกแยกจากกันก่อนจะถูกดูดกลืนสู่ซิงกาลาริตี แต่การแผ่รังสีของฮอว์กิงนั้นพยากรณ์ถึงการแผ่รังสีของหลุมดำ โดยที่ไม่ให้ข้อมูลว่าวัตถุอะไรที่ตกลงไป และไม่ว่าจะพิจารณาการแผ่รังสีดีแค่ไหนก็ไม่อาจระบุได้ว่านั่นคือกาน้ำชา ตู้เย็น หรือ กิ้งก่าอีกัวนา” ลูอิสระบุปัญหา



การตัดข้อมูลออกจากการศึกษาตามทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ และในช่วงไม่กี่ปีมานี้นักวิจัยหลายคนพยายามที่จะหาว่าบางที่อาจจะมีร่องรอยของข้อมูลที่หลุมดำดูดกลืนลงไป ซึ่งปัญหาของฟิสิกส์ยุคใหม่ที่เราเผชิญอยู่คือยังไม่มีกรอบทางคณิตศาสตร์ที่ทั้งกลศาสตร์ควอนตัมและแรงโน้มถ่วงทำงานไปด้วยกันได้



ลูอิสระบุว่า ในปี 2012 โจเซฟ พอลชินสกี (Joseph Polchinski) นักฟิสิกส์สหรัฐฯ ได้ศึกษาการแผ่รังสีฮอว์กิง (Hawking radiation) ที่บริเวณใกล้ๆ ขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำ โดยเฝ้าดูนุภาคคู่ถูกแยกด้วยสุญญากาศควอนตัม โดยอนุภาคส่วนหนึ่งถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ และอีกส่วนหนึ่งหนีออกสู่อวกาศได้อย่างอิสระ และใช้เคล็ดทางคณิตศาสตร์ตั้งคำถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ข้อมูลของอนุภาคที่ถูกดูดกลืนเข้าไปในหลุมดำนั้นไม่ได้หายไป แต่ถูกประทับลงบนอนุภาคที่หนีออกมาได้



ตามการเปรียบเทียบของลูอิสเมื่อโยนกิ้งก่าอีกัวนาลงหลุมดำ อีกัวนาจะผ่ากำแพงไฟที่เรียกว่า “ไฟร์วอลล์” (firewall) ซึ่งทำให้กิ้งก่าไหม้เกรียม แต่อย่างน้อยข้อมูลไม่ได้หายไปด้วย ซึ่งกิ้งก่าจะรู้ตัวว่าผ่านสู่กำแพงดังกล่าวหรือขอบฟ้าเหตุการณ์จากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปที่ผู้สังเกตจะผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์โดยไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของกำแพงดังกล่าว



งานวิจัยล่าสุดของฮอว์กิงแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการกวนทฤษฏีกลศาสตร์ควอนตัมเข้ากับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป โดยมวลที่กำลังเดือดอยู่ในสุญญากาศของหลุมดำนั้นก็คือข้อมูลของวัตถุที่ใหม้เกรียม และยังเสนอว่าหลุมดำมีขอบฟ้าเหตุการณ์ที่คงอยู่ชั่วคราวที่เรียกว่า “ขอบฟ้าปรากฏ” (apparent horizon) แทนขอบฟ้าเหตุการณ์ที่มีตำแหน่งคงที่ โดยขอบฟ้าปรากฏจะทำน้าที่ในการดักสสารและแผ่รังสีอยู่ภายในหลุมดำ แต่การดักดังกล่าวก็เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และท้ายสุดสสารและการแผ่รังสีจะถูกปล่อยออกมาพร้อมกับข้อมูล



“สิ่งที่ฮอว์กิงกำลังบอกคือด้วยการรวมกลศาสตร์ควอนตัมเข้าไป แนวคิดเกี่ยวกับหลุมดำที่ควบคุมโดยสมการของทฆษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเพียงอย่างเดียวหรือหลุมดำแบบดั้งเดิมนั้น ไมีมีอยู่ และขอบฟ้าเหตุการณ์ ซึ่งเป็นขอบเขตระหว่างการหนีและไม่อาจหนีนั้นก็มีความซับซ้อนมากกว่าที่เราเคยเข้าใจ แต่เราก็ระแคะระคายในเรื่องมานานกว่า 40 ปี นับแต่เขาเริ่มแก้ปัญหานี้ตั้งแต่ยุคแรกๆ” ลูอิสสรุปถึงผลงานวิจัยใหม่ของฮอว์กิง



อย่างไรก็ดี ท้ายสุดลูอิสระบุว่า แม้ว่าฮอว์กิงจะเป็นอัจฉริยะแห่งยุค แต่วิทยาศาสตร์ก็ต่างจากศาสนา ตรงที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ต้องเชื่อในสิ่งที่ยักษ์ใหญ่ของวงการบอก และนักวิทยาศาสตร์ยังต้องถกเถียงถึงปัญหาในเรื่องนี้ต่อไป












ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000012940
____________________

: Pageviews

ซิลเวสโตร มิเซอรา

แม้ไม่อาจเทียบสัมผัสจากมือจริงๆ แต่ “มือเทียม” ที่ทีมนักวิจัยสวิส-อิตาลีพัฒนาขึ้นมานี้ ก็ช่วยให้ผู้ที่สูญเสียมือรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างการสัมผัสผลส้มแมนดาริน ขวดและลูกเบสบอล

บทความที่ใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก
  • PopularPosts
  • Tags
  • Archive

บทความที่ได้รับความนิยม

  • พระพุทธเจ้าตรัส มนุษย์ต่างดาวมีจริง!!
    พระพุทธเจ้าตรัสถึงโลกอื่น (ปรโลก) อยู่เสมอๆ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า จักรวาล ประ...
  • สี่เหลี่ยมลูกบาศก์ปริศนา ปรากฎบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ 27/9/2012
    สี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ปริศนาที่ปรากฎบน พื้นผิวของดวงอาทิตย์  เมื่อวันที่ 27/9/2012 และปรากฎอยู่ข้างๆ ดวงอาทิตย์ เมื่อวานนี้ 30/9/2012 ...
  • ข้อความจากต่างมิติ - มิติคู่ขนาน, โลกใต้พิภพ, UFO, Yeti(เยติ)
    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตมาจากท่านเมตาตรอน (Metatron) ผู้รับการสื่อสาร: Tyberonn วันที่รับการสื่อสาร: 20 กรกฎาคม 2008 เรื่อง: อาณาจักรใต...
  • พลังจิต/ Psychic Power
    เรื่องราวพลังแห่งจินตนาการ ทั้งที่พิสูจน์ได้และไม่ได้ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พลังจิต คืออะไร ? / Psychic Power ? ...  สำหรับคนทั่วไป...
  • บทสรุปหลักฐาน UFOและมนุษย์ต่างดาว ที่รอสเวลล์
    ในวันที่ 8 กรกฎาคม 1947 เรืออากาศโทวอลเตอร์ โฮท ซึ่งเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกองทัพอากาศแห่งสหรัฐเมืองรอสเวลล์ ได้ประกาศอย่างเป็นทา...

ป้ายกำกับ

4179 Toutatis กระแสจิต กอลลัม กายทิพย์ กาแล็กซี่ กาแล็คซี่ แกะ 6 ขา ข้อความจากต่างมิติ ขั้วโลก คลายเครียด ความฝัน คำทำนาย คิริบาส เคปเลอร์-10ซี จักรวาล จันทร์ไททัน จิตใต้สำนึก ฉลามดึกดำบรรพ์ ช้างน้ำ ช้างแมมมอธ ชาวอินคา ชูปาคาบรา(Chupacabra ) เชียงใหม่ เชื้อไวรัส ซูเปอร์แมน ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาว ดาวคริปตัน ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวเคราะห์เพชร ดาวแคระแดง DG CVn ดาวเซเรส ดาวพฤหัสบดี ดาวพุธ(mercury) ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดาวหาง ดาวอังคาร ดำ โดรน(drone) ไดโนเสาร์ ถอดจิต ทฤษฎีโลกกลวง ทฤษฎีสมคบคิด ทวีปโบราณ ทะเลสีเลือด ที่สุดของโลก โทรจิต นกฟีนิกซ์ (Phoenix) นักบินอวกาศ นางเงือก นาซก้า (Nazca) นาซี น้ำ เนสซี แนะนำ บั้งไฟพญานาค บันทึกส่วนตัว บิ๊กฟุต(Bigfoot) เบอร์มิวด้า แบคทีเรีย ประเทศไทยยามราตรี ประสบการณ์แปลก ปริศนา ปาฏิหาริย์ ปิรามิด ปูยักษ์ ผ้าคลุมล่องหน ผาแต้ม ผีดูดเลือด ฝนดาวตก พญานาค พยากรณ์ พระพุทธเจ้า พลังงานจากวัตถุ พลังจิต พลังลี้ลับ พลังแห่งการผ่อนคลาย พลังแห่งความเชื่อมั่น พลังแห่งจินตนาการ พลังออร่า พายุทราย พิลึกโลก พีระมิด ฟอสซิล ฟอสซิลหอย ฟาโรห์ ฟาโรห์ Ramses II ภัยพิบัติ ภูเขาไฟ ภูเขาไฟRebel Dragon ภูติ มงกุฎทองคำ มนุษย์ต่างดาว มนุษย์ต่างดาวลักพาตัว มักกะลีผล มังกร มัมมี่ มายา มือเทียม เมฆประหลาด แม่มด โมอายเกาะอีสเตอร์ ยักษ์ ยานอวกาศ เยติ รถ รอดซ์ รอสเวลล์ ระบบสุริยะ รัสเซีย ล็อกเนสส์ ลี้ลับ ลูกไฟประหลาด โลก โลกคู่ขนาน โลกต่างดาว โลกต่างมิติ โลกใต้พิภพ โลกปรภพ โลกลี้ลับ โลกอื่น โลมา ไลบีเรีย วงแหวน วอยเอเจอร์1 วัตถุลึกลับ วิญญาณ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์หลอกลวง วิวัฒนาการ แวมไพร์ สตีเฟน ฮอว์กินส์ สโตนเฮนจ์ สฟิงซ์ สมาธิ สสารมืด สัตว์ประหลาด สารคดี สึนามิ สุสานฟาโรห์ หนังสือลึกลับ เหมืองอวกาศ อวกาศ อาณาจักรมู อารยธรรมโบราณ อีโบลา อียิปต์ อุกกาบาต เอลนีโญ(EI Nino) เอลฟ์ เอเลียน เอเลี่ยน ฮิตเลอร์ Antikythera Machine Area 51 auroras AUTEC Black hole Blobfish Costa Rica Crop circle DNA Download Ganymede Glow Worms Gnome Gravity Haarp highlight Hybrid INDIGO ISS Kepler-78b Kiribati Lacerta Mona Lisa Nasa Nebula OREGON VORTEX pโลกลี้ลับ picpost Popocatepetl Puma Punku StarChild Super Moon The Eye Titan moon Top tractor beam TRAPPIST-1 Tyndall Effect UFO videopost wallpaper Water Bears WormHole Zombie

