ซั่งไห่อีสต์ - เกิดเรื่องงงโคตรในวงการโบราณคดี ซึ่งหากพิสูจน์ว่า เป็นความจริงขึ้นมาแล้วก็อาจถึงขั้นต้องรื้อการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์กันใหม่เลยทีเดียว
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อปี 2545 ได้มีการส่งนักวิทยาศาสตร์คณะหนึ่งไปตรวจวิเคราะห์พีระมิดลี้ลับ ซึ่งตั้งอยู่ในมณฑลชิงไห่ ใกล้กับภูเขาไป๋กง
เมื่อไปถึงที่นั่น พวกเขาได้ค้นพบถ่ำ 3 แห่ง และเห็นท่อเหล็กอยู่เต็มไปหมด มันจุ่มอยู่ในทะเลสาบน้ำเค็ม ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกัน
นักวิทยาศาสตร์คณะนี้ถึงกับสะดุ้ง เมื่อทราบว่า ท่อเหล็กเหล่านี้อาจมีอายุเก่าแก่ถึง150,000 ปี
จากการคำนวณอายุโดยสถาบันธรณีวิทยาปักกิ่งระบุว่า ถ้าท่อเหล็กจากอดีตกาลสร้างด้วยน้ำมือของมนุษย์จริง ๆ แล้ว ก็น่าจะถูกถลุงเมื่อประมาณ 150,000 ปีก่อน
การคำนวณอายุใช้วิธีการ ที่เรียกว่า การเรืองแสงด้วยความร้อน ( thermoluminescence) ซึ่งสามารถวัดได้ว่า ผลึกแร่โดนแสงอาทิตย์ หรือความร้อนมานานเท่าไร
ทว่าตามที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาค้นคว้ากันมา ยุคเหล็ก ซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์เริ่มนำเหล็กมาทำเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ในการดำรงชีวิตมีอายุไม่นานถึงขนาดนั้น
อีกทั้งมีมนุษย์อาศัยอยู่ในภูมิภาคแถบนี้ก็เมื่อ 30,000 ปีล่วงมาแล้ว หรือแม้แต่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีนั้น มนุษย์พวกเดียว ซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ก็คือพวกคนเร่ร่อน ซึ่งมีวิถีการดำรงชีวิต ที่ไม่น่าจะทิ้งวัตถุเช่นท่อเหล็กดังกล่าวไว้ให้มนุษย์ยุคหลังดูต่างหน้าได้
ฉะนั้น หากไอ้เจ้าท่อเหล็กปริศนาเป็นฝีมือของมนุษย์ทำขึ้นมาจริง ๆ เห็นทีนักประวัติศาสตร์ก็คงจะต้องประเมินองค์ความรู้เกี่ยวกับยุคก่อนประวัติศาสตร์กันใหม่
ขณะนี้นักวิทยาศาตร์กำลังพลิกตำราและบรรดาทฤษฎีทั้งหลายแหล่ เพื่อพยายามหาเหตุผลความเป็นไปได้เกี่ยวกับเรื่องนี้
หยาง จี๋ นักวิจัยประจำสถาบันสังคมศาสตร์ของจีน เชื่อว่า ท่อเหล็กเหล่านี้สร้างโดยสิ่งที่มีปัญญาเฉลียวฉลาด นอกจากนั้น เขายังไม่ปฏิเสธความคิดที่ว่า อาจเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาวด้วยซ้ำ
ขณะที่อีกหลายคนคิดว่า ท่อเหล็กน่าจะก่อตัวขึ้นมาจากน้ำมือของธรรมชาติ โดยอาจเกิดจากกระบวนการกลายเป็นฟอสซิลของรากไม้ หรือการแข็งตัวของหินหลอมละลาย ซึ่งระเบิดขึ้นมาจากใต้พิภพ และเป็นหินหลอมละลายที่อุดมด้วยแร่เหล็ก
ทว่าเรื่องลึกลับดำมืดยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากพบว่า ท่อเหล็กบางอันเป็นธาตุกัมมันตรังสี !
