นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวสมินสเตอร์ ของอังกฤษ เผยผลการวิจัยที่ว่า การชมภาพยนตร์สยองขวัญราว 90 นาทีช่วยเผาผลาญแคลอรี่ในร่างกายได้ 113 แคลอรี่ เท่ากับพลงังานในชอคโกแลตแท่งเล็ก 1 แท่ง
ทั้งนี้จากการให้อาสาสมัครจำนวน 10 คน นั่งชมภาพยนตร์สยองขวัญพบว่า ระหว่างชมหนังสยองขวัญจังหวะการเต้นของหัวใจจะเพิ่มขึ้น ร่างกายจะหลั่งอะดรีนาลีนที่เกิดขึ้นระหว่างการตกใจซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน และทำให้แคลอรี่ถูกเผาผลาญในระดับสูงสุด
สำหรับ 10อันดับภาพยนตร์ที่ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ในร่างกายได้เป็นอย่างดีนั้น มีดังนี้
1. The Shining: 184 แคลอรี่
2. Jaws: 161 แคลอรี่
3. The Exorcist: 158 แคลอรี่
4. Alien: 152 แคลอรี่
5. Saw: 133 แคลอรี่
6. A Nightmare on Elm Street: 118 แคลอรี่
7. Paranormal Activity: 111 แคลอรี่
8. The Blair Witch Project: 105 แคลอรี่
9. The Texas Chain Saw Massacre: 107 แคลอรี่
10. [Rec]: 101 แคลอรี่
ที่มา : http://news.mthai.com/world-news/199664.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ผีมีจริงหรือไม่ เรายังไม่ฟันธง แต่การปรากฎตัวของผีในแบบต่างๆ ชวนให้ฉงนสงสัยถึงความน่าจะเป็น บ้างก็ไม่สอดคล้องตามหลักวิทยาศาสตร์ หลักคณิตศาสตร์ ซ้ำยังค้านกันเอง (uhsecho.com)
ระหว่างที่เรากำลังนั่งขนหัวลุกอยู่กับสารพัดผีที่หน้าจอ อากาศเย็นฉับพลันชวนหวั่นเข้าไปอีก “ฮาโลวีน” คืนนี้อาจน่ากลัวขึ้นทันใด แต่ไม่ใช่กับนักฟิสิกส์ที่กำลังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ ว่าผีเหล่านี้กำลังหลอกเราแบบไหน
ศ.ดร.คอสตัส เอฟติมอย (Costas Efthimiou) นักฟิสิกส์ทฤษฎี กับ โซฮาง คานธี (Sohang Gandhi) นักศึกษา มหาวิทยาลัยเซ็นทรัล ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เขียนบทความตีพิมพ์ลงวารสารวิจารณ์วิทยาศาสตร์ “สเคปติคอล อินไควเรอร์” (Skeptical Inquirer) โดยใช้กฎทางฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ช่วยชี้จุดที่ไม่สอดคล้องของ “ความเป็นผี” ที่เล่าต่อๆ กันมา รวมถึงในภาพยนตร์ต่างๆ
ผีมาทีไร ทำไมต้องหนาว…ววว
อากาศรอบตัวที่ร้อนอบอ้าว จะกลายเป็นหนาวขึ้นทันใด เมื่อมีวิญญาณหรือผีสักตนปรากฎตัว แท้จริงแล้วสภาพอากาศที่เปลี่ยนอุณหภูมิอย่างรวดเร็วนั้น เป็นเพราะการถ่ายเทความร้อน ซึ่งพบได้บ่อยครั้ง
เอฟติมอยได้ยกตัวอย่าง การทดลองที่แกลอรีหลอนแห่งหนึ่ง ในแฮมตัน คอร์ต พาเลซ ไม่ห่างจากลอนดอนมากนัก (Haunted Gallery at Hampton Court Palace) ที่แห่งนี้ร่ำลือว่ามีวิญญาณของแคทเธอรีน โฮวาร์ด (Catherine Howard) ซึ่งเธอถูกประหารชีวิตโดยพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ในปี ค.ศ.1542 ใครก็ตามที่เข้าไปเยือนจะได้ยินเสียงกรีดร้อง และบ้างก็เห็นผีจะๆ ในแกลเลอรี
สถานที่สำรวจความขนลุก แฮมป์ตัน คอร์ต พาเลซ พระราชวังของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ว่ากันว่าในแกลอรีหลอนแห่งนี้ มีวิญญาณซ่อนอยู่ เจอมาแล้วหลายราย (flickriver.com)
ทีมนักจิตวิทยาผู้ไม่กลัวผี ซึ่งนำโดยริชาร์ด ไวซ์แมน (Richard Wiseman) จากฮาร์ต์ฟอร์ดไชร์ (Hertfordshire University) ได้ทดลองเข้าไปติดตั้งกล้อง และตัววัดการเคลื่อนที่ของอากาศในแกลเลอรีดังกล่าว และได้สอบถามผู้เข้าชมราว 400 คน ว่ารู้สึกอย่างไร
ผู้ที่ตอบคำถามมากกว่าครึ่งบอกว่า รู้สึกได้เลยถึงความเย็นจากอุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็ว และบางคนยังรู้สึกได้ว่าผีปรากฎตัวอยู่บริเวณนั้น ขณะที่อีกหลายคนบอกชัดเจนว่า พวกเขาเห็นตัวของอลิซาเบธด้วย
ปรากฎการณ์ขนลุกซู่ที่เกิดขึ้น ก็คือการปรับสมดุลของความร้อน เมื่อวัตถุที่มีความร้อนสูงกว่า (หรือร่างกาย) อยู่ใกล้กับวัตถุเย็นกว่า จะมีพลังงานจะเคลื่อนจากความอุ่นไปหาความเย็น ซึ่งพลังงานดังกล่าวก็คือความร้อนนั่นเอง ความร้อนจะถ่ายเทไปที่เย็นกว่า และจะสิ้นสุดเมื่ออุณหภูมิของวัตถุทั้ง 2 เท่ากัน เรียกว่า “สมดุลทางความร้อน” (Thermal equilibrium)
การสร้างความสมดุลของอุณหภูมิในสถานที่แห่งหนึ่ง อากาศร้อนเคลื่อนไปหาอากาศเย็น (ตามภาพซ้าย) แต่ในสถานการณ์จริงแล้ว ทิศทางของการถ่ายเทความร้อนจะไร้รูปแบบ ทำให้เกิดการปรับอุณหภูมิฉับพลัน นั่นทำให้เรารู้สึกเย็นขึ้นอย่างรวดเร็ว (Costas J. Efthimiou and Sohang Gandhi)
กลับมาที่จุดเกิดเหตุ ในแกลเลอรีหลอน ทีมของ ดร.ไวซ์แมนเชื่อว่า เหตุที่ทำให้อยู่ๆ ก็หนาวขึ้น น่าจะเป็นเพราะประตูที่ปิดตายจำนวนมาก ซึ่งทางออกเก่าเหล่านี้เป็นช่องลมโกรก จึงทำให้มีอากาศลอดผ่านเข้ามาได้ และยังมีจุดที่อุณหภูมิต่ำสุด 2 องศาเซลเซียส ถึง 2 ตำแหน่งด้วยกันในแกลเลอรี ทำให้เกิดโอกาสอุณหภูมิไหลเวียนปรับสมดุล
ถ้าเกิดรู้สึกหนาวฉับพลัน ในบ้านผี นั่นก็มีโอกาสที่จะเกิดความกลัว และเริ่มสยองขนลุก บางครั้งความหนาวอาจจะไม่สัมพันธ์กับอุณหภูมิที่ลดลงจริง อาจจะเป็นการถ่ายเทความร้อนจากร่างกายของคนใกล้ๆ ดังนั้นความเย็นวาบที่เกิดขึ้น จึงถูกเชื่อมโยงกับผี และเมื่อเราอยู่ในโครงสร้างอาคารเก่าๆ บวกรวมเข้ากับจินตนาการต่างๆ เรื่องผีที่เคยฟังมา… ความเย็นวาบจึงตามมาด้วยสิ่งลี้ลับนับไม่ถ้วน
ผีจับต้องไม่ได้ แล้วเอาแรงที่ไหนเดิน
ใครๆ ก็รู้ว่าผีไม่ใช่วัตถุ จับต้องไม่ได้ ในภาพยนตร์หลายเรื่อง ผีเดินทะลุคน กำแพงสิ่งของต่างๆ นั่นก็ถือว่าเป็นไปตามความเชื่อ แต่ผีเหล่านี้ส่วนใหญ่เดินได้เหมือนคน บ้างก็หยิบจับสิ่งของได้
การเดินนั้นต้องอาศัยแรงปฏิกิริยาระหว่างเท้ากับพื้น ตามกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน ซึ่งกฎข้อที่ 1 คือ “กฎความเฉื่อย” ร่างกายจะรักษาสภาพอยู่นิ่งและไม่สามารถเดินได้จนกว่าจะมีแรงภายนอกมากระทำ ซึ่งระหว่างเดินนั้นมีเพียง “พื้น” เป็นวัตถุเดียวที่สัมผัสกับเท้า ดังนั้น แรงภายนอกดังกล่าวจึงมาจากพื้น
ภาพยนตร์ "เดอะ โกสต์" เป็นตัวอย่างหนึ่งที่นักวิจัยสงสัยว่า ถ้าผีไม่มีตัวตนสัมผัสคนไม่ได้ แล้วจะใช้แรงกิริยาเดินหรือหยิบจับสิ่งของอย่างไร
แล้วพื้นจะรู้ได้อย่างไรว่า เราจะหยุดหรือเราจะเดินเมื่อใด ก็อาศัยคำอธิบายจากกฎข้อที่ 3 ของนิวตัน เมื่อวัตถุหนึ่งมีแรงกิริยากระทำต่อวัตถุอีกชิ้นหนึ่ง วัตถุชิ้นที่ถูกกระทำย่อมมีแรงปฏิกิริยาขนาดเท่ากัน แต่กระทำในทิศทางตรงกันข้ามเสมอ และการเดินเราจะส่งแรงไปด้านหลัง ขณะที่พื้นจะส่งแรงกลับมาในขนาดเท่ากันแต่มีทิศทางไปด้านหน้า แต่ถ้าผีจะเดินได้ก็ต้องส่งแรงไปที่พื้น นั่นหมายความว่าผีต้องอยู่ในรูปที่จับต้องได้ และสามารถมองเห็นกายภาพของผีได้เช่นกัน
ภาพซ้ายอธิบายถึงการเดินว่าต้องมีแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา ระหว่างเท้ากับพื้นเพื่อส่งให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ หรือถ้าเรายืนบนสเก็ตบอร์ดและเอามือยันกำแพง จะมีแรงผลักในทิศตรงกันข้ามออกมาจากกำแพง ทำให้เราเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ซึ่งการจะส่งแรงกระทำต่อพื้นได้นั่นหมายความเราต้องอาศัย "กายหยาบ" แต่หากผีส่งแรงไปที่พื้นที่ได้ แสดงว่าผีต้องมีลักษณะที่จับต้องได้ (Costas J. Efthimiou and Sohang Gandhi)
อย่างไรเสีย เอฟติมอยก็ยังไม่ด่วนสรุป โดยเขาก็เปิดช่องให้วิเคราะห์ต่อไปว่า ผีอาจจะมีพลังพิเศษ สามารถเลือกให้จับต้องได้หรือไม่ได้แล้วแต่สถานการณ์ นอกจากนี้กฎข้อที่ 2 ของนิวตันที่กล่าวถึงอัตราเร่งของวัตถุหรือการเพิ่มความเร็วขึ้น ซึ่งหาได้จากแรงที่กระทำต่อวัตถุหารด้วยมวลของวัตถุ
ดังนั้น การที่มวลหรือวัตถุจะเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ได้ อัตราเร่งต้องไม่เท่ากับศูนย์ หรือต้องมีแรงมากระทำต่อวัตถุ ซึ่งเราจะเริ่มเดินไม่ได้เลยหากไม่มีแรงมากระทำ การเดินได้ของผีจึงอาจจะอาศัยแรงจากแหล่งอื่นเพื่อให้พุ่งไปข้างหน้าได้
ประชากรแวมไพร์ที่น่าจะกลายเป็นทวีคูณ
ผีดูดเลือดเป็นอีกเรื่องที่ข้องใจ ถ้าอาหารของพวกมันคือเลือดมนุษย์ ดังนั้นจำนวนมนุษย์ที่จะกลายเป็นแวมไพร์จะมีมากเท่าไหร่แล้ว (The VAMPIRE blockbuster TWILIGHT)
เรื่องราวของผีดูดเลือดมีมากมาย ตั้งแต่รุ่นดึกอย่างแดรกคิวลา หรือรุ่นซ่าอย่างเบลด รวมถึงเอ็ดเวิร์ดแวมไพร์สุดหล่อสาวกรี๊ดมากกว่ากลัว ซึ่งอาหารของสิ่งไร้ชีวิตชนิดนี้คือ “เลือดมนุษย์”
แน่นอนว่า เมื่อแวมไพร์ดูดเลือดใคร มนุษย์คนนั้นก็จะกลายเป็นแวมไพร์ และก็ตามไปดูดเลือดมุษย์คนอื่นๆ และเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ต่อๆ ไป ถ้าอธิบายตามการก้าวหน้าเรขาคณิต (geometric progression) คงจะไม่เหลือมนุษย์อยู่บนโลกไปนานแล้ว
ถ้าแวมไพร์ได้เหยื่อกินเลือด มนุษย์ก็จะหายไป 1 คน และได้แวมไพร์เพิ่มมาอีก 1 ตน
เมื่อใช้หลักคณิตศาสตร์มาอธิบาย ป่านนี้โลกเราต้องเต็มไปด้วยประชากรแวมไพร์ (Costas J. Efthimiou and Sohang Gandhi)
เอฟติมอยจึงลองคำนวณ โดยสมมติว่าถ้าเราพบแวมไพร์ตัวแรกตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ.1600 และข้อมูลประชากรโลกขณะนั้นมี 536,870,911 คน จากนั้นเริ่มเทียบบัญญัติไตรยางค์ โดยไม่นำข้อมูลการเกิดและตายมารวมให้ยุ่งยาก
ถ้าแวมไพร์ตัวแรกดูดเลือดมนุษย์เดือนละครั้ง เดือนกุมภาพันธ์แวมไพร์ก็จะมี 2 ตัว และมนุษย์ก็จะเหลือ 536,870,910 คน ถัดมาในเดือนมีนาคม มนุษย์หายไปเป็น 3 คน ส่วนแวมไพร์ก็จะมี 4 ตัว และเพิ่มเป็น 8 ตัวในเดือนเมษายน ซึ่งเมื่อเทียบความก้าวหน้าเรขาคณิตจะเห็นว่า มนุษย์ควรหมดไปภายใน 2 ปีครึี่ง แหล่งอาหารของแวมไพร์ก็จะหายไปด้วย
แต่ปัจจุบันมนุษย์เรายังเต็มโลก ดังนั้นแวมไพร์จึงไม่น่าจะมีอยู่จริง หรือไม่เช่นนั้นใครก็ตามที่สร้างตำนานผีดูดเลืือดขึ้นมาก็อาจจะตกวิชาคณิตศาสตร์ก็เป็นได้
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000132431
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
สถานที่สุดหลอน ทั่วโลก 13. ห้องโถง Raynham – นอร์ฟอล์ก อังกฤษ
ห้องโถงนี้อยู่ในบ้านหลังหนึ่ง แถบชานเมืองของ ประเทศอังกฤษ ชื่อเสียงโด่งดังมาจากรูปถ่ายติดวิญญาณแห่งตำนาน ที่ชื่อว่า Little Brown Lady of Raynham สันนิษฐานว่าหญิงในภาพน่าจะเป็น โดโรธี ภรรยาของ ชาร์ลส์ ทาวนเซนด์ ผู้ซึ่งเคยเป็นเจ้าของบ้าน ตามตำนานเล่าว่า โดโรธี ถูกขังไว้ในบ้าน เนื่องจากสามีจับได้ว่าเธอคบชู้ โดยกีดกันไม่ให้พบกับลูกๆ ซึ่งภาพนี้ถูกถ่ายที่บันได ในช่วงพลบค่ำ ในปี 1936 โดย Country Life magazine
สถานที่สุดหลอน 12. อุโมงค์กรีดร้อง – น้ำตกไนแองการา แคนาดา
ใครจะคิดว่า สถานที่ท่องเที่ยวอันงดงาม จะมีความสยองแฝงอยู่ โดยข้อมูลเชิงลึกนั้นปรากฏหลักฐานของอุโมงค์ลึกลับ เรียกกันว่า อุโมงค์กรีดร้อง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของน้ำตกไนแองการ่า อุโมงค์นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสร้างทางรถไฟ ช่วงต้นยุค 1900 ซึ่งยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ตำนานของวิญญาณหลอนล้วนเกี่ยวกับเด็กสาวซึ่งถูกไฟคลอกตายภายในอุโมงค์ เล่ากันว่า ถ้าจุดไม้ขีดในตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาว โหยหวนดังก้อง สะท้อนภายในอุโมงค์ จนกระทั่งไฟดับ!
สถานที่สุดหลอน 11. เรือสำราญคิวแมรี 2 – แคลิฟอร์เนีย สหรัญอเมริกา
เรือคิวนาร์ด เปิดตัวครั้งแรกในปี 1936 ใช้รับส่งผู้โดยสารชั้นดีข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก หลังปลดประจำการในปี 1968 ได้จอดถาวรอยู่ที่ลองบีช แคลิฟอร์เนีย และปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ ในปี 1971 ความลี้ลับถูกค้นพบโดย ปีเตอร์ เจมส์ นักล่าท้าผี เล่าว่าเจอดวงวิญญาณมากกว่า 150 ตน หนึ่งในนั้นคือ วิญญาณของชายที่ถูกประตูหมายเลข 13 บดจนเละ สยองต่อด้วยผีสาวในชุดว่ายน้ำที่หลอนอยู่ในสระ ผวาอีกเมื่อเจอผีนักเต้น! ผสานเสียงเปียโนลึกลับ!
สถานที่สุดหลอน 10. โรงเรียนทหารฟิลิปปินส์ – บาเกียว ฟิลิปปินส์
เชื่อกันว่า โรงเรียนทหารเมืองบาเกียว ประเทศฟิลิปปินส์ มีวิญญาณของผู้เสียชีวิตจากการถูกญี่ปุ่นยึดครองประเทศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นักท่องเที่ยวเล่าว่าได้ยินเสียงรองเท้าย่ำบนลานสวนสนาม โดยปราศจากเหล่าทหาร บ้างก็เห็นวิญญาณในชุดเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทหารเต็มยศ หญิงชุดขาว และนักบวชหัวขาด!
สถานที่สุดหลอน 9. ถนนหลวงสาย 1140 – นิวออร์ลีน สหรัฐอเมริกา
นิว ออร์ลีน เมืองแห่งสีสันและสยองขวัญมากที่สุดของอเมริกา ความน่ากลัวที่ล่ำลือกันอย่างมาก คือ เรื่องของสองสามีภรรยา นางลาลอว์รี และ ด็อกเตอร์หลุยส์ ผู้ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย อยู่ที่ 1140 ถนนรอยัล นิว ออร์ลีน ตั้งแต่ปี 1832 โดยมีทาสเป็นชาวผิวดำเช่นเดียวกับบ้านหลังอื่น ต่างกันตรงที่เพื่อนบ้านเล่าว่า มักได้ยินเสียงกรีดร้อง และคนใช้บางคนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ในปี 1834 เรื่องราวลึกลับของทาสที่ถูกซ่อนเร้นก็ได้รับการเปิดเผยที่ห้องใต้หลังคา สถานที่ถูกพบว่ามีทาสนับสิบถูกจองจำทั้งในกรงและมัดติดอยู่กับโต๊ะ ส่วนของร่างกายเกลื่อนกลาดทั่วห้อง หัวและอวัยวะอื่นๆ ซุกอยู่ในถัง เป็นสุดยอดแห่งความสยองที่ทั้งเมืองต้องช็อค! สองสามีเผ่นหนีไปก่อนจะถูกจับได้ ใครที่ย่างกรายเข้าบ้านหลังนี้ จะต้องเจอเหล่าวิญญาณทาสชายผิวดำถูกล่ามโซ่ และทาสสาวซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยน ส่งเสียงกรีดร้องชวนขนลุก!
สถานที่สุดหลอน 8. โคลอสเซียม – โรม อิตาลี
โคลอสเซียม สถาปัตยกรรมชื่อก้องโลก แห่ง กรุงโรม ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งสถานที่ลี้ลับที่สุด เมื่อ จูเลียสซีซาร์ ผู้กระหายเลือดบังคับให้เหล่านักโทษทางการเมืองต่อสู้กับสัตว์ป่าดุร้ายจนกระทั่งเสียชีวิต ทุกครั้งที่เยี่ยมชมบริเวณด้านล่างของโคลอสเซียม นักท่องเที่ยวจะรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก ชวนขนลุก เหมือนมีบางอย่างมาสัมผัสร่างกาย พร้อมได้ยินเสียงดาบกระทบกัน เสียงคำรามของสิงโต แว่วผ่านหู และตลอดทางเหมือนถูกจับจ้องด้วยสายตาของทหารโรมันที่ยืนเฝ้าอยู่ตามซอกหลืบ!
สถานที่สุดหลอน 7. เรือนจำตะวันออก – ฟิลาเดเฟีย, เพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา
The East State Penitentiary เป็นอาคารที่มีราคาแพงที่สุดในสหรัฐอเมริกา และเป็นเรือนจำที่มีการควบคุมที่เข้มงวดที่สุดสำหรับขังอาชญากรตัวฉกาจ โดยใช้ระบบเพนซิลวาเนีย ด้วยหลักการที่ว่า นักโทษสมควรอยู่อย่างโดเดี่ยวอย่างยาวนานที่สุด เรือนจำแห่งนี้ถือสถานที่สยองขวัญที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกา ผู้เยี่ยมชมมักจะได้ยินเสียงร่ำไห้ หัวเราะ และเสียงกระซิบรอดมาจากกำแพงโดยรอบ
สถานที่สุดหลอน 6. ปราสาทบัลลีกัลลี – ไอร์แลนด์เหนือ
ปราสาทบัลลีกัลลี ปราสาทเดียวที่ยังคงสภาพอยู่นับจากศตวรรษที่ 17 ทั้งยังถูกใช้เป็นที่พักอาศัย และร่ำลือกันว่าเป็นสถานที่ลี้ลับที่สุดแห่งหนึ่ง โดยผีชื่อดังที่สุดในปราสาทคือ Lady Isobel Shaw หญิงซึ่งกระโดดหน้าต่างฆ่าตัวตายพร้อมลูกสาวตัวน้อย เนื่องจากถูกสามีกักขังและสั่งอดอาหาร เหตุเพราะเธอไม่สามารถให้กำเนิดลูกชายแก่เขา ผู้คนมักพบเห็นวิญญาณของเธอเดินไปมาที่ห้องโถงกลาง และคอยเคาะประตูห้องต่างๆ ยามดึก!
สถานที่สุดหลอน 5. หาดชางฮี – สิงคโปร์
สิงคโปร์ จัดว่าเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องลี้ลับ โดยเฉพาะ ชายหาดชางฮี ทางฝั่งตะวันออกของเกาะสิงคโปร์ ถูกกองทัพญี่ปุ่นใช้เป็นที่สังหารหมู่ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวจีนกว่าพันคนถูกทรมานและฆ่าตายที่นี่ หลายคนมักได้ยินเสียงร้องไห้และกรีดร้อง ทั้งยังพบเห็นวิญญาณหัวขาดเดินอยู่บริเวณชายหาดชางฮี ซึ่งถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่ลึกลับที่สุดในเอเชีย!
สถานที่สุดหลอน 4. ปราสาทเอดินบะระ – สก็อตแลนด์
เอดินบะระ ปราสาทแห่งเมืองหลวงของสก็อตแลนด์ อายุ 900 ปี ตั้งอยู่บนยอดผาหิน มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องผีๆ และถือว่าเป็นสถานที่น่ากลัวที่สุดในยุโรป นักท่องเที่ยวเล่าว่า เคยเห็นวิญญาณเป่าขลุ่ย มือกลองหัวขาด ผีนักโทษสมัยสงครามจากหลายศตวรรษ และผีสุนัขเฝ้าสุสานหมาในปราสาท!
สถานที่สุดหลอน 3. สุสานใต้ดิน – ปารีส ฝรั่งเศส
ด้วยจำนวนประชากรของปารีสที่เพิ่มขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 ส่งผลให้หลุมฝังศพไม่เพียงพอ ทางการจึงต้องจัดการปัญหาด้วยการเก็บซากศพรวมกันไว้ใต้ดินบริเวณที่เคยเป็นเหมืองถ่านหินเก่า เล่ากันว่ามีซากไร้วิญญาณไม่ต่ำว่า 6 ล้านศพถูกฝังอยู่ในนั้น เป็นที่มาของความเฮี้ยนสุดหลอน ผู้มาเยือนมักถูกสัมผัสด้วยมือที่มองไม่เห็น และรู้สึกได้ว่ามีใครเดินตามหลัง บางรายเหมือนถูกบีบคอ หลอนหนักถึงขั้นเป็นโรคประสาท!
สถานที่สุดหลอน 2. ป่าแห่งความตาย อะโอกิกะฮาระ, ญี่ปุ่น
อะโอกิกะฮาระ ชื่อน่ารัก แต่ไม่ประทับใจนักสำหรับป่าทึบแห่งนี้ เป็นหนึ่งสถานที่สุดสยองของญี่ปุ่น และขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่มีคนฆ่าตัวตายมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 30 คนต่อปี และมากถึง 100 รายในปี 2010 มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงนวนิยายเรื่อง “Nami no To” ของเซย์โช มัตสึโมโต้ ที่จัดฉากจบให้คู่รักอยู่ในป่าแห่งนี้ ทั้งยังมีความเชื่อว่าป่านี้เป็นศูนย์กลางของธรรมเนียมโบราณ “ยูบาซาเตะ” คือ การนำญาติพี่น้องที่แก่ชราหรือป่วยหนักไปทิ้งยังสถานที่ห่างไกลและปล่อยให้อดตายในที่สุด ป่าแห่งความตาย อะโอกิกะฮาระ จึงกลายเป็นแหล่งรวมวิญญาณนับร้อยที่คอยหลอกหลอนวนเวียนสถิตย์ทั่วป่า
สมรภูมิหลอนแห่งสงครามนองเลือด เพนซิลวาเนีย ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งสถานที่น่ากลัวที่สุดในอเมริกา ลือกันว่าเห็นวิญญาณเดินอยู่บนสนามหญ้า และได้ยินเสียงของการสู้รบพัดผ่านมาพร้อมสายลม หนึ่งในคลิปวิดีโอผีที่ดังที่สุดของปี 2001 ก็ถ่ายจาก สมรภูมิเกตตีส์เบิร์ก แห่งนี้ โดย ทอม อันเดอร์วูด ซึ่งอ้างว่าถ่ายติดวิญญาณลึกลับ!
ที่มา : http://travel.mthai.com/world-travel/39396.html
____________________
เครดิต : http://th.msn.com เรียบเรียง : travel.mthai.com
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
นักวิทยาศาสตร์ประหลาดใจ “พายุใหญ่” บนดาวเสาร์ ทำชั้นบรรยากาศอุณหภูมิสูงขึ้นผิดปกติ เปรียบเทียบเหมือนอุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างฤดูหนาวของอลาสกากับฤดูร้อนในทะเลทรายโมจาวี อีกทั้งยังเป็นพายุที่อยู่นานผิดปกติ และระหว่างพายุยังพบก๊าซที่เคยสังเกตพบมาก่อนแต่คาดว่ามีมากถึง 100 ของที่คาดไว้
แคสสินี (Cassini) ยานอวกาศขององค์การบริหารการบินอวกาสหรัฐ (นาซา) ตรวจพบพายุลูกใหญ่ดังกล่าวครั้งแรกเมื่อเดือน ธ.ค.2010 และจากรายงานของสเปซด็อทคอมการสำรวจของยานได้ตรวจพบว่า พายุลูกใหญ่นี้ได้ทำให้ชั้นบรรยากาศของดาวเสาร์มีอุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นไปกว่าปกติ 66 องศาเซลเซียส
บริเกตต์ เอสแมน (Brigette Hesman) จากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ (University of Maryland) และศูนย์การบินอวกาศก็อดดาร์ด (Goddard Space Flight Center) ของนาซากล่าวว่า อุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นนี้สูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชั้นบรรยากาศของดาวเสาร์ ซึ่งปกติจะค่อนข้างคงที่
หากเปลี่ยนเทียบการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่เกิดขึ้นในระดับโลก เอสแมนกล่าวว่าจะเปรียบเทียบได้กับอุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างช่วงหนาวที่สุดในฤดูหนาวของบริเวณแฟร์แบงก์ส (Fairbanks) ในอลาสกา กับช่วงร้อนที่สุดของฤดูร้อนในทะเลทรายโมฮาวี (Mojave Desert)
เอสแมนและทีมได้เขียนรายงานผลการสังเกตดาวเสาร์ครั้งนี้ในวารสารดิแอสโทรฟิสิคัลเจอร์นัล (The Astrophysical Journal) และพวกเขายังตรวจพบก๊าซเอทิลีนขนาดใหญ่ในช่วงเกิดพายุ ซึ่งพบว่ามีก๊าซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นนี้มากกว่า 100 เท่าของที่นักวิทยาศาสตร์เคยคาดการณ์ไว้ และยังไม่ทราบถึงกำเนิดของก๊าซเหล่านี้
ไมเคิล ฟลาเซอร์ (Michael Flasar) จากก็อดดาร์ด และอยู่ในทีมเครื่องมือบันทึกภาพย่านอินฟราเรดของยานแคสสินีซึ่งโคจรรอบดาวเสาร์กล่าวว่า พวกเขาไม่สามารถพบก๊าซเอทีลีนบนดาวเสาร์ได้มาก่อน ดังนั้น สิ่งที่พบนี้จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
สำหรับพายุยักษ์บนดาวเสาร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของจุดขาวใหญ่ (Great White Spots) บนดาวเคราะห์วงแหวนดวงนี้ ซึ่งพบว่ามีโอกาสที่จะผุดขึ้นมาทุก 30 ปีโลก หรือราวๆ 1 ปีดาวเสาร์
แคสสินีพบว่าพายุลูกล่าสุดนี้ได้วนรอบดาวเสาร์ตั้งแต่ปลายเดือน ม.ค.2011 และแผ่อาณาเขตจากเหนือลงใต้ไกลถึง 15,000 กิโลเมตร แล้ววิ่งวนไปรอบๆ ก่อนจะหายไปเมื่อปลายเดือน มิ.ย.ปีเดียวกัน และโพล่มาอีกในเดือน ต.ค.ก่อนจะหายไปในเดือน ม.ค.2012
พายุดังกล่าวคงที่อยู่ยาวนานที่สุดนับแต่เริ่มสังเกตดาวเสาร์ อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกของการศึกษาพายุตามวัฏจักรนี้อย่างใกล้ชิดด้วยยานโคจร นอกจากนี้แคสสินียังสำรวจพบรอยแต้มแปลกๆ ของอากาศร้อน 2 รอยที่ส่องแสงสว่างในชั้นสตราโทสเฟียร์ระหว่างเกิดพายุ ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ว่ามีการปลดปล่อยพลังงานมหาศาลสู่ชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาอื่นที่ปรากฏในวารสารอิคารัส (Icarus) ซึ่งพิจารณาข้อมูลภาพถ่ายอินฟราเรดของยานแคสสินีและกล้องโทรทรรศน์บนโลกอีก 2 ตัว ซึ่งสเปซด็อทคอมระบุว่า พวกเขาได้อธิบายว่า รอยแต้มทั้งสองนั้นรวมกันแล้วกลายเป็นลมหมุนขนาดใหญ่ที่สุดและร้อนที่สุดในระบบสุริยะของเราได้อย่างไร และยังเป็นพายุหมุนที่มีขนาดใหญ่กว่าจุดแดงใหญ่ (Great Red Spot) บนดาวพฤหัสบดีเสียอีก
แม้ว่าตอนนี้จะไม่เห็นสัญญาณของพายุบนดาวเสาร์แล้ว แต่จนถึงวันนี้พายุดังกล่าวก็ยังคงอยู่ และแตกต่างไปจากจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสที่อยู่มานานมากกว่า 300 ปีแล้ว สำหรับพายุหมุนบนดาวเสาร์นี้นักวิทยาสาสตร์คาดว่าจะค่อยๆ จางหายไปในช่วงปลายปี 2013
สก็อตต์ เอ็ดดิงตัน (Scott Edgington) นักวิทยาศาสตร์ระดับหัวหน้าในโครงการแคสสินีจากห้องปฏิบัติการจรวดขับเคลื่อนความดัน (Jet Propulsion Laboratory) ของนาซา กล่าวว่า การศึกษาเหล่านี้จะทำให้เราได้ความเข้าใจที่มากขึ้นในกระบวนการเคมีแสงที่เกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียร์ของดาวเสาร์ ซึ่งดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อีกดวงในระบบสุริยะของเรา
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000132179
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
นักวิจัยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ค้นพบฟอสซิลปลานักล่าชนิดใหม่ของโลก “อีสานอิกธิส เลิศบุศย์ศี” อายุ 150 ล้านปี จากยุคจูแรสสิก เผยการค้นพบครั้งนี้ช่วยปลดล็อคปริศนาการจัดกลุ่มและลำดับสายวิวัฒนาการปลาโบราณให้ชัดเจนขึ้น และนำไปสู่ข้อสันนิษฐานว่า “เอเชียเป็นจุดศูนย์กลาง” การแพร่กระจายพันธุ์สิ่งมีชีวิตไปยังทวีปต่างๆ
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2555 ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 4 อาคารบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา จัดแถลงข่าวเปิดตัวนักล่าสายพันธุ์ใหม่ “อีสานอิกธิส เลิศบุศย์ศี” ปลานักล่าแห่งจูแรสสิก โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย สมัปปิโต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นประธานเปิดงานแถลงข่าว พร้อมด้วย ดร.วราวุธ สุธีธร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา ,ดร.อุทุมพร ดีศรี นักวิจัยสาขาบรรพชีวินวิทยา และผู้ค้นพบปลาดึกดำบรรพ์ชนิดใหม่ของโลก ร่วมแถลงข่าวถึงรายละเอียดของการค้นพบฟอสซิลปลานักล่าชนิดใหม่ของโลก รวมถึงรายละเอียดต่างๆ ให้สื่อมวลชนได้รับทราบเพื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย สมัปปิโต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เปิดเผยว่า การค้นพบสายพันธุ์ใหม่ของสิ่งมีชีวิตโบราณ นับเป็นเรื่องน่ายินดีของวงการศึกษาไทย โดยเฉพาะการศึกษาด้านบรรพชีวินวิทยา ซึ่งมีผู้สนใจศึกษาไม่มากนักในประเทศไทย แต่ถือเป็นสาขาวิชาที่มีความน่าสนใจ เนื่องจากภาคอีสานเป็นภาคที่มีการขุดค้นพบซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิลเป็นจำนวนมาก ศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นสถาบันการศึกษาแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีการเรียนการสอนด้านบรรพชีวินวิทยา และเป็นแหล่งรวมผู้เชี่ยวชาญด้านบรรพชีวินวิทยาชั้นนำไว้เป็นจำนวนมาก จึงถือเป็นกำลังหลักในการผลิตบุคลากรและสร้างสรรค์งานวิจัยด้านฟอสซิลในประเทศไทย
ด้าน ดร.วราวุธ สุธีธร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า การศึกษาด้านบรรพชีวินวิทยา หรือ การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในอดีตนั้น นอกจากจะเป็นการสร้างองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่เคยมีอยู่บนโลกแล้ว ยังเป็นการเผยความลับทางประวัติศาสตร์โลก เกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ ที่ส่งผลต่อวิวัฒนาการและสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งถูกบันทึกไว้ในชั้นหิน “การดำเนินการขุดสำรวจ และการศึกษาวิจัยฟอสซิล ถือเป็นพันธกิจสำคัญของศูนย์ฯ โดยแหล่งขุดค้นสำคัญที่ศูนย์ฯ กำลังดำเนินการอยู่บริเวณแหล่งขุดค้นภูน้อย ซึ่งการค้นพบปลานักล่าชนิดนี้เป็นเพียงชนิดแรกที่มีการระบุชนิดในแหล่งขุดค้นภูน้อย หากแต่การค้นพบตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ยังพบฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิด อาทิ ไดโนเสาร์ จระเข้โบราณ และเต่าโบราณ ซึ่งอยู่ระหว่างการวิจัยเพื่อระบุชนิด และทั้งหมดคาดว่าจะเป็นชนิดใหม่ที่ยังไม่เคยมีการค้นพบมาก่อนในโลก”
ดร.อุทุมพร ดีศรี นักวิจัยสาขาบรรพชีวินวิทยา (นานาชาติ) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้ศึกษาวิจัยฟอสซิลปลาดึกดำบรรพ์ และผู้ค้นพบปลาดึกดำบรรพ์ชนิดใหม่ของโลก เปิดเผยว่า อีสานอิกธิส เลิศบุศย์ศี (Isanichthys lertboosi) เป็นปลากระดูกแข็งน้ำจืดที่พบในยุคจูแรสสิกตอนปลาย หรือเมื่อประมาณ 150 ล้านปีก่อน มีความยาวตั้งแต่ 30-90 เซนติเมตร จากการศึกษาลักษณะฟันที่เรียงกันคล้ายแท่งดินสอ และขากรรไกรที่แข็งแรงบ่งบอกได้ว่าปลาชนิดนี้มีขากรรไกรอันทรงพลังและฟันอันแหลมคม ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสัตว์นักล่า
“อีสานอิกธิส เลิศบุศย์ศี เป็นฟอสซิลปลากระดูกแข็งชนิดที่ 2 ในสกุล อีสานอิกธิส ที่มีการค้นพบในประเทศไทย หลังจากการค้นพบ อีสานอิกธิส พาลาสทิส (Isanichthys palustris) ในปีพ.ศ. 2549 ชื่อสกุล อีสานอิกธิส หมายถึง ปลากระดูกแข็งที่พบในภาคอีสาน (Isan = ภาคอีสาน และ Ichthys = ปลากระดูกแข็ง) ส่วนชื่อชนิด เลิศบุศย์ศี ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้แก่นายอำเภอเลิศบุศย์ กองทอง ผู้เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยผลักดันให้แหล่งขุดค้นภูน้อยดำเนินการมาได้ด้วยดี และให้การสนับสนุนในด้านต่างๆ ทั้งวิชาการ สาธารณูปโภค ตลอดจนการผลักดันให้ภูน้อยเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงบรรพชีวินวิทยา ทั้งนี้ ลักษณะสำคัญของปลากระดูกแข็งโบราณที่สังเกตได้ง่ายคือ ลักษณะเกล็ดรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ซึ่งในปัจจุบันสามารถพบได้ในกลุ่มปลาการ์ (Gar) เท่านั้น” ดร.อุทุมพร กล่าว
ประวัติการค้นพบฟอสซิลชนิดใหม่นี้ ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2551 นักวิจัยจากกรมทรัพยากรธรณีและศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้รับตัวอย่างฟอสซิลเกล็ดปลา ซึ่งนายทองหล่อ นาคำจันทร์ ชาวบ้านตำบลดินจี่ อำเภอคำม่วง เป็นผู้ค้นพบและมอบให้นายอำเภอคำม่วงเป็นผู้ส่งมอบตัวอย่าง ทำให้เกิดการเข้าสำรวจพื้นที่บริเวณภูน้อย ตำบลดินจี่ อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ จึงพบตัวอย่างฟอสซิลปลากระดูกแข็งจำนวน 4 ตัวอย่าง ซึ่งมีความสมบูรณ์ยิ่งสำหรับการศึกษาวิจัย โดยเฉพาะส่วนกระโหลก และฟันที่ทำให้สามารถแยกเป็นชนิดใหม่ของโลกได้
ดร.อุทุมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า การค้นพบใหม่ครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเพิ่มเติมชนิดใหม่ในสายวิวัฒนาการของปลากระดูกแข็งโบราณแล้ว ยังถือเป็นการปลดล็อคปริศนาการจัดกลุ่มปลากระดูกแข็งโบราณให้กระจ่างมากขึ้น จากเดิมที่มักจัดกลุ่มปลากระดูกแข็งโบราณที่ไม่สามารถจำแนกกลุ่มได้เข้าไว้ในสกุล เลปิโดเทส (Lepidotes) เท่านั้น แต่จากการวิจัยสามารถระบุลักษณะที่ชัดเจนของสกุล อีสานอิกธิส จนทำให้สามารถจัดกลุ่มปลาปริศนาที่ค้นพบในประเทศต่างๆ ให้เข้ามารวมอยู่ในสกุลอีสานอิกธิส ได้ถึง 2 ชนิด คือ อีสานอิกธิส ลาติฟรอนส์ (I. latfrons) (จาก เลปิโดเทส ลาติฟรอนส์) และอีสานอิกธิส ลูชิวเอนซิส (I. luchowensis) (จากเลปิโดเทส ลูชิวเอนซิส)
“อีสานอิกธิส ลูชิวเอนซิส เป็นฟอสซิลปลาที่พบในประเทศจีน มีช่วงอายุใกล้เคียงกับชนิดที่พบในประเทศไทย คืออายุประมาณ 150 ล้านปี ในยุคจูแรสสิก ขณะที่ อีสานอิกธิส ลาติฟรอนส์ พบในทวีปยุโรปในช่วงอายุประมาณ 90-100 ล้านปี ในยุคครีเทเชียส ซึ่งเป็นช่วงอายุที่อ่อนกว่าที่พบในทวีปเอเชีย จึงเป็นหลักฐานหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงการแพร่กระจายชนิดพันธุ์สิ่งมีชีวิต ที่เริ่มต้นจากทวีปเอเชียและแพร่กระจายเป็นยังภูมิภาคอื่นๆ ของโลก” ดร.อุทุมพร กล่าว
ที่มา : ศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา
ภาพ / ข่าว : บุณฑริกา ภูผาหลวง
____________________
เครดิต : http://news.mthai.com/headline-news/199450.html
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
หลัง จากปฏิทินมายาถูกนำมาบิดเบือน แอบอ้างถึงวันสิ้นโลกมานานหลายปี ล่าสุด เห็นทีว่าผู้คนทั่วโลกถึงเวลาจะต้องหยุดเชื่อในวันสิ้นโลกอย่างสนิทใจแล้ว เมื่อชาวมายันได้ออกมาเรียกร้องด้วยตัวเอง ขอให้หยุดบิดเบือนเรื่องปฏิทินมายาของบรรพบุรุษพวกเขาเสียที
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ชาวมายันในกัวเตมาลา พากันออกมาเรียกร้องขอให้รัฐบาลและผู้จัดทัวร์ทั้งหลายหยุดบิดเบือนปฏิทิน มายา และนำปฏิทินมายันไปหากิน เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
การ ออกมาเรียกร้องครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีผู้นำปฏิทินมายาไปตีความเชื่อมโยงกับวันสิ้นโลก และมีการนำการตีความผิด ๆ ดังกล่าวไปนำเสนอสู่สายตาสาธารณชน ทั้งในรูปแบบของภาพยนตร์ และสารคดี ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ไปทั่วโลก ขณะที่บริษัททัวร์ก็ได้นำ ปฏิทินมายามาเป็นจุดขาย ดึงดูดให้ผู้คนจองทัวร์แห่มาฉลองวันที่เชื่อว่าเป็นวันสิ้นโลก พร้อมกับอธิบายเรื่องวันสิ้นโลกอย่างเป็นคุ้งเป็นแคว
จากประเด็นดังกล่าว นายเฟลิเป โกเมซ ผู้นำชนเผ่ามายัน ได้เปิดเผยว่า"พวก เราขอต่อต้านการโกหก หลอกลวง และบิดเบือนเรื่องปฏิทินมายา เพื่อนำมาหากินกอบโกยผลประโยชน์ โดยที่ไม่ยอมบอกความจริงกับประชาชนเรื่องความหมายที่แท้จริงของปฏิทินมายา ว่ามันคือการสิ้นสุดของรอบปฏิทินเท่านั้น ซึ่งตามความเชื่อของชนเผ่ามายัน การเริ่มต้นปฏิทินรอบใหม่ หมายถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับตัวเอง ครอบครัว และสังคม และจะเกิดความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ไม่ได้มีความหมายอื่นใดนอกเหนือจากนี้"
นอก จากนี้ เฟลิโป โกเมซ ยังกล่าวอีกว่า หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวควรจะคิดใหม่อีกครั้ง เกี่ยวกับการนำปฏิทินไปบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ เพราะนี่ถือเป็นการดูหมิ่นอารยธรรมของชาวมายันเลยทีเดียว
ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/77715
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ใบหน้าคน กลางลูกไฟ พญานาค
เช้านี้ขณะที่พายุ กฤษณา กำลังเข้าสู่แผ่นดินไทย ด้านจังหวัดอุบลราชธานี ฝนตกตั้งแต่คืนวันที่ 29 ก.ย. 52 จน
ขณะนี้ 12.53 น. ของวันที่ 30 ก.ย. 52 วันที่หลายคนต้องใจหาย หลายคนต้องโล่งใจ ที่จะได้วางภาระ งาน ที่ตรากตรำในระบบมา
หลายสิบปี หลายคนเสียดาย หวงแหน ตำแหน่ง หน้าที่การงาน หวงอำนาจ ที่เคยมี นี่พูดถึงผู้ที่ จะเกษียณอายุราชการ นะ ก็แค่
หน้าที่ ตามอาชีพ ของการเป็น พลเมือง ของประเทศนี้ ของสังคมนี้ แต่หน้าที่ของความเป็น มนุษย์ ยังมีต่อไปอีก จนกว่าจะหมดลม
หายใจ " นักวิชาการ ไม่เคยเกษียณอายุราชการ " เป็นคำพูดของ ท่าน รศ.ดร.สมาน อัศวภูมิ หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
"การเรียนรู้ ไม่มีวันจบ" ดังภาษาทางวิชาการกล่าวว่า "การศึกษาตลอดชีวิต" ถ้าอยากรู้เรื่องอะไร ก็ใส่ใจเข้าไป ดังหลักการทำงาน
ให้เป็นเลิศ ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ที่ชื่อว่า "หลักอิทธิบาท 4" กิจการใดๆ จะสำเร็จ และ มีความเป็นเลิศได้ เมื่อใช้หลักการนี้ ซึ่ง
มี 1.ฉันทะ คือ ความพึงพอใจ ในกิจการที่จะกระทำ 2.วิริยะ คือ มีความพากเพียร ทำในกิจการนั้นๆ อย่างไม่ย่อท้อ 3.จิตตะ คือ ความ
ใส่ใจในกิจการที่กระทำ ระลึกถึงเห็นความสำคัญ ให้ความสำคัญ ไม่ปล่อยปะละเลย 4.วิมังสา คือ หมั่นตริตรอง ใคร่ครวญ ด้วยสติ
ปัญญา ศึกษาหากลยุทธ ปรับปรุงนโยบาย วิจัยตลาด ปรับปรุงคุณภาพ สร้างระบบตรวจสอบคุณภาพ ปรับปรุงระบบต่างๆ ฯลฯ เหล่า
นี้ ก็จะทำให้กิจการนั้นๆ เจริญงอกงาม วันนี้ขึ้นต้น ด้วย การละการวาง จากภาระหน้าที่ ทางสังคม ครับ
ฝนตกไปไหนไม่สะดวก ประจวบกับใกล้ออกพรรษา เพื่อนๆโทรชวน ไปดูบั้งไฟพญานาค บางคนก็อยากให้ไป
เก็บภาพพิธีบรวงสรวง ที่ริมแม่น้ำโขง หน้าที่ว่าการอำเภอโขงเจียม ในช่วงเช้าของวันที่ 4 ตุลา 52 ผมก็ยังไม่ได้รับปากเป็นมั่นเป็น
เหมาะ เพราะการเป็นนักวิจัย เราต้องไปแบบเงียบๆ อย่าให้เขารู้ตัว ไปในลักษณะของนักท่องเที่ยว ธรรมดาๆ คนหนึ่ง จะได้ข้อมูล
เชิงลึกที่ตรงกับสภาพจริง มีความสมบูรณ์ของข้อมูล ที่เป็นกลาง นั่นคือ สิ่งที่ นักวิจัย เชิงคุณภาพ อย่างผมต้องการ และก็เป็น
ลักษณะหนึ่งของผู้วิจัย ที่ ครูของผมหลายท่าน อาทิ ผศ.ดร.เสนอ ภิรมจิตรผ่อง รศ.ดร.ชวนชัย เชื้อสาธุชน ดร.กุหลาบ ปุริสาร
และ ผศ.ดร.จิณณวัตร ปะโคทัง ได้สั่งสอน บอกกล่าว และฝึกฝน ให้เข้าใจถึงธรรมชาติที่แท้จริงของนักวิจัย ผมหยิบภาพ
ดวงไฟสีส้ม บั้งไฟพญานาค ที่ถ่ายภาพไว้ได้ เมื่อปี 51 ณ ริมโขง บ้านท่าล้ง นำมาพิจารณา เข้าโปรแกรม ปรับสี ลดแสง ของ
ภาพ ซึ่งก็ลองทำหลายรอบแล้วล่ะ ที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไร แปลกใหม่ แต่วันนี้ ครับท่าน ผมได้ข้อมูลใหม่ ที่นำมาให้ท่านทั้งหลาย ที่มีใจ
เชื่อมโยง หรืออาจจะเรียกว่า ทำบุญร่วมกันมาตั้งแต่ ปางก่อน จะปางไหน ก็ช่าง ที่ทำให้ท่านคลิ๊กเข้ามาชม V blog นี้
เป็นภาพ ดวงไฟ พญานาคสีส้ม ภาพเดียวกันกับหน้าแรก ครับ
ภาพดวงไฟ ที่ยังไม่ได้ ปรับ ลดแสงเงา
ฝีปาก ริมฝีปากบนเล็กกว่าริมฝีปากล่าง
เป็นเรื่องแปลกไหม ที่ผมได้เคยเล่าเรื่อง สีของบั้งไฟพญานาค ที่เทวดาทั้ง 2 ท่าน ได้ตอบคำถาม เอาไว้ (รายละเอียดอยู่ในหน้าที่
2 เรื่อง การวิเคราะห์บั้งไฟพญานาค ) ที่ท่านบอกว่า สีของดวงไฟเป็นตัวบอก ภพภูมิของวิญญาณ ที่จะไปเกิด ดวงไฟสีส้ม คือ ผู้ที่
จะไปเกิดเป็น คน และ จากข้อมูลที่มีอยู่นี้ ก็ได้ ยืนยัน คำพูด ถ้อยแถลง ของ เทวดาทั้ง 2 ท่าน ว่า เป็นจริง ในเบื้องต้น
ซึ่ง จากภาพข้อมูลดังกล่าว ก็ยังไม่ใช่ข้อยุติ ของการศึกษา ผมเองก็จะยังดำเนิน การต่อไปอีก จนกว่า ข้อมูลที่ได้ จะมี
ความอิ่มตัว ก็จะมาเล่าแถลง แจงทุกด้าน ให้ท่านผู้สนใจ ได้รับทราบ ครับผม แต่ท่านว่า แปลกไหม ภาพดังกล่าว อยู่กับผมมาแรมปี
ลองทำหลายต่อหลายครั้ง ก็ไม่อะไรแปลกใหม่ พอ มาถึงวันนี้ ผมกลับได้ ข้อมูล ที่ซ่อนอยู่ในลูกไฟ พญานาค ที่ผมถ่ายภาพได้ มากับ
มือ ซึ่ง อีก 4 วัน นับจากนี้ ก็จะถึง วันออกพรรษา ถึงคราที่ เหล่า วิญญาณส่วนหนึ่ง จะพ้นผ่านวาระ จากทุกขเวทนา ใน นรกภูมิ
สู่ภพภูมิใหม่ ขอแสดงความยินดี กับท่านเหล่านั้นด้วย
ผมจะไปบันทึกภาพ เพื่อร่วมเป็นเกียรติ กับวาระสำคัญ แห่งชีวิต ของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยความเคารพครับ และยังคงหวัง
ลึกๆ ว่า จะได้ข้อมูล ที่แจ่มชัด ขจัดข้อกังขา เพื่อนำไปสู่ การพัฒนาภูมิปัญญา ของสรรพสัตว์ ในปัจจุบัน และอนาคต
ที่มา : วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com)
_________________
เครดิต : ยรรยง สินธุ์งาม (ฅนค้นผี)
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ใกล้วันออกพรรษา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวัน และเป็นวันสำคัญที่คนไทย ริมฝั่งแม่น้ำโขงรอชมปรากฏการณ์ที่เรียกว่า บั้งไฟพญานาค ซึ่งปีนี้ ตรงกับวันที่ 30 ตุลาคม หรือวันขึ้น 15 เดือน 11 ของทุกปี
ถึงแม้ว่ายังไม่ใครพิสูจน์ ได้อย่างชัดเจน ว่าทำไมลูกไฟ จึงผุดขึ้นมาจาแม่น้ำโขงเฉพาะคืนวันออกพรรษา ทั้งๆที่หากนับวันเดือนปี ตามปฏิทินสากลนั้นวันไม่ได้ตรงกันในทุกๆปี
ในบทความนี้ allmysteryworld ขอนำเสนอ อีกหนึ่งแง่มุม ปริศนาของบังบั้งไฟพญานาค ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จับภาพได้ ด้วยกล้องถ่ายรูป ที่เรียกได้อาศัยจิตวิญาญาณรวมผสานเป็นหนึ่งเดียวกับกล้อง (หรือที่เรียกว่า กล้องถ่ายวิญญาณ) ภาพเหล่านี้จึงปรากฏมาให้เห็นครับ
เอาละครับมาชมกัน
---โปรดใช้วิจารณญาณ ในการับชม---
ภาพถ่าย และ วิเคราะห์ โดย ยรรยง สินธุ์งาม (ฅนค้นผี)
ภาพบั้งไฟ พญานาค ริมโขง อุบลราชธานี : พิสูจน์กันด้วยตา บั้งไฟพญานาค คืออะไร
ภาพเหล่านี้ ในวันออกพรรษา ปี 2551 จาก ริมแม่น้ำโขง บ้านท่าล้ง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
ในคืนเดือนมืด ผู้คนต่างรอชม ปรากฎการณ์ ลูกไฟธรรมชาติ ที่พุ่งขึ้นจากลำน้ำโขง ผู้คน เกือบ 5 หมื่น คน ต่างหาจับจองที่นั่งชม ตามจุดที่ทางจังหวัด หรือ อบต. หรือชุมชน ได้จัดเตรียมไว้
ซึ่งเป็นปีที่ 3 ที่ จังหวัดได้ประชาสัมพันธ์ เชิญชวน พี่น้องมาเที่ยวชม ผมก็ออกเดินทาง ไปพร้อมกับคนรู้ใจ และ พี่ชาย ที่รักใคร่ชอบพอกัน
บรรยากาศ ริมน้ำโขง ขณะนั้น มืดสนิท ผู้คนเฝ้ารอคอย ดูแสงลูกไฟจาก กลางแม่น้ำโขง อย่างตื่นเต้น มีเพียงเสียงคุยกันเบาๆ ของคนนับร้อย ที่เฝ้าดูอยู่บริเวณ ศาลาริมโขง บ้านท่าล้ง ทันทีที่ มีลูกไฟพุ่งขึ้นจากน้ำ ก็จะมีเสียง ผู้คนเฮ ดังเป็นระยะ ๆ
บรรยากาศ ริมน้ำโขง ขณะนั้น มืดสนิท ผู้คนเฝ้ารอคอย ดูแสงลูกไฟจาก กลางแม่น้ำโขง อย่างตื่นเต้น มีเพียงเสียงคุยกันเบาๆ ของคนนับร้อย ที่เฝ้าดูอยู่บริเวณ ศาลาริมโขง บ้านท่าล้ง ทันทีที่ มีลูกไฟพุ่งขึ้นจากน้ำ ก็จะมีเสียง ผู้คนเฮ ดังเป็นระยะ ๆ
1. ภาพลูกไฟ สีส้มแดง ที่พุ่งขึ้นจากกลางแม่น้ำโขง ไม่มีประกายไฟ ไม่มีควัน ไม่มีหาง ทิศทางการพุ่ง ทุกลูกจะพุ่งจากกลางแม่น้ำโขง และพุ่งเอียงเข้าหาฝั่งไทย (ซึ่งต่างจากที่หนองคายจะพุ่งจากบริเวณริมน้ำ เข้าไปกลางลำน้ำ) ทุกลูกไม่มีการโค้งลง เมื่อได้ความสูงระดับหนึ่ง ก็จะดับ หายวับ
ไม่มีสะเก็ด ไม่มีประกาย นี่เป็นลักษณะของ บั้งไฟพญานาค ที่บ้านตามุย บ้านกุ่ม บ้านท่าล้ง อ.โขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี และมีเฉพาะดวงไฟสีส้มแดง เท่านั้น ที่ คนมองเห็นด้วยตาเปล่า
แต่สำหรับผม ยังมีมากกว่านั้น เพราะผมมี ตาอิเล็กทรอนิกส์ กล้องถ่ายวิญญาณ ของผมไงละครับ บั้งไฟพญานาค ก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง ที่มีอยู่ในธรรมชาติ เพียงแต่ มนุษย์ยังก้าวข้ามขอบเขตความรู้นั้นมายังไม่ถึง ครับ และต่อไปนี้ เป็นภาพที่คนอื่น มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
ภาพขยายจากภาพบน |
2.ภาพบั้งไฟพญานาค ดวงสีขาว พุ่งขึ้น จากพื้นดิน ริมฝั่งโขง ให้สังเกตบริเวณช่วงหาง จะเห็นดวงกลม3-4 ดวง ในดวงกลมจางๆ แต่ละดวง เห็น ตาดำ ตาขาว ชัดเจน
6.บั้งไฟพญานาคดวงนี้ มีรัศมีสีเขียว ถ่ายได้จากกลางแม่น้ำโขง เช่นกัน (มีข้อมูลใหม่ เกี่ยวกับลