เป็นข่าวลือที่มีผู้คนทั่วโลกให้ความสมใจ กรณีมนุษย์ต่างดาว เชิญชวนนักท่องเที่ยวไปมีเพศสัมพันธ์บริเวณขั้วโลกเหนือเพื่อใช้“แสงเหนือ” สร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ “อินดีโก” ได้ผล สำเร็จ เต็มร้อยเปอร์เซนต์
บริเวณที่ให้คู่รักไปมีเซ็กซ์อาบแสงเหนือได้แก่พื้นที่ตอนเหนือประเทศ แคนนาดา “และเกาะไอซ์แลนด์
แต่นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ต่างส่ายหัวไม่เชื่อว่าการไปฉายแสงเหนือ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บไม่เห็นว่าจะได้เด็กพันธุ์พิเศษเหนือมนุษย์ธรรมดา แต่อย่างใด
นักยูเอฟโอ.วิทยา ได้แถลงการณ์ ในนามสมาคม เมื่อเร็วๆ นี้ว่า การสร้างเด็ก อัจริยะหรือซูเปอร์คิด หรือเรียกตามศัพท์ ใหม่ว่า “อินดีโก้” นั้น เป็นการผสมระหว่าง พันธุกรรมของมนุษย์โลกกับพันธุกรรมของมนุษย์ต่างดาว
ทั้งนี้ได้อ้างว่า เมื่อราว 10,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ต่างดาวผู้ทรงภูมิปัญญา ได้ทำการโคลนนิ่ง มนุษย์โลกมาครั้งหนึ่งแล้ว โดยผสมพันธุกรรมตัวเองกับลิงไม่มีหางชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสัตว์ฉลาดที่สุดในโลกในยุคนี้ผลผลิตออกมาก็คือมนุษย์โลกในทุกวันนี้
นักวิจัยเชื่อว่าการสร้างเด็ก “อินดีโก้” เป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์ใหม่ เป็นก่ารเพาะมนุษย์ให้ต่างไป สู่การเป็นมนุษย์อัจฉริยะ ซึ่งสามารถเอาตัวรอดจากมหาภัย พิบัติต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโลกใน อนาคตอันใกล้นี้
“เหมือนดังจารึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าบอกให้โนอาห์ซึ่งเผ่าพันธุ์พระเจ้าสร้างขึ้นมา สร้างเรืออาร์คเพื่อบรรทุกสิ่งมีชีวิตชนิดลาคู่ เพื่อหนีภัยพิบัติน้ำท่วมโลก “เกร็ก แลง นักยูเอฟโอ. วิทยาผู้ทำวิจัยเรื่อง เด็กอินดีโก้ กล่าว
“เมื่อมนุษย์ต่างดาววิวัฒนาการตัวเองเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาแห่งจักรวาล เมื่อนำพันธุกรรมมาผสมกับมนุษย์โลกปัจจุบันเด็กที่เกิดใหม่ก็อัจฉริยะ ไปตามพันธุกรรมเด่นที่สอดแทรกเข้ามาเมื่อครั้งปฏิสนธิ”
เกร็ก แลง เปิดเผยอีกว่า ตนเอง รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กอินดีโก้ มานานกว่า 10 ปีแล้ว ปัจจุบันพบว่า เด็กอัจฉริยะได้กำเนิดในทุกชาติ ทุกศาสนา และทุกสีผิวและเหตุที่มีข้อสรุปว่า เป็นการกระทำของมนุษย์ต่างดาว เนื่องจากได้ติดตามเก็บข้อมูล จากผู้หญิงที่ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไปเมื่อกลับมายังบ้าน ก็ตั้งท้องแล้วคลอดลูกบอกมา ซึ่งเป็นเด็กอัจฉริยะเป็นส่วนใหญ่
“เด็กอินดีโก้ ต่างแสดงความ สามารถเหนือมนุษย์ตั้งแต่เป็นทารก เช่นพูดได้เร็ว เข้าใจอะไรได้เร็ว พัฒนาการด้านสมองเร็วกว่าเด็กธรรมดาหลายเท่า เป็นเด็กคิดดี ทำดี ไม่มีอารมณ์โกรธ อาฆาตหรือคิดทำร้ายใคร” นักวิจัยเกร็ก กล่าว