การไขปริศนาท่อเหล็กแห่งทะเลสาบชิงไห่จึงยังไม่จบลงง่าย ๆ
หลักฐานโบราณคดี อันพิลึกกึกกือที่พบบนแดนมังกรหาใช่มีเพียงแค่นี้ เพราะเมื่อปีที่แล้ว นักโบราณคดีเพิ่งค้นพบขลุ่ยอายุเก่าแก่ถึง 9,000 ปี ในมณฑลเหอหนัน ซึ่งยังคงเป็นปริศนาท้าทายให้ค้นหาคำตอบจนบัดนี้
ที่มา : http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?newsid=9570000072280
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เมื่อไปถึงที่นั่น พวกเขาได้ค้นพบถ่ำ 3 แห่ง และเห็นท่อเหล็กอยู่เต็มไปหมด มันจุ่มอยู่ในทะเลสาบน้ำเค็ม ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกัน
นักวิทยาศาสตร์คณะนี้ถึงกับสะดุ้ง เมื่อทราบว่า ท่อเหล็กเหล่านี้อาจมีอายุเก่าแก่ถึง150,000 ปี
จากการคำนวณอายุโดยสถาบันธรณีวิทยาปักกิ่งระบุว่า ถ้าท่อเหล็กจากอดีตกาลสร้างด้วยน้ำมือของมนุษย์จริง ๆ แล้ว ก็น่าจะถูกถลุงเมื่อประมาณ 150,000 ปีก่อน
การคำนวณอายุใช้วิธีการ ที่เรียกว่า การเรืองแสงด้วยความร้อน ( thermoluminescence) ซึ่งสามารถวัดได้ว่า ผลึกแร่โดนแสงอาทิตย์ หรือความร้อนมานานเท่าไร
ทว่าตามที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาค้นคว้ากันมา ยุคเหล็ก ซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์เริ่มนำเหล็กมาทำเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ในการดำรงชีวิตมีอายุไม่นานถึงขนาดนั้น
อีกทั้งมีมนุษย์อาศัยอยู่ในภูมิภาคแถบนี้ก็เมื่อ 30,000 ปีล่วงมาแล้ว หรือแม้แต่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีนั้น มนุษย์พวกเดียว ซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ก็คือพวกคนเร่ร่อน ซึ่งมีวิถีการดำรงชีวิต ที่ไม่น่าจะทิ้งวัตถุเช่นท่อเหล็กดังกล่าวไว้ให้มนุษย์ยุคหลังดูต่างหน้าได้
ฉะนั้น หากไอ้เจ้าท่อเหล็กปริศนาเป็นฝีมือของมนุษย์ทำขึ้นมาจริง ๆ เห็นทีนักประวัติศาสตร์ก็คงจะต้องประเมินองค์ความรู้เกี่ยวกับยุคก่อนประวัติศาสตร์กันใหม่
ขณะนี้นักวิทยาศาตร์กำลังพลิกตำราและบรรดาทฤษฎีทั้งหลายแหล่ เพื่อพยายามหาเหตุผลความเป็นไปได้เกี่ยวกับเรื่องนี้
หยาง จี๋ นักวิจัยประจำสถาบันสังคมศาสตร์ของจีน เชื่อว่า ท่อเหล็กเหล่านี้สร้างโดยสิ่งที่มีปัญญาเฉลียวฉลาด นอกจากนั้น เขายังไม่ปฏิเสธความคิดที่ว่า อาจเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาวด้วยซ้ำ
ขณะที่อีกหลายคนคิดว่า ท่อเหล็กน่าจะก่อตัวขึ้นมาจากน้ำมือของธรรมชาติ โดยอาจเกิดจากกระบวนการกลายเป็นฟอสซิลของรากไม้ หรือการแข็งตัวของหินหลอมละลาย ซึ่งระเบิดขึ้นมาจากใต้พิภพ และเป็นหินหลอมละลายที่อุดมด้วยแร่เหล็ก
ทว่าเรื่องลึกลับดำมืดยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากพบว่า ท่อเหล็กบางอันเป็นธาตุกัมมันตรังสี !
