30 ต.ค. ตะลึง! นาซาจับภาพคล้าย"ดวงตายักษ์ไซคลอป"บนดาวพฤหัสฯ กำลังจ้องมองกล้อง"ฮับเบิล"
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อันที่ 30 ต.ค.ว่า นาซาสามารถจับภาพชวนระทึกบนดาวพฤหัสบดี เป็นภาพคล้ายดวงตายักษ์ไซคลอป กำลังจ้องมองกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิล ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำรวจดาวเคราะห์ของนาซา
รายงานระบุว่า ภาพดังกล่าวถูกบันทึกขณะดวงจันทร์"กานีเมด"ซึ่งเป็นดาวบริวารที่ 7 ของดาวพฤัสบดี ได้ทอดเงามายังดาวพฤหัสบดี ขณะที่ดวงจันทร์ดังกล่าวกำลังโคจรอยู่ระหว่างดวงอาทิตย์และดาวพฤหัสบดี โดยเงานี้ได้ทอดข้ามพายุยักษ์ขนาดใหญ่ (The Great Red Spot) ทำให้เกิดภาพเหมือนคล้ายลูกตายักษ์ไซคลอป กำลังจ้องมองกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิล ที่กำลังจับภาพบนดาวพฤหัสบดี พอดี
ทั้งนี้ พายุยักษ์ใหญ่นี้ได้ถูกพบเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1655 เป็นปรากฎการณ์ของพายุหมุนทวนลม ที่เชื่อว่าจะมีอายุมานานกว่า 300-400 ปี มีความใหญ่กว้างราว 40,000 กิโลเมตร
ที่มา : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1414643067
____________________
เครดิต : kaokala.fc
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
นักวิทยาศาสตร์อาวุโสอเมริกัน อัดคลิป เผยความลับสุดยอด ก่อนตาย เคยทำงานร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์ ‘แอเรีย 51’ ศึกษาเรื่อง มนุษย์ต่างดาว และจานบิน ยูเอฟโอ ชี้ เอเลี่ยนมีจริง มีความเป็นเพื่อน แถมยังคุยกับมนุษย์ทางโทรจิต
เมื่อวันที่ 29 ต.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวที่สร้างความฮือฮา และปริศนาลี้ลับ เกี่ยวกับ เอเลี่ยน มนุษย์ต่างดาว, ยูเอฟโอ ยิ่งมีความเป็นจริงมากขึ้น เมื่อ ดร.บอยด์ บุชแมน วิศวกรชาวอเมริกัน ซึ่งเคยทำงานร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์ Area 51 ได้เปิดเผยข้อมูลลับสุดยอดก่อนเสียชีวิต เกี่ยวกับหน้าที่การงานของเขา ซึ่งได้ศึกษาเรื่องจานบิน UFO และชีวิตของมนุษย์ต่างดาว ที่ฐานปฏิบัติการลับแห่งหนึ่ง
ดร.บุชแมน ตัดสินใจเปิดเผยข้อมูลของมนุษย์ต่างดาว และจานบินนอกโลก ผ่านการบันทึกลงในคลิปวิดีโอสั้นๆ ก่อนเขาจะเสียชีวิตเมื่อส.ค.ที่ผ่านมา ‘ด้วยความเคารพต่อยานมนุษย์ต่างดาว พวกเรา: พลเมืองอเมริกันกำลังทำงานเกี่ยวกับจานบิน UFO 24 ชม.ต่อวัน’ ดร.บุชแมน เปิดเผยถึงภารกิจของเขาและทีมงาน พร้อมระบุว่า พวกตนกำลังพยายามเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าควรทำอะไร
ดร.บอยด์ บุชแมน นักวิทยาศาสตร์อาวุโสอเมริกัน
อดีตนักวิทยาศาสตร์อาวุโส ผู้นี้ ได้อธิบายเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวไว้ว่า ตามที่พวกตนรู้นั้น เอเลี่ยนสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งเหมือนกับในฝูงปศุสัตว์ คือ กลุ่มหนึ่งทำหน้าที่เป็นโคบาล หรือผู้ต้อนสัตว์ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง เหมือนกับผู้ขโมยวัวควาย โดยกลุ่มเอเลี่ยน ที่คล้ายกับเป็นโคบาลนั้น มีลักษณะนิสัยที่มีความเป็นมิตรมากกว่า มีความสัมพันธ์ที่ดี มีความเป็นเพื่อนและช่วยเหลือกับพวกตนมากกว่า
ขณะเดียวกัน ดร.บุชแมน ยังอธิบายถึงลักษณะของเอเลี่ยน และเผยภาพถ่ายของเอเลี่ยนด้วยว่า มีความสูงแค่เพียง 5 ฟุตเท่านั้น โดยมี เอเลี่ยน หนึ่ง หรือ 2 ตน ของพวกเอเลี่ยนเหล่านี้ มีอายุยืนถึง 230 ปี ขณะที่ ตาและจมูกของเอเลี่ยนมีความแตกต่างจากมนุษย์ แต่ก็มีนิ้วมือและนิ้วเท้าข้างละ 5 นิ้วเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม (ที่น่าทึ่ง) คือ เอเลี่ยนมีความสามารถในการสื่อสารทางโทรจิต
‘พวกเขาสามารถใช้เสียงของเขา สื่อสารผ่านทางโทรจิตเพื่อคุยกับคุณ’ ดร.บุชแมน กล่าวถึงความสามารถเหนือมนุษย์ของเอเลี่ยน
บันทึกคลิปวิดีโอ ก่อนเสียชีวิต
ทั้งนี้ ตามประวัติของดร. บอยด์ บุชแมน ในวิกิพีเดีย ระบุไว้ว่า เขาเกิดเมื่อปี 2479 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2557 โดยดร.บุชแมน เป็นอดีตวิศวกรอาวุโสด้านการวิจัย ซึ่งทำงานอยู่ที่ Lockheed Martin Skunk Work , Texas Instrument และ Hugh Aircraft เป็นหนึ่งในวิศวกร ที่เป็นผู้บุกเบิกขีปนาวุธ สติงเกอร์ ( Stinger Missile)