คลังบทความ

  • ►  2018 (4)
    • ►  เมษายน (2)
    • ►  มีนาคม (2)
  • ►  2017 (4)
    • ►  กรกฎาคม (1)
    • ►  มีนาคม (2)
    • ►  มกราคม (1)
  • ►  2016 (27)
    • ►  พฤศจิกายน (5)
    • ►  ตุลาคม (2)
    • ►  กันยายน (5)
    • ►  กรกฎาคม (1)
    • ►  มิถุนายน (2)
    • ►  เมษายน (2)
    • ►  มีนาคม (5)
    • ►  กุมภาพันธ์ (2)
    • ►  มกราคม (3)
  • ►  2015 (30)
    • ►  สิงหาคม (1)
    • ►  กรกฎาคม (4)
    • ►  มิถุนายน (3)
    • ►  พฤษภาคม (1)
    • ►  เมษายน (1)
    • ►  มีนาคม (1)
    • ►  กุมภาพันธ์ (6)
    • ►  มกราคม (13)
  • ▼  2014 (99)
    • ►  ธันวาคม (2)
    • ►  พฤศจิกายน (9)
    • ►  ตุลาคม (15)
    • ►  กันยายน (8)
    • ►  สิงหาคม (2)
    • ►  กรกฎาคม (2)
    • ►  มิถุนายน (13)
    • ►  พฤษภาคม (11)
    • ►  เมษายน (5)
    • ►  มีนาคม (16)
    • ▼  กุมภาพันธ์ (7)
      • ดวงจันทร์ถูกอุกกาบาตชน แรงระเบิดเห็นถึงโลก Impact ...
      • พบดาวฤกษ์เก่าแก่ที่สุดกำเนิดหลัง “บิ๊กแบง” (Big Ba...
      • พิลึกโลก! ประท้วงตัดถนนผ่านแดนภูเขาไฟ หวั่นกระทบถิ...
      • ยลโฉม “เดลฟลายเอ็กซ์พลอเรอร์” โดรนน้ำหนักเบาที่สุด...
      • Argentina: UFO “Took Away The Jellyfish” from Mont...
      • ปัญหาที่ยุ่งเหยิงภายใน “หลุมดำ”
      • ก้าวอีกขั้น...“มือเทียม” ให้ความรู้สึกแตกต่างระหว่...
    • ►  มกราคม (9)
  • ►  2013 (177)
    • ►  ธันวาคม (3)
    • ►  พฤศจิกายน (16)
    • ►  ตุลาคม (23)
    • ►  กันยายน (15)
    • ►  สิงหาคม (8)
    • ►  กรกฎาคม (1)
    • ►  มิถุนายน (5)
    • ►  พฤษภาคม (11)
    • ►  เมษายน (16)
    • ►  มีนาคม (9)
    • ►  กุมภาพันธ์ (40)
    • ►  มกราคม (30)
  • ►  2012 (309)
    • ►  ธันวาคม (30)
    • ►  พฤศจิกายน (35)
    • ►  ตุลาคม (32)
    • ►  กันยายน (12)
    • ►  สิงหาคม (17)
    • ►  กรกฎาคม (39)
    • ►  มิถุนายน (33)
    • ►  พฤษภาคม (15)
    • ►  เมษายน (22)
    • ►  มีนาคม (25)
    • ►  กุมภาพันธ์ (23)
    • ►  มกราคม (26)
  • ►  2011 (246)
    • ►  ธันวาคม (27)
    • ►  พฤศจิกายน (15)
    • ►  ตุลาคม (50)
    • ►  กันยายน (56)
    • ►  สิงหาคม (26)
    • ►  กรกฎาคม (19)
    • ►  มิถุนายน (19)
    • ►  พฤษภาคม (25)
    • ►  มีนาคม (2)
    • ►  กุมภาพันธ์ (7)
  • ติดตาม
  • comments
  • สถิติ

ผู้ติดตาม

Follow @twitterdev

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Flag Counter hits counter
2014 Allmysteryworld. All rights reserved.
Designed by allmysteryworld