การไขปริศนาท่อเหล็กแห่งทะเลสาบชิงไห่จึงยังไม่จบลงง่าย ๆ
หลักฐานโบราณคดี อันพิลึกกึกกือที่พบบนแดนมังกรหาใช่มีเพียงแค่นี้ เพราะเมื่อปีที่แล้ว นักโบราณคดีเพิ่งค้นพบขลุ่ยอายุเก่าแก่ถึง 9,000 ปี ในมณฑลเหอหนัน ซึ่งยังคงเป็นปริศนาท้าทายให้ค้นหาคำตอบจนบัดนี้
ที่มา : http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?newsid=9570000072280
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
วันที่ 25 มิ.ย. เว็บไซต์ข่าวเดอะมิเรอร์ ประเทศอังกฤษ อ้างอิงรายงานข่าวจากประเทศจีน กรณีมีนักท่องเที่ยวชายจีน ซึ่งไม่ยอมเปิดเผยชื่อคนหนึ่ง อ้างว่า ตนไปเที่ยวแคมป์ปิ้งบริเวณหุบเขตในเขตไคว่หรัว ทางเหนือของกรุงปักกิ่ง และขณะเดินออกจากจุดพักไปปัสสาวะ ก็บังเอิญไปเจอกับ "สัตว์ประหลาด" ตัวหนึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายตัว "กอลลัม" ในภาพยนตร์ดังลอร์ด ออฟ เดอะริง และสามารถถ่ายภาพหลักฐานเอาไว้ได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ท้ายข่าวชิ้นนี้ของเดอะมิเรอร์ระบุว่า ภาพดังกล่าวมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ ขณะที่บางส่วนระบุว่าเป็นภาพตกแต่ง หรือภาพลวงโลก พร้อมตั้งคำถามว่า ผู้อ่านเห็นว่าภาพนี้จริง หรือแหกตา
อัปเดท
ท้ายที่สุดก็กลายเป็นนักแสดงที่ถ่ายหนังกำลังนั่งปลดทุกอยู่โดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า โอ้ละหนอ
ขอบคุณ คุณ monmon
ที่มา : http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd016Y3dOamMyTlE9PQ%3D%3D
____________________
อ้างอิง : http://www.mirror.co.uk/news/weird-news/pictured-mystery-monster-spotted-near-3762134
________________________________
ที่มา : http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd016Y3dOamMyTlE9PQ%3D%3D
____________________
อ้างอิง : http://www.mirror.co.uk/news/weird-news/pictured-mystery-monster-spotted-near-3762134
________________________________
ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวบ้านได้พบเห็นเมฆประหลาดปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าในหลายจังหวัดของประเทศไทย สร้างความตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นสิ่งที่หาดูได้ยาก แถมหลายคนยังเกรงว่าเมฆประหลาดที่ปรากฏขึ้นนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของภัยพิบัติก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ภายหลังก็ได้มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเรียกว่าปรากฏการณ์เมฆอาร์คัส (Arcus) หรือ เมฆกันชน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่มีอันตรายโดยตรง แต่ก็เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าจะเกิดฝนตกขึ้นในบริเวณนั้น และเนื่องจากเมฆอาร์คัสเป็นส่วนหนึ่งของเมฆฝนฟ้าคะนอง จึงมีความเสี่ยงจากฟ้าผ่าแฝงอยู่ โดยเฉพาะฟ้าผ่าแบบบวก (positive lighting) ซึ่งสามารถผ่าออกมาไกลจากตัวเมฆได้หลายกิโลเมตร
แต่ถึงกระนั้น ก็ต้องบอกว่า ปรากฏการณ์เมฆอาร์คัส ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ อีกทั้งปกติแล้วมักไม่ค่อยเกิดขึ้นในช่วงฤดูนี้ จึงสร้างความแปลกใจให้นักวิชาการอยู่บ้างเหมือนกัน ขณะที่ชาวบ้านบางส่วนก็เล่าลือกันไปต่าง ๆ นานา วันนี้ ลองไปย้อนดูกันว่า ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ปรากฏการณ์เมฆอาร์คัสนี้ ได้เกิดขึ้นที่จังหวัดไหนแล้วบ้าง
ภาพประกอบจาก สถานการณ์ภัยพิบัติ