ก่อนที่ดร.บุชแมน จะเสียชีวิต เขาได้บันทึกวิดีโอ เกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัว ขณะทำงานกับทีมนักวิทยาศาสตร์ แอเรีย 51 (Area 51), UFO เอเลี่ยน มนุษย์ต่างดาว และการต้านแรงโน้มถ่วงโลก โดย ดร.บุชแมนเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานมานานกว่า 40 ปี นอกจากนั้น ยังได้รับรางวัลด้านสิทธิบัตรถึง 28 รางวัล อีกทั้ง ดร. บุชแมน ยังเคยทำงานสัญญาจ้างด้านกลาโหม กับ ฮิวจ์แอร์คราฟท์, เจเนอรัล ไดนามิกส์ และบริษัทลอกฮีด มาร์ตินด้วย
ที่มา : ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก เดอะ มิร์เรอร์
http://www.thairath.co.th/content/459928____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
(29 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้คนทั่วโลกต่างตื่นตระหนกกับกระแสข่าวเรื่องอิทธิพลของพายุสุริยะ ที่มีการเผยแพร่ข่าวเป็นวงกว้างจากเว็บไซต์แห่งหนึ่ง จนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ชาวโลกหวาดหวั่น เพราะมีข้อมูลระบุว่า โลกจะตกอยู่ในความมืดมิดเป็นเวลา 3-6 วันต่อเนื่อง ช่วงเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้
ตามรายงานระบุว่า เว็บไซต์ Hunzlers.com ได้เผยแพร่ข่าวที่อ้างข้อมูลจากองค์การนาซ่า ระบุว่า ช่วงเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ จะเกิดปรากฏการณ์ความมืดมิดต่อเนื่อง เนื่องจากอิทธิพลของพายุสุริยะ ที่จะทำให้มีขยะอวกาศและฝุ่นบดบังแสงอาทิตย์เกือบทั้งหมด จะหลงเหลือเพียงแสงมัวๆ จนแยกไม่ออกว่าเวลาใดเป็นกลางวันหรือกลางคืน
ทั้งนี้ ภายหลังจากข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก ต่างเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการถกเถียงขึ้น ขณะที่ทางนักวิชาการต่างออกมายืนยันว่า กระแสข่าวดังกล่าวเป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีปรากฏการณ์โลกมืดใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมกับยืนยันว่า พายุสุริยะไม่ทำให้เกิดฝุ่นหรือแผ่นดินไหวบนโลก อิทธิพลของพายุสุริยะที่ส่งผลกระทบต่อโลกมีเพียงระบบการทำงานของดาวเทียมเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดตัวแทนขององค์การนาซ่าได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า กระแสข่าวดังกล่าวไม่มีความเป็นจริงและไม่ใช่ข้อมูลที่เผยแพร่มาจากองค์การนาซ่าแต่อย่างใด จึงแจ้งเตือนไปยังผู้คนในโลกออนไลน์ทั่วโลก ควรใช้วิจารณญาณและข้อเท็จจริงในการรับรู้ข่าวสาร ซึ่งปัจจุบันพบข่าวลือเกี่ยวกับปรากฏการณ์แปลกๆ ที่อ้างว่าส่งผลกระทบต่อโลกออกมาเป็นจำนวนมาก
ที่มา : sanook.com
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
สารคดี ในวันที่มนุษย์ต้องจากโลกใบนี้ และค้นหาโลกใบใหม่
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=mXPv38zwbeY
________________________________
หลายท่านอาจจะเคยได้ยินมาว่า ในอวกาศนั้นไม่มีเสียง…แต่ความจริงแล้วไม่ถูกต้องซะทีเดียว
เสียงในอวกาศเกิดขึ้นในรูปของแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดการสั่นสะเทือนที่ขยายและหดตัวเป็นจังหวะในช่วงความยาวคลื่นที่ใกล้เคียงกัน จึงเกิดเป็นเสียง
องค์การ NASA ได้สร้างอุปกรณ์พิเศษที่ช่วยบันทึกการสั่นสะเทือนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ และแปลงมาเป็นเสียงที่หูของคนเราสามารถรับฟังได้
สิ่งที่กำลังจะได้ยินจากคลิปต่อไปนี้ คือเสียงจริงๆ ที่เกิดขึ้นในอวกาศ จากดาวเคราะห์และดาวบริวาร
เช่น ดาวเสาร์ดาวเนปจูน ดาวพฤหัส ดาวยูเรนัส ดาวบริวารไอโอ มิรันด้า รวมทั้งเสียงจากโลกด้วย
จะเขย่าโสตประสาทสักแค่ไหน ลองไปฟังกันเลย
ที่มา : http://www.meekhao.com/news/living-earth/
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ทำเอาหมีขาวถึงกับน้ำตาซึม เมื่อได้พบปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับชายใกล้ตายคนหนึ่ง
ซึ่งสิ่งเล็กๆในวันนั้น ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของทั้งโรงพยาบาล!!!