ปัจจุบันเกร็กทำงานร่วมกับ นักยูเอฟโอ.วิทยาผู้มีชื่อเสียงเช่น ด.ร. โรเจอร์ เลียร์ ฌอน แคสตีล และทีมงาน ขนาดใหญ่ได้รวบรวมนักวิชาการทุก สาขาเอาไว้ ในนามสมาคมผู้สังเกตุการณ์ มนุษย์ต่างดาว
“มนุษย์เรามีความคิดต่ำชั้นกว่ามนุษย์ต่างดาวอีกมากขณะที่เรา คร่ำเคร่งผลิตอาวุธนิวเคลียร์เพื่อฆ่าล้างผลาญกัน มนุษย์ต่างดาวกลับสร้างมนุษย์เผ่าพันธุ์อินดีโก้ ขึ้นมาเพื่อรักษาโลกนี้ เอาไว้ ให้มีแต่สันติสุข”
สำหรับกรณีมีข่าวคู่รักมีเซ็กซ์ กันโดยอาบแสงเหนือไปด้วยสามารถ สร้างเด็กอินดีโก้ ได้ผลเต็มร้อยนั้นนักวิจัย เกร็กระบุว่าก็อาจเป็นได้เหมือนการโคลนนิ่งสิ่งมีชีวิตได้ใช้เซลล์เนื้อเยื่อมาผสมกัน แล้วใช้กระแสไฟฟ้าอย่างอ่อน กระตุ้นให้เกิดปฏิสนธิขึ้น
“หากแสงเหนือ มีประสิทธิภาพ กระตุ้นให้เกิดการปฏิสนธิระหว่างเซลล์เนื้อเยื่อ มนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาวจริงๆนี่คือข้อยืนยันอีกประการหนึ่งว่า มนุษย์ต่างดาวกำลังเร่งวิวัฒนาการ ให้มนุษย์โลกก้าวไปอีกขั้นเป็นการปรับสภาพมนุษย์โลก ให้สามารถดำรงชีวิตในโลกใบนี้ได้ต่อไปนั่นเอง”
สถานที่ถูกระบุว่าเหมาะ สำหรับการอาบแสงเหนือ คือชีน่า ฮอต สปริงส์ อยู่ในทะเลสาบ ร็อคเลค นอกเมืองแฟร์ แบ๊งค์ รัฐอลาสก้า ซึ่งที่นั่น มีน้ำพุร้อนมีอุณหภูมิ 106 องศาฟาห์เรนไฮต์
คาร์ล่า โธมัส อายุ 34 ปี แม่บ้าน ชาวเมืองนิวเจอร์ซีย์ เล่าประสบการณ์ ตัวเองว่า “ฉันกับสามี ใช้เวลาที่นี่เกือบสัปดาห์ เราอาบแสงเหนือกันทุกคืนเวลานี้ฉันตั้งท้อง 7 เดือนแล้ว”
สำหรับอุปนิสัยใจคอเด็กอินดีโก สามารถสังเกตได้ตั้งแต่เป็นทารกมีดังนี้
1.มีความเฉลียวฉลาดเหนือเด็กธรรมดา คิดอะไรได้เร็ว และเข้าใจได้เร็ว
2.มีความ บริสุทธิ์ ยุติธรรมในสันดาน
3.เบื่อเรียนในชั้น เรียนเบื่อต้องฟังคนพูดซ้ำ มักปลีกตัวไป ศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเองในสิ่งที่คนธรรมดา คิดว่าเด็กมันเพี้ยนไปแล้ว
4.ความคิดเร็ว กว่าปากพูด ดังนั้นจึงพูดไม่เป็นภาษา คนทั่วไปจึงคิดว่าเป็นเด็กออทิสติกหรือ เด็กเอ๋อ
5.เด็กอินดีโก สามารถรับรู้การสื่อสาร จากคนรอบข้างตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ผู้ที่ไปพูดกับเด็ก จะรู้สึกว่ามีใคร บางคนอยู่ในดวงตาเด็ก คอยตอบและ คุยกับคุณอยู่
นักวิจัยสรุปว่าการสังเกตเด็ก อินดีโก้ ได้โดยดูจากดวงตามีประกายตา เฉลียวฉลาดรับรู้ได้ทุกสิ่งเพียงแต่พูด ออกมาไม่ได้ ต่างกับเด็กทารกธรรมดา ดวงตาไม่จับที่หนึ่งที่ใดเลื่อนลอย ไม่แสดงการรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น
อยากได้เด็กอินดีโก้ ก็ลองไปทัวร์ที่อลาสก้าได้เลย อย่าลืมพกเมียไปด้วยนะ
ที่มา : แปลกทะลุโลก
____________________
เครดิต :
________________________________
loading...