5 มิถุนายน 2557 : นครราชสีมา
เกิดเมฆประหลาดลักษณะม้วนตัวยาวพาดผ่านลานย่าโม จังหวัดนครราชสีมา โดยเมฆลอยต่ำและเคลื่อนที่ จนผู้พบเห็นต้องบันทึกภาพและแชร์ต่อกันเป็นจำนวนมาก
6 มิถุนายน 2557 : อุดรธานี
เกิดเมฆกันชนขึ้นเหนือท้องฟ้าสนามบินอุดรธานี ในช่วงบ่ายวันที่ 6 มิถุนายน 2557 โดยเป็นภาพเมฆครึ้มดำขนาดใหญ่ลอยเหนือท้องฟ้าในระยะต่ำ เหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกคนถ่ายคลิปเอาไว้ และแชร์ต่อกันเป็นจำนวนมาก
9 มิถุนายน 2557 : เชียงราย
เมฆอาร์คัสปรากฏขึ้นอีกครั้งที่เหนือท้องฟ้าบริเวณสนามบินเก่า เขตเทศบาลเมืองเชียงราย ซึ่งหลังจากปรากฏการณ์เมฆอาร์คัสเกิดขึ้น ก็ทำให้เกิดฝนตกหนักและลมกระโชกแรงในพื้นที่
9 มิถุนายน 2557 : ยโสธร
เกิดปรากฏการณ์เมฆม้วนตัวเป็นท่อยาวไกลสุดลูกหูลูกตา พาดผ่านท้องฟ้าจังหวัดยโสธร ในเวลาประมาณ 18.00 น. สร้างความแปลกใจให้ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
ภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้
10 มิถุนายน 2557 : อุดรธานี
ปรากฏการณ์เมฆกันชนเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ที่จังหวัดอุดรธานี ในช่วงเย็นวันที่ 10 มิถุนายน และหลังจากเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น ก็ได้มีฝนตกหนัก มีฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ตามมาในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี
ภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก กรมทหารราบที่ 7
12 มิถุนายน 2557 : เชียงใหม่
ภาพลำแสงสีทองส่องทะลุก้อนใหญ่มืดครึ้มลงมายังพื้นเบื้องล่างที่ปรากฏขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ถูกส่งต่อกันว่อนสังคมออนไลน์ ซึ่งนี่คือปรากฏการณ์ทินดอลล์ (Tyndall Effect) ที่เกิดขึ้นเป็นปกติตามธรรมชาติ ทำให้หลายคนถ่ายภาพพร้อมแชร์กันทั่ว เพราะเป็นภาพสวยงามหาชมได้ยาก
12 มิถุนายน 2557 : อุตรดิตถ์
ที่สะพานน้ำริด ตำบลน้ำริด อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ เกิดเมฆก่อตัวซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เป็นภาพแปลกตาที่ทำให้ผู้พบเห็นแปลกใจ
ภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก เจริญพร โมบาย
15 มิถุนายน 2557 : ตรัง
หลังจากได้ยินข่าวเกิดเมฆประหลาดขึ้นในหลายพื้นที่ทางตอนบนของประเทศไทย ก็ถึงคราวเกิดขึ้นในภาคใต้บ้าง เมื่อในวันที่ 15 มิถุนายน 2557 เกิดเมฆลักษณะคล้ายมวลน้ำขนาดใหญ่กำลังจะตกลงมาด้านล่าง ในตำบลทุ่งยาว อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ทำให้ชาวบ้านคิดไปถึงลางร้าย เพราะเมฆมีลักษณะคล้ายคลื่นยักษ์สึนามิที่เคยถล่มจังหวัดตรังมาแล้ว ขณะที่หลายคนมองว่าเป็นแค่ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้
อย่างก็ตาม ไม่ว่าปรากฏการณ์นี้จะเป็นลางร้ายหรือไม่ หรือเป็นแค่ปรากฏการณ์ท่างธรรมชาติ
ทางด้านผู้เชียวชาญผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศ จาก NASA ได้ออกมาเตือนเกี่ยวภัย เอลนีโญ หายนะธรรมชาติครั้งใหญ่ ที่จะเกิดขึ้นกับทวีปเอเชีย
นาซาเตือน! เอเชียอาจเผชิญ เอลนีโญ หายนะธรรมชาติครั้งใหญ่
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่านายวิลเลียม แพตเซิร์ต ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศ ประจำสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (นาซา) ได้เปิดเผยข้อมูลที่รวบรวมได้จากดาวเทียม “เจสัน-2” ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีความเป็นไปได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญในทวีปเอเชีย
ทั้งนี้ข้อมูลระบุว่าเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสภาพอากาศ รวมถึงพื้นผิวของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยอุณหภูมิของผิวน้ำที่วัดได้จากน่านน้ำที่ห่างจากชายฝั่งประเทศเปรูไปทางตะวันตกราว 8,000 กิโลเมตร เริ่มอุ่นขึ้นกว่าปกติ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะนำมาซึ่งสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างสุดขั้ว และหายนะทางธรรมชาติครั้งใหญ่ ทั้งน้ำท่วม ภาวะแล้งจัด และความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรของประเทศต่างๆทั่วเอเชียในระดับที่ประเมินค่าไมได้
อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่สองของโลกต่อจากออสเตรเลีย ที่ออกคำเตือนต่อเอเชียถึงความเป็นไปได้ในการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญอีกครั้ง หลังจากที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 1997
ที่มา : MThai News
____________________
ทั้งนี้ข้อมูลระบุว่าเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสภาพอากาศ รวมถึงพื้นผิวของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยอุณหภูมิของผิวน้ำที่วัดได้จากน่านน้ำที่ห่างจากชายฝั่งประเทศเปรูไปทางตะวันตกราว 8,000 กิโลเมตร เริ่มอุ่นขึ้นกว่าปกติ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะนำมาซึ่งสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างสุดขั้ว และหายนะทางธรรมชาติครั้งใหญ่ ทั้งน้ำท่วม ภาวะแล้งจัด และความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรของประเทศต่างๆทั่วเอเชียในระดับที่ประเมินค่าไมได้
อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่สองของโลกต่อจากออสเตรเลีย ที่ออกคำเตือนต่อเอเชียถึงความเป็นไปได้ในการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญอีกครั้ง หลังจากที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 1997
ที่มา : MThai News
____________________
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (16 มิ.ย.) ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพจากเฟซบุ๊กของคุณเจริญพร โมบาย ซึ่งเป็นปรากฎการณ์เมฆประหลาดบนท้องฟ้า เหนือตลาดสดเทศบาลตำบลทุ่งยาวแห่งใหม่ต.ทุ่งยาว อ.ปะเหลียน จ.ตรัง เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. มีลักษณะคล้ายคลื่นขนาดใหญ่กำลังซัดเข้ามา โดยมีฉากหลังเป็นเทือกเขาบรรทัด รอยต่อ จ.ตรัง กับ จ.พัทลุง สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านที่พบเห็น โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาจับจ่ายสินค้า
ทั้งนี้ ผู้ที่ได้ชมภาพดังกล่าวต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ขณะที่บางร้ายก็โยงว่าอาจเป็นลางร้ายที่บ่งบอกอะไรบางอย่าง เพราะภาพดังกล่าวคล้ายกับสึนามิที่เคยพัดถล่มพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
ขอขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊กคุณเจริญพร โมบาย
UFO บินออกจากปล่องภูเขาไฟ Popocateptl ในเม็กซิโก 9 มิถุนายน 2014
หลายคนที่ไม่เคยเห็นภาพต่างฮือฮาแต่บางคนก็บอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งมีชาวสังคมออนไลน์บางคนติดตลกบอกว่าเป็นแสงจากเทพเจ้าธอร์จากภาพยนตร์ชื่อดังก็เป็นได้
ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ทินดอลล์ (Tyndall Effect) คือปรากฏการณ์กระเจิงแสง เมื่อฉายลำแสงไปในสารคอลลอยด์บางชนิด อนุภาคคอลลอยด์จะช่วยกระเจิงแสงและทำให้มองเห็นเป็นลำแสงได้ เช่นการทอแสงของอากาศที่มีละอองฝุ่นอยู่
ที่มา : MThai News
____________________
องค์การการบินอวกาศสหรัฐเตรียมทดสอบ 'จานบิน' เหนือฮาวายในวันพฤหัสบดี เป็นยานต้นแบบที่พัฒนาสำหรับส่งมนุษย์ไปดาวอังคาร
ยานที่มีชื่อว่า แอลดีเอสดี (Low Density Supersonic Decelerator) จะถูกนำขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์โดยใช้บอลลูนลมร้อน
เมื่อขึ้นไปถึงความสูง 120,000 ฟุต ยานจะถูกปล่อย จรวดขับดัน 4 ชุดจะเริ่มทำงาน ทำให้ยานหมุนรอบตัวเอง เมื่อหมุนจนตั้งลำนิ่งดีแล้ว จรวดนำส่งซึ่งใช้เชื้อเพลิงแข็งจะนำพายานขึ้นสู่ห้วงอวกาศ
วิศวกรคาดว่า ยานจะเคลื่อนที่ด้วยอัตรา 4 เท่าของความเร็วเสียง ทะยานไปถึงความสูง 180,000 ฟุต ซึ่งเป็นขอบนอกของสตราโตสเฟียร์
ในเที่ยวขาลง แอลดีเอสดีจะทดสอบระบบเบรคแบบใหม่ 2 ชุด ชุดแรกเป็นโครงสร้างรูปโดนัท พองตัวออกรอบจานบินเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวนอกของยาน เป็นตัวสร้างแรงเสียดทานกับอากาศ
พอยานชะลอลงเหลือ 2.5 เท่าของความเร็วเสียง ร่มจะกางออก ถ้าขั้นตอนนี้สำเร็จ มันจะเป็นร่มที่ใหญ่กว่าร่มใดๆที่เคยร่อนในอากาศเหนือผิวโลก
ในที่สุด ยานจะตกน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิก หลังจากถูกส่งขึ้นจากฐานทดสอบจรวดของกองทัพเรือสหรัฐบนเกาะควาอี ในฮาวาย ประมาณ 45 นาที
ไมเคิล กาซาริก ผู้ช่วยผู้อำนวยการนาซาฝ่ายเทคโนโลยีอวกาศ บอกว่า ไม่ว่าการทดสอบครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ นาซาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้มากมายทีเดียว
แม้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ยานยังจะต้องได้รับการปรับปรุงต่อไป ดาวอังคารมีบรรยากาศเบาบางกว่าโลกมาก จึงต้องลดน้ำหนักของยานลงอีก เพื่อให้สามารถร่อนลงจอดได้อย่างนุ่มนวล
ในปีหน้า นาซากำหนดจะบินทดสอบยานแอลดีเอสดีอีก 2 ครั้ง.
ที่มา :hxxp://news.voicetv.co.th/global/107085.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
พบฟอสซิลหอยและหินลิกไนต์ บริเวณ ต.ปกาสัย จ.กระบี่ คาดอายุไม่ต่ำกว่า 10 ล้านปี ประสานสำนักธรณีวิทยาตรวจสอบ ...
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 3 มิ.ย. 57 นายนิวัฒน์ วัฒนยมนาพร กรรมการหน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมวัฒนธรรมท้องถิ่น จ.กระบี่ พร้อมด้วย นายสริกร ถนอมสิน อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 202 ม.4 ต.ปกาสัย อ.เหนือคลอง เข้าตรวจสอบหินดินดาน ซึ่งถูกขุดขึ้นมาบริเวณสวนหลังบ้านนายสริกร โดยพบว่ามีฟอสซิลหอยน้ำจืดติดกันเป็นแผ่นใหญ่จำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นหอยฝาเดียว นอกจากนั้น ยังพบว่า ใต้ชั้นฟอสซิลหอย เป็นถ่านหินลิกไนต์สภาพอ่อนจำนวนมากด้วย
นายนิวัฒน์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า เป็นการขุดลึกลงไป 5 เมตร และพบแผ่นหินดินดาน มีหอยน้ำจืดที่ติดกันจนกลายเป็นฟอสซิล คาดว่ามีอายุประมาณ 10 ล้านปีขึ้นไป เพราะเป็นหอยชนิดเดียวกับที่พบที่สุสานหอยกระบี่ นอกจากนั้น ยังพบถ่านหินลิกไนต์ ซึ่งเป็นการทับถมกันของซากพืชจนกลายเป็นถ่านหินลิกไนต์ แต่ยังอยู่ในสภาพอ่อน นอกจากนั้น จากการสอบถามไปยังชาวบ้านจำนวนมาก ก็ทราบว่าเมื่อขุดบ่อน้ำลึก 5-6 เมตร ก็จะพบกับหินในลักษณะนี้เกือบทั้งหมู่บ้าน หลังจากนี้จะประสานกับผู้เกี่ยวข้องลงมาตรวจสอบต่อไป.