โดย James Wathen คือผู้ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาล Whitney County ซึ่งอาการของเขามีแต่จะทรุดไม่หยุด จนกินอาหารไม่ได้ และแม้แต่แพทย์ก็ยังวินิจฉัยว่าเขาจะอยู่ในโลกนี้ได้อีกไม่นานแล้ว
คุณตาเองก็ดูจะรู้ตัวดี ฉะนั้นเขาจึงขอร้องพยาบาลว่า “ความหวังสุดท้ายในชีวิตของผม คือการได้พบหน้าเจ้าหมาที่รักอีกครั้ง”
ซึ่งพยาบาลก็ไม่ได้นิ่งเฉยต่อความหวังเฮือกสุดท้ายนั้น และทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ช่วยกันติดต่อประสานงานกับศูนย์พิทักษ์สัตว์ จนในที่สุดก็ตามหา “Bubba” หมาตัวดังกล่าวพบ
ทั้งนี้นโยบายของโรงพยาบาลมีอยู่ว่า “ห้ามนำสัตว์เข้ามา” ฉะนั้นบรรดาเจ้าหน้าจึงต้องร่วมแรง ร่วมใจแอบนำมันเข้ามาแบบลับๆ จนในที่สุดเจ้า Bubba กับคุณตา Wathen ก็ได้พบกัน โดยพยาบาลเล่าว่า “ทันทีที่ทั้งสองเจอหน้ากัน คุณตาก็น้ำตาไหล ส่วนเจ้าหมาน้อยก็โผเข้าไปหาเค้าสุดตัว”
แต่เรื่องซึ้งไม่ได้จบเพียงเท่านี้ เพราะจู่ๆปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เมื่ออาการของคุณตาดีขึ้นอย่างน่าประหลาดหลังจากวันนั้น ร่างกายที่เคยซีดเซียวก็ฟื้นฟู และโรคร้ายก็เริ่มจางหายไป คุณตาเริ่มกลับมากินข้าวได้อีกครั้ง และแม้แต่แพทย์ที่เฝ้าสังเกตก็ยังยืนยันว่า “จริงอยู่ว่าคุณตายังป่วย แต่ตอนนี้เค้ารอดพ้นจากความตายแล้วแน่ๆ และตัวคุณตาเองก็เหมือนได้ค้นพบเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ยิ่งกว่านั้น เมื่อทางโรงพยาบาล Whitney County ได้เห็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น ก็ได้เกิดการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่ทันที เพื่ออนุญาติให้ผู้ป่วยสามารถพบกับสัตว์ของตัวเองได้ และนำป้ายห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าอาคารออกทั้งหมด เพราะบรรดาผู้บริหารเชื่อแล้วว่า “สัตว์สามารถฟื้นฟูสุขภาพมนุษย์ได้อย่างมหัศจรรย์จริงๆ”
ที่มา: thedodo รูปภาพ: glee.wikiahttp://www.meekhao.com/animals/dying-man-meet-dog/
ซึ่งสิ่งเล็กๆในวันนั้น ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของทั้งโรงพยาบาล!!!
โดย James Wathen คือผู้ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาล Whitney County ซึ่งอาการของเขามีแต่จะทรุดไม่หยุด จนกินอาหารไม่ได้ และแม้แต่แพทย์ก็ยังวินิจฉัยว่าเขาจะอยู่ในโลกนี้ได้อีกไม่นานแล้ว
คุณตาเองก็ดูจะรู้ตัวดี ฉะนั้นเขาจึงขอร้องพยาบาลว่า “ความหวังสุดท้ายในชีวิตของผม คือการได้พบหน้าเจ้าหมาที่รักอีกครั้ง”
ซึ่งพยาบาลก็ไม่ได้นิ่งเฉยต่อความหวังเฮือกสุดท้ายนั้น และทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ช่วยกันติดต่อประสานงานกับศูนย์พิทักษ์สัตว์ จนในที่สุดก็ตามหา “Bubba” หมาตัวดังกล่าวพบ
ทั้งนี้นโยบายของโรงพยาบาลมีอยู่ว่า “ห้ามนำสัตว์เข้ามา” ฉะนั้นบรรดาเจ้าหน้าจึงต้องร่วมแรง ร่วมใจแอบนำมันเข้ามาแบบลับๆ จนในที่สุดเจ้า Bubba กับคุณตา Wathen ก็ได้พบกัน โดยพยาบาลเล่าว่า “ทันทีที่ทั้งสองเจอหน้ากัน คุณตาก็น้ำตาไหล ส่วนเจ้าหมาน้อยก็โผเข้าไปหาเค้าสุดตัว”
แต่เรื่องซึ้งไม่ได้จบเพียงเท่านี้ เพราะจู่ๆปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เมื่ออาการของคุณตาดีขึ้นอย่างน่าประหลาดหลังจากวันนั้น ร่างกายที่เคยซีดเซียวก็ฟื้นฟู และโรคร้ายก็เริ่มจางหายไป คุณตาเริ่มกลับมากินข้าวได้อีกครั้ง และแม้แต่แพทย์ที่เฝ้าสังเกตก็ยังยืนยันว่า “จริงอยู่ว่าคุณตายังป่วย แต่ตอนนี้เค้ารอดพ้นจากความตายแล้วแน่ๆ และตัวคุณตาเองก็เหมือนได้ค้นพบเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ยิ่งกว่านั้น เมื่อทางโรงพยาบาล Whitney County ได้เห็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น ก็ได้เกิดการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่ทันที เพื่ออนุญาติให้ผู้ป่วยสามารถพบกับสัตว์ของตัวเองได้ และนำป้ายห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าอาคารออกทั้งหมด เพราะบรรดาผู้บริหารเชื่อแล้วว่า “สัตว์สามารถฟื้นฟูสุขภาพมนุษย์ได้อย่างมหัศจรรย์จริงๆ”