ที่มา :
____________________
นักวิทยาศาสตร์จัดดาวเคราะห์ยักษ์เข้าจำพวกใหม่ เปรียบเป็น 'ก็อดซิลลา' เมื่อเทียบกับโลกของเรา ชี้เป็นการค้นพบที่เปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับกำเนิดของจักรวาล
เซเวียร์ ดูมัสเกอ แห่งสถาบันฟิสิกดาราศาสตร์ฮาร์วาร์ด-สมิธโซเนียน บอกกับที่ประชุมของสมาคมนักดาราศาสตร์อเมริกัน ในเมืองบอสตัน ว่า กล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ตรวจพบดาวเคราะห์บริวารดวงหนึ่งของดาวฤกษ์เคปเลอร์-10
ดาวเคราะห์ดวงนี้ ถูกตั้งชื่อว่า เคปเลอร์-10ซี มีพื้นผิวเป็นหินแข็งคล้ายโลก แต่มีมวลมากกว่าโลก 17 เท่า และมีขนาดใหญ่กว่าโลก 2.3 เท่า
ที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์ไม่คาดคิดว่าดาวเคราะห์ที่มีเนื้อเป็นหินจะมีดวงโตถึงขนาดนี้ได้ เพราะดาวเคราะห์ที่มีเส้นรอบวงขนาดนั้นน่าจะสั่งสมก๊าซไฮโดรเจนจนกลายเป็นดาวเคราะห์ก๊าซไป อย่างเช่นดาวพฤหัสบดี
ดิมิทาร์ แซสลอฟ ผู้อำนวยการโครงการศึกษากำเนิดสิ่งมีชีวิตของฮาร์วาร์ด บอกว่า เคปเลอร์-10ซี เปรียบเป็นก็อดซิลลาเมื่อเทียบกับโลก
เคปเลอร์เป็นกล้องสำหรับล่าดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของเรา ตรวจจับและจัดประเภทวัตถุว่าเป็นดาวเคราะห์หรือไม่โดยดูจากการโคจรผ่านหน้าดาวฤกษ์ แต่กล้องตัวนี้ไม่สามารถระบุได้ว่าวัตถุนั้นมีเนื้อสารเป็นหินหรือก๊าซ
กล้องที่ตรวจวัดมวลของเคปเลอร์-10ซี คือ กล้องพิเศษตัวหนึ่งที่หมู่เกาะคานารี ทำหน้าที่จัดประเภทว่าวัตถุนั้นอยู่ในจำพวกซูเปอร์-เอิร์ธ หรือมินิ-เนปจูน
ดาวเคราะห์จำพวกมินิ-เนปจูน มีขนาดใหญ่กว่าโลก แต่เล็กกว่าดาวเนปจูนซึ่งเป็นดาวเคราะห์ก๊าซที่มีมวลหนาแน่น
@ ภาพแสดงดาวเคราะห์เคปเลอร์-10ซี (ดวงหน้า) ที่มีฉายาว่า 'เมกะ-เอิร์ธ' ขณะเคปเลอร์-10บี ซึ่งเป็นโลกของลาวา โคจรอยู่ใกล้กัน ทั้งสองโคจรรอบดาวฤกษ์ เคปเลอร์-10 ซึ่งคล้ายดวงอาทิตย์
ด้วยเหตุที่เคปเลอร์-10ซี มีความหนาแน่นเกินคาด จึงถูกจัดเป็นดาวเคราะห์จำพวกใหม่
ดาวเคราะห์ดวงนี้โคจรรอบดาวฤกษ์ที่คล้ายดวงอาทิตย์ในทุกๆ 45 วัน บ่งบอกว่าน่าจะมีอุณหภูมิสูงเกินกว่าสิ่งมีชีวิตจะอยู่รอดได้
ระบบสุริยะของเคปเลอร์-10 อยู่ห่างจากโลก 560 ปีแสง มีอายุ 11,000 ล้านปี ก่อตัวขึ้นหลังจากปรากฏการณ์บิกแบงไม่ถึง 3,000 ล้านปี
นั่นหมายความว่า วัตถุขนาดใหญ่ที่มีเนื้อสารเป็นหินสามารถก่อตัวขึ้นได้แม้ในเวลานั้นพวกธาตุหนักอย่างซิลิกอนและเหล็กยังมีน้อยมาก จักรวาลในช่วงแรกเริ่มนั้น มีแต่ไฮโดรเจนกับฮีเลียม
แซสลอฟ บอกว่า การค้นพบเคปเลอร์-10ซี บอกเราว่า ดาวเคราะห์ได้ถือกำเนิดขึ้นเร็วกว่าที่เคยเข้าใจกันมากทีเดียว และถ้ามีหินก็อาจมีสิ่งมีชีวิต.
ที่มา : hxxp://news.voicetv.co.th/
____________________
มีความประสงค์จะนำทองคำแผ่นทั้ง 6 แผ่น มาคืนให้กับสำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช
ทั้่งนี้ นางวรรณี เล่าว่า หลังจากทราบข่าวว่ามีชาวบ้านเขาชัยสน จ.พัทลุง ขุดเจอทองคำแผ่นจำนวนมากในสวนปาล์ม เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนจึงเดินทางไปติดต่อขอซื้อทองคำแผ่นจากชาวบ้านคนหนึ่ง โดยขอซื้อมา 5 แผ่น ในราคา 5.5 หมื่นบาท แล้วนำกลับมาเก็บไว้ที่บ้านพักใน จ.สุราษฎร์ธานี ปรากฏว่าจู่ๆ ก็เกิดปาฏิหาริย์ เมื่อพบว่า ทองคำแผ่นที่ซื้อมานั้นได้งอกเพิ่มมาอีก 1 แผ่น รวมเป็น 6 แผ่น และขณะที่เก็บทองคำแผ่นไว้ในบ้านก็มีปรากฏการณ์ฟ้าร้องฟ้าแลบเกิดขึ้นที่บ้านตนเกือบทุกวัน แม้ว่ากิจการค้าขายของตนเริ่มขายดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สบายใจ
เมื่อมีการประกาศให้ผู้ที่ครอบครองทองคำแผ่นที่ได้มาจากการขุดในสวนปาล์มมาคืนให้กับทางราชการเสีย โดยจะมีการซื้อกลับคืน จึงเห็นว่าทองคำแผ่นที่ซื้อมาครอบครองนั้น เป็นสมบัติโบราณและมีความศักดิ์สิทธิ์ กลัวว่าอาจจะเกิดเหตุร้ายขึ้น จึงนำทองคำแผ่นทั้ง 6 แผ่นมาคืน แต่ทางกรมศิลป์จะต้องจ่ายเงินคืนด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะไม่คืนทองคำ แต่จะนำไปถวายวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ในช่วงที่จะมีการบูรณะซ่อมแซมพระบรมธาตุเจดีย์ในอนาคตต่อไป
อย่างไรก็ตาม นายอาณัติ บำรุงวงศ์ ผอ.สำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช ได้รับทองคำแผ่นทั้ง 6 แผ่นคืนไว้ และรับปากว่าจะดำเนินการเบิกเงินให้แก่นางวรรณีในภายหลังต่อไป โดยมีการบันทึกปากคำและถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
ภาพจาก สปริงนิวส์
ที่มา : http://news.sanook.com/
____________________
เผยภาพน่าสะพรึง พายุทรายพัดถล่มกรุงเตหะรานของอิหร่าน ทำให้ทัศนวิสัยกลายเป็นสีส้ม เสียชีวิต 4 ราย
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2557 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า เกิดปรากฏการณ์พายุทรายพัดเข้าถล่มกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บอีกราว 30 ราย
นอกจากนี้ พายุทรายระลอกนี้ยังส่งผลให้เที่ยวบินภายในประเทศหลายเที่ยวต้องเปลี่ยนเส้นทางไปลงที่สนามบินอื่นชั่วคราว
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าว มีรายงานผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้ว 4 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกราว 30 ราย
คลิป Tehran storm โพสต์โดย คุณ Bahar Tavakolian
คลิป Huge Storm in Tehran...!!! โพสต์โดย คุณ moin samadi
ที่มา :http://hilight.kapook.com/view/103154
____________________
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2557 เว็บไซต์เทเลกราฟของอังกฤษ เปิดเผยคลิปวิดีโอ โซลาร์แฟลร์ หรือการลุกจ้าของดวงอาทิตย์ครั้งใหญ่ ที่ยานไอริส (IRIS) ของนาซาบันทึกได้เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นมวลสุริยะขนาดมหึมา ที่พุ่งออกมาจากพื้นผิวดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วสูงราว 1.5 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยขนาดของพายุสุริยะระลอกนี้ เมื่อเทียบกับโลกแล้วก็น่าจะใหญ่กว่าโลกราว 5 เท่าเลยทีเดียว
ที่มา : http://www.kapook.com/
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________