ที่มา: thedodo รูปภาพ: glee.wikiahttp://www.meekhao.com/animals/dying-man-meet-dog/
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 19 ต.ค. นายวรวิทย์ ตันวุฒิบัณฑิตย์ ปราชย์ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านดาราศาสตร์ กล่าวว่า จากที่จะมีปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ดาวหาง C/2013 A1 SIDING SPRING โคจรเฉียดดาวอังคาร องค์กรนาซ่าได้เผยแพร่คลิปภาพจำลองเหตุการณ์ให้ประชาชนผู้สนใจเรียนรู้ได้ศึกษา ได้รับความสนใจจำนวนมาก โดยดาวหางจะเฉียดเข้าใกล้กับดาวอังคารที่สุดในวันที่ 19 ต.ค. ในระยะใกล้ผิวพื้น 139,500 กิโลเมตร ด้วยความเร็ว 203,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือ 56 กิโลเมตรต่อวินาที ด้วยส่วนหัวหรือนิวเครียสใหญ่ 5 ใมล์ ส่วนโคม่าหรือฝุ่นที่ระเหิดรอบหัวใหญ่ 160,000 กิโลเมตร พร้อมด้วยหางยาว 480,000 กิโลเมตร แต่ไม่สามารถชมปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ ต้องชมผ่านการถ่ายทอดสัญญาณภาพ ของยานอวกาศที่โคจรรอบๆ ดาวอังคาร
นายวรวิทย์ กล่าวต่อว่า ดาวหาง C/2013 A1 SIDING SPRING ค้นพบโดยนักดาราศาสตร์ ชาวออสเตรเลีย Robert Mcnaught ที่หอดูดาว Siding Spring การเฉียดดาวอังคารครั้งนี้ของดาวหางฝุ่นจำนวนมหาศาลที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูงสามารถทำลายยานอวกาศได้ ขณะที่ดาวหางเข้าใกล้ดาวอังคารมากที่สุด ยานอวกาศจะถูกนำไปหลบไว้อีกข้างหนึ่งของดาวอังคารเพื่อความปลอดภัย
ด้าน นายบุญเลิศ ไพรินทร์ หรือโหรสว. กล่าวว่า ต้องเข้าใจว่าดาวอังคารมีอิทธิพลด้านใดด้วยก่อนการทำนาย คือดาวอังคารเป็นดาวเจ้าแห่งสงคราม ความหมายคือว่า เป็นดาวที่เกี่ยวกับความขัดแย้ง เลือดตกยางออก และความสับสนอลม่านของผู้คนทั้งหลายในสังคม ถ้ามีดาวหางที่มีขนาดใหญ่มากและเฉียดเข้ามาใกล้โลก โดยธรรมชาติดาวหางเป็นปาบเคราะห์ คือเป็นเรื่องของให้โทษมากกว่าให้คุณ เมื่อดาวอังคารเป็นดาวบาปเคราะห์ เกี่ยวกับเรื่องสงคราม เกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งของคนจำนวนมาก ดาวหางที่เข้ามาที่เป็นบาปเคราะห์ เข้ามาเฉียดดาวอังคาร ทำให้ดาวอังคารมีความฮึกเหิมมากขึ้น ความขัดแย้งมากขึ้น และโอกาสที่จะเกิดเลือดตกยางออกก็มีมากขึ้นตามไปด้วย
นายบุญเลิศ กล่าวต่อว่า ฉะนั้นดาวหางเฉียดใกล้ดาวอังคาร ไม่เกิดผลดีแก่ชาวโลกและชาวกรุงเทพฯ เพราว่าขณะนี้ดาวอังคารอยู่ราศีธนู ซึ่งทำตรีโกณกับดวงเมืองและดวงโลกที่ราศีเมษ เพราะฉะนั้นส่งกระแสแรงมาก เพราะว่าเป็นธาตุเดียวกันคือธาตุไฟ เมื่ออังคารอยู่ในธาตุไฟ และดาวหางเฉียดเข้ามาเสริมให้ธาตุไฟและดาวเจ้าสงครามลุกกระพือขึ้น ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคมได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องน่าเป็นห่วงในวันที่ 19 ต.ค.นี้
ถ้ามองด้านเชิงการเมืองของเมืองไทย มันมาบรรจบกันพอดี คือเหตุการณ์ทางโหราศาสตร์กับทางการเมือง จะมีพิธีพระราชทานเพลิงพ.อ.อภิวันท์ วิริชัย ในวันนี้เช่นกัน เป็นสิ่งที่น่าสังเกตว่า ดวงดาวกับเหตุการณ์ทางการเมืองจะมาบรรจบกันพอดี เหตุการณ์ความวุ่นวายสับสนกัน ความขัดแย้งอาจเกิดขึ้น ถ้ารัฐบาลไม่สามารถจะควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในสภาพปกติได้ รัฐบาลก็จะต้องพูดคุยกับแกนนำให้รู้ ให้เข้าใจว่า บ้านเมืองกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่ดี จะต้องร่วมมือในการปฏิรูปประเทศไปสู่โลกใหม่ สังคมใหม่ ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก่อนเกิดปัญหาขึ้นมาได้
บางครั้งเราไม่สามารถเอาชนะอิทธิพลจากดวงดาวได้ เว้นแต่ผู้นำจะใช้มีสติและปัญญาบวก คุณธรรม ถ้ามีสติปัญญา คุณธรรม จะสามารถชนะอิทธิพลดวงดาวได้ เพราะฉะนั้น อยากให้รัฐบาลใช้สติปัญญา และคุณธรรมกำกับในการบริหารประเทศ ถ้าความเป็นธรรมเกิดขึ้น จะทำให้ทุกคนผู้คนที่คิดจะต่อต้าน สร้างความขัดแย้งก็จะทุเลาลงได้ เพราะความเป็นธรรม ยุติธรรม รัฐบาลไม่เลือกข้างที่จะปกครอง หรือทำอะไรเป็นการทำร้ายจิตใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยไม่เป็นธรรม
ที่มา : .khaosod.co.th
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ทฤษฎีหนึ่งเดาว่า ใช้สืบราชการลับจากห้องทดลองด้านอวกาศของจีน ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่าเครื่องบรรทุกอุปกรณ์จารกรรมมากมาย บ้างเดาไปในแนวหนังเจมส์ บอนด์ว่าใช้จับตาดาวเทียมของประเทศอื่น ขณะที่กองทัพสหรัฐไม่ปริปากใดๆ ระบุเพียงว่าเป็นการทดลองในวงโคจร
เครื่องบินหุ่นยนต์รุ่นนี้มี 2 ลำ ขนาดสูง 2.9 เมตร ยาวเกือบ 9 เมตร หนัก 4,989 กิโลกรัม ผลิตโดยบริษัทโบอิ้ง ทางกองทัพสหรัฐส่งไปโคจรนอกอวกาศเพื่อปฏิบัติภารกิจมาแล้ว 3 ครั้ง นับจากปี 2553 ครั้งที่ 3 เริ่มเมื่อเดือนธันวาคม 2555 และจะเริ่มภารกิจครั้งที่ 4 ในปีหน้า โดยบินออกจากฐานที่แหลมคานาเวอรัล รัฐฟลอริดา
ที่มา : http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE16Y3hOamd3TUE9PQ%3D%3D
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
นาซาแปลกใจ เห็นวัตถุลึกลับ ลักษณะคล้ายจานบิน ยูเอฟโอ บินอยู่ใกล้ๆ สถานีอวกาศนานาชาติ เหมือนเฝ้าดูนักบินอวกาศสองคนกำลังปฏิบัติหน้าที่ออกมาเดินนอกสถานีอวกาศ
เว็บไซต์ นสพ.เดอะ มิร์เรอร์ ในอังกฤษรายงานเมื่อ 15 ต.ค.ว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NASA) เผยแพร่ภาพปริศนาที่ปรากฏอยู่ใน ‘ฟุตเทจ’ ที่บันทึกโดยนาซา แสดงให้เห็นเหมือนมียานลึกลับ ลักษณะคล้าย จานบิน ของมนุษย์ต่างดาว บินอยู่ใกล้ๆ สถานีอวกาศนานาชาติ ขณะที่ รีด ไวส์แมน และอเล็กซานเดอร์ เกอร์ส นักบินอวกาศ 2 คนจากสำนักงานอวกาศยุโรป กำลังปฏิบัติหน้าที่ ออกมาเดินนอกสถานีอวกาศ
วัตถุลึกลับ คล้ายจานบิน บินอยู่ใกล้สถานีอวกาศนานาชาติ
จากคลิปความยาว 5 นาที ที่ถูกนำมาโพสต์ลงในยูทูบ แสดงให้เห็นว่า มียานลึกลับ บินอยู่ใกล้ๆ สถานีอวกาศ เป็นเวลา 2-3 นาที ขณะนักบินอวกาศทั้งสองกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่นอกสถานีอวกาศ จนสามารถสังเกตเห็นได้จากในภาพถ่าย ที่ด้านหลังมืดสนิท เนื่องจากเป็นห้วงอวกาศระหว่างโลกกับสถานีอวกาศนานาชาติ
ขณะเดียวกัน ด้านเจ้าหน้าที่องค์การนาซา แม้จะมีความประหลาดใจต่อภาพที่มีลักษณะคล้ายจานบินของมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ยังคงไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อวัตถุลึกลับนี้ เพียงแต่ทางนาซายืนยันว่า นักบินอวกาศทั้งสองคนมีการปฏิบัติหน้าที่ออกมาเดินนอกสถานีอวกาศจริง เมื่อวันอังคารที่ 7 ตุลาคม เพื่อซ่อมแซมแก้ไขปัญหาของสถานีอวกาศที่ชำรุดเสียหาย อีกทั้งยังมีกำหนดที่ต้องออกมาเดินนอกสถานีอวกาศอีกครั้งในวันที่ 15 ต.ค.
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/457149
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
หลังจากชาวไทยฮือฮากับปูทะเลขนาดหนักเกือบ 3 กิโลกรัมมาแล้วเมื่อวานนี้ ล่าสุด เว็บไซต์ข่าวเดลีเอ็กเพลสส์ อังกฤษ รายงานว่าทางนาย 'ควินตัน วินเทอร์' ได้จับภาพทางอากาศพบปูขนาดยักษ์ลำตัวยาวไม่ต่ำกว่า 50 ฟุต หรือประมาณ 15 เมตร ที่บริเวณท่าเรือเมืองวิทสเทเบิล ประเทศอังกฤษ
นายควินตันกล่าวว่าเขาได้จับภาพดังกล่าวได้เมื่อปีที่แล้วขณะกำลังจับสันดอนทรายของท่าเรือนั้น ทีแรกเขาสังเกตเห็นเพียงว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวในน้ำและผุดขึ้นมา ซึ่งคิดว่าเป็นเพียงเศษไม้ที่ลอยน้ำก่อนจะมองสังเกตดูอีกทีพบว่ามันคือปูขนาดมหึมาไม่ผิดเพี้ยนแน่
อย่างไรก็ดี ชาวอินเทอร์เน็ตต่างยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นภาพจริง โดยบางส่วนมองว่าอาจเป็นเพียงการเกิดข้อผิดพลาดจากการถ่ายภาพเท่านั้น
ที่มา : http://www.posttoday.com/
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง : express.co.uk, Weird Whitstable
________________________________
เนื่องจาก "น้ำ" คือส่วนประกอบที่สำคัญยิ่งของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงพยายามอย่างหนักเพื่อค้นหาที่มาของมัน ตามแนวทฤษฎีต้นกำเนิดของน้ำบนโลกทฤษฎีหนึ่งนั้น เชื่อว่า น้ำในระบบสุริยะของเรานั้น เกิดขึ้นจากการรวมตัวทางเคมีที่เหมาะสมซึ่งเกิดขึ้นหลังจากกำเนิดดวงอาทิตย์
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่า "น้ำ" จะมีก็แต่ในระบบดาวฤกษ์บางแห่ง ซึ่งก่อรูปขึ้นมาในแบบเดียวกันกับการก่อกำเนิดของระบบสุริยะเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิจัยกลุ่มหนึ่งจากสถาบันวิทยาศาสตร์คาร์เนกี สหรัฐอเมริกา ร่วมกันศึกษาวิจัยจนพบข้อสรุปใหม่ว่า อย่างน้อยที่สุดน้ำบางส่วนบนโลกของเรามีอายุเก่าแก่มากกว่าดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะของเรา และมีที่มาจากห้วงอวกาศระหว่างระบบดาวฤกษ์ หรือ อินเตอร์สเตลลาร์ ไม่ได้เกิดขึ้นหลังกำเนิดดวงอาทิตย์แต่อย่างใด
โคเนล อเลกซานเดอร์ หนึ่งในทีมวิจัยและเป็นผู้เขียนรายงานผลการศึกษาวิจัยดังกล่าวระบุว่า ข้อสรุปดังกล่าวได้จากการตรวจสอบสัดส่วนของธาตุไฮโดรเจนและดิวเทอเรียม เปรียบเทียบระหว่างน้ำบนโลกและน้ำที่อยู่ในสภาพของน้ำแข็งที่พบในห้วงอวกาศระหว่างดวงดาวเพราะอุณหภูมิเย็นจัดและเพราะรังสีที่ก่ออนุภาคไอออนหรือ ไอออนไนซิง เรดิเอชั่น
ดิวเทอเรียมนั้น เป็นไอโซโทปของไฮโดรเจน ต่างมีโปรตอนในนิวเคลียส 1 ตัวเหมือนกัน แต่ดิวเทอเรียม มีนิวตรอนเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งอนุภาค และมีมวลมากกว่าไฮโดรเจนเป็น 2 เท่า ดิวเทอเรียมจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดสภาพเงื่อนไขแบบพิเศษ เช่น สภาวะอุณหภูมิเย็นจัดและเต็มไปด้วยไอออนไนซิง เรดิเอชั่นดังกล่าว น้ำบนโลกมีดิวเทอเรียมอยู่ด้วย แต่มีในปริมาณที่ต่ำกว่ามาก กล่าวคือ ต่ำกว่าน้ำ (ในสภาพน้ำแข็ง) ในอินเตอร์สเตลลาร์ราว 30 เท่าตัว
ดังนั้นการตรวจสอบสัดส่วนระหว่างไฮโดรเจนและดิวเทอเรียมในน้ำ สามารถบอกได้ว่า น้ำดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบใด อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่แน่ใจว่า ดิวเทอเรียมบนโลกนั้น เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการเกิดดวงอาทิตย์หรือมาจากห้วงอวกาศระหว่างดวงดาวกันแน่
เพื่อหาข้อพิสูจน์เรื่องนี้ทีมวิจัยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมของระบบสุริยะย้อนหลังไปเมื่อเกิดขึ้นใหม่ๆ เมื่อครั้งที่ดาวเคราะห์ทั้งหลายที่เป็นดาวบริวารของดวงอาทิตย์ ยังคงสภาพเป็นแผ่นสสารรูปจานวนอยู่รอบดวงอาทิตย์ ที่มีศัพท์ทางดาราศาสตร์เรียกว่า "จานดาวเคราะห์ก่อนเกิด" หรือ "โพรโตแพลเนททารี ดิสก์" แบบจำลองดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า อุณหภูมิและสภาพการแผ่รังสีในเวลานั้น เป็นไปไม่ได้ที่ระบบสุริยะที่ยังเยาว์วัยดังกล่าว จะสร้างสัดส่วนของไฮโดรเจนและดิวเทอเรียมในแบบที่นักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบพบในมหาสมุทรบนพื้นโลก และจากดาวหางต่างๆ
ด้วยเหตุนี้ ทีมวิจัยจึงได้ข้อสรุปว่า อย่างน้อยที่สุดมีน้ำบนพื้นโลกรวมกันอยู่ระหว่าง 7 เปอร์เซ็นต์ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นน้ำที่มีแหล่งกำเนิดอยู่ในห้วงอวกาศระหว่างดวงดาวซึ่งเป็นตำแหน่งที่ระบบสุริยะก่อกำเนิดขึ้นนั่นเอง
และเพราะในอินเตอร์สเตลลาร์เดียวกันนั้นไม่ได้ก่อกำเนิดระบบสุริยะของเราเพียงระบบเดียว หากแต่ยังมีระบบดาวฤกษ์อีกเป็นจำนวนมากก่อกำเนิดขึ้นมาด้วย ดังนั้น น้ำจึงไม่ได้มีอยู่เพียงบนผืนโลก หากแต่อาจพบเห็นได้ทั่วไปบนดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะทั้งหลาย ตลอดทั่วทั้งกาแล็กซีทางช้างเผือกอีกด้วย
โคเนล อเล็กซานเดอร์บอกว่า ถ้าหากน้ำบนโลกมีแหล่งกำเนิดจากสสารในอินเตอร์สเตลลาร์จริง ก็เป็นไปได้ว่าว่า จะมีน้ำหรือน้ำแข็งที่มีสสารเริ่มต้นชีวิต หรือพรีไบโอติค ออร์แกนิค อยู่มากมายใน "จานดาวเคราะห์ก่อนเกิด" ที่ก่อให้เกิดระบบดวงดาวอื่นๆ
หรือหมายถึงว่า สิ่งมีชีวิต อาจมีอยู่ดกดื่นทั่วไปในกาแเล็กซีทางช้างเผือกนี้นั่นเอง!
ที่มา : นสพ.มติชน
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
John Smart ผู้ก่อตั้ง Acceleration Studies Foundation เผยภายในปี 2020
มนุษย์เราจะมีแฝดดิจิตอลที่มีนิสัยคล้ายกับเรามากที่สุด มันจะช่วยตอบอีเมล์ สนทนากับคนรอบข้าง
ทั้งครอบครัว เพื่อน รวมไปถึงคู่รักและคนทั่วไป ถือเป็นเลขาส่วนตัวที่สามารถตัดสินใจแทนเราได้
และหากเราเสียชีวิตไปฝาแฝดดิจิตอลก็ยังคงอยู่ไว้พูดคุยกับลูกหลานต่อไป
ที่มา : MySci
____________________
เครดิต :
ที่มา : MySci
____________________
เครดิต :
วันที่ 3 ต.ค.2014 ไลบีเรีย-พบเหยื่ออีโบลาที่ตายไปแล้ว กลับลุกคืนชีพขึ้นมาจากความตายอีกครั้ง ซึ่งรอบนี้เป็นรายที่ 3 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ที่ทางการไลบีเรียยอมเปิดเผยและได้แพร่ภาพหน้าผู้เคราะห์ร้ายโรคอีโบลา ที่ได้ลุกขึ้นมาจากความตาย
ชื่อของเหยื่อยังไม่ได้รับการปล่อยออกมาจากองค์การอนามัยโลก และข่าวของผู้ป่วยที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากความตายนั้น มีระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ทางการสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันที่ 30 กย.2014 ว่าพบผู้ติดเชื้อเหยื่ออีโบลารายแรกชื่อ โธมัส อีริค ดันแคน ในเมืองดัลลัสของรัฐเท็กซัส หลังจากนั้นไม่นานเมื่อวันที่ 3 ต.ค.57 ทางสาธารณสุขสหรัฐ ได้เฝ้าระวังติดตามพลเมืองอีกราว 100 คน ที่คาดว่าเกี่ยวข้องหรือติดต่อกับผู้ติดเชื้อรายแรก และได้สั่งกักบริเวณญาติผู้ติดเชื้ออีโบลารายแรกในประเทศ 4 คน และกำลังเฝ้าติดตามอาการผู้ติดต่อกับผู้ป่วยอีกราว 80 คน
ส่วนเหยื่ออีโบลาที่ตายแล้วคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง 2 ราย ที่ไลบีเรียนั้น เป็นศพผู้ป่วยหญิงทั้ง 2 คนที่มีอายุ 40 และ 60 ปี ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายและเดินปะปนร่วมกับคนเป็น ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างความแตกตื่นและความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างมาก
รัฐบาลไลบีเรียกำลังกล่าวหาว่าประเทศสหรัฐอเมริกาได้สร้างไวรัสอีโบลาเป็นอาวุธชีวภาพที่จะใช้สำหรับทำสงครามในอนาคต พลเมืองของไลบีเรียได้แสดงการประท้วงหนัก และความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นว่าสหรัฐอาจมีการทดสอบ 'พัฒนาอาวุธชีวภาพ' ที่อยู่รูปแบบของเชื้อไวรัสกับประชาชนของไลบีเรีย
ทั้งนี้ การระบาดของอีโบลาครั้งล่าสุดนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีศูนย์กลางอยู่ประเทศกินี, เซียร์ราลีโอน และไลบีเรีย ก่อนจะขยายไปในไนจีเรียและเซเนกัลในเวลาต่อมา จนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 3,000 คน จากผู้ป่วย 6,553 ราย โดยหน่วยงานป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐประเมินว่า ผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มจำนวนกว่า1.4 ล้านคน ก่อนสิ้นเดือนม.ค.ปีหน้า
ที่มา : http://bigamericannews.com/2014/09/30/africa-confirms-3rd-ebola-victim-rises-from-the-dead-releases-picture-of-first-ebola-zombie-captured/ http://www.thairath.co.th/content/454284 - See more at: http://warningdisasters.blogspot.com/2014/10/3-100.html#sthash.iaqvCgKA.dpuf
____________________
เครดิต : http://warningdisasters.blogspot.com/2014/10/3-100.html
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เรากำลังเข้าสู่ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
แท้จริงแล้ว มนุษย์อาจไม่ได้ก่อกำเนิด เกิดขึ้นบนโลกโดยตรง
แต่เราถูกดัดแปลงพันธุกรรม ผสมกับสัตว์โลกจำพวกลิง
มีหลากหลาย เหตุผลนานับประการ ที่บ่งบอกว่าเราไม่ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นที่นี่
1. มนุษย์ไม่มีสันชาตยานเกี่ยวกับภัยธรรมชาติ ที่กำลังจะเกิด แต่สัตว์ทุกชนิดบนโลกมีติดตัวตั้งแต่กำเนิด
2. สัตว์ทุกชนิด เรียนรู้การเอาตัวรอดจากภัยสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่กำเนิด แต่มนุษย์ไม่มี
3. สิ่งมีชีวิต ทุกชนิดบนโลก มีระบบนิเวศ ที่เกื้อกูลซึ่งกัน และมีห่วงโซ่อาหาร มีผู้ล่า มีผู้ถูกล่า อนึ่งเพื่อการควบคุมประชากร ไม่ให้มีมาก มีน้อย
แต่มนุษย์ ไม่มีระบบ บนโลกใบนี้ เป็นผู้ล่าฝ่ายเดียว
และมิหนำซ้ำ มนุษย์ยังเป็นตัวทำลาย ระบบนิเวศอื่นๆที่มีอยู่บนโลก และยังค่อยทำลายโลกไปทีนิดๆ
เนื่องจากเป็นผู้ล่า อยู่เหนือห่วงโซอาหาร ประชากรมนุษย์จึงเพิ่มขึ้นๆ มากขึ้นๆ เรื่อยๆ สิ่งที่ลดประชากรมนุษย์ได้ คือ มนุษย์ด้วยกัน เช่น สงคราม การสร้างเชื้อโรค ไม่ใช่เพราะความต้องการการอยู่รอด แต่มันคือ อำนาจ
4. ไม่มีสัตว์ชนิดใด ก้าวพ้นโลกใบนี้ แต่มนุษย์ทำได้
นั้นหมายความว่า ระบบนิเวศของมนุษย์ ไม่ได้มีขอบเขตอยู่บนโลก
แต่มันกว้างกว่านั้น
5.สัตว์ทุกชนิด เรียนที่รู้จะนำทรัพยากรที่ไร้ค่า มาใช้อย่างคุ้มค่าพอเพียง เช่น ปูเสฉวน ใช้เปลือกหอยที่ตายเป็นบ้าน นกใช้หญ้าที่แห้งตายทำรัง
แต่มนุษย์เรียนรู้ ที่จะนำทรัพยากรมาประยุกต์ เพื่อใช้อย่างฟุ่มเฟือย บ้าคลั่ง
6.สัตว์มีวิวัฒนาการ ด้านการปรับตัวเองให้เข้ากับธรรมชาติ เพื่อการล่า และหลบซ่อน จากผู้ล่า เพือความอยู่รอด โดยไม่ทำลายธรรมชาติ
มนุษย์มีวิวัฒนาการด้านความ คิด โดยเอาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ เพื่อให้ตนเองอยู่รอด โดยไม่คำนึงถึงธรรมชาติ
7. หากต้นฝรั่งต้นหนึ่ง เปรียบเสมือน ระบบสุริยะของเรา ผลฝรั่งเขียวสด ชุ่มฉ่ำ คือดวงดาวต่างๆ และแล้วก็ได้มีแมลงโบกโบยบิน มาจากนอก ระบบสุริยะ วางไข่ไว้ที่ผลฝรั่ง (โลก)
เจ้าหนอน (มนุษย์) ค่อยๆกัดกินผลฝรั่งอย่างช้าๆ ด้วยความเมามันส์ ค่อยๆเติบโต
เมื่อถึงเวลาผลฝรั่งเริ่มเน่า เจ้าหนอนก็เจริญเต็มที่ ติดปีกโบยบินไปยังผลใกล้เคียง (ดาวอังคาร) แต่มันก็เน่าแล้วเช่นกัน
กระนั้นเจ้าแมลง ก็ต้องยอมเสี่ยง บินไประบบสรุยะอื่น (ต้นอื่น)
หรือถ้ามีกำลังมากพอก็บินไปยังไร่ฝรั่งอื่น (กาแลคซี่อื่นๆ)
8. สุดท้าย
เรากำลังปรับตัวเข้ากับโลกได้ ในระดับหนึ่ง นั้นคือ
มนุษย์ เพศหญิงที่แสน อ่อนโยนสวยงาม บอบบาง น่าถนุถนอม
เพศชายชาตรี แข็งแรง บึกบึน ร่างกายกำยำ
โดยปกติแล้ว ธรรมชาติ สัตว์ตัวเมีย มักจะ ตัวใหญ่บึกบึนแข็งแรง ไม่ค่อยสวยงาม น่ามองนัก
ผิดกับตัวผู้ที่ มีสีสันงดงาม ดั่งอัญมณี ยัวยวนให้ น่าเชยชม
......................และเรากำลังคล้ายกันแล้ว.............................
@allmysteryworld
ดาวเทียมสวิฟต์ของนาซ่าเผยภาพเปลวไฟการปะทุ ดาวแคระจากนอกระบบสุริยะ ดาวแคระสีแดง DG CVn ตั้งอยู่ประมาณ 60 ปีแสง
การประทุครั้งรุนแรงเท่าที่เคยบันทึกมา ของดวงอาทิตย์ อยู่ที่ X45
แต่ดาวแคระสีแดง DG CVn วัดได้อยู่ที่ X100,000
อุณหภูมิสูงสุดของเปลวไฟ สูงถึง 360 ล้านองศาฟาเรนไฮต์ (200 ล้านเซลเซียส) ประทุมากกว่า 12 ครั้ง และร้อนกว่าแกนกลางของดวงอาทิตย์ (โว้ว...)
ซึ่ง พลังงานที่ปล่อยออกมาอย่าง สเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้าที่รบกวนคลื่นวิทยุ และอาจส่งผลกระทบต่อการสื่อสารบนโลกได้ในอนาคต
อ้างอิง : http://www.nasa.gov/content/goddard/nasas-swift-mission-observes-mega-flares-from-a-mini-star/#.VCwV-vl_vX5
________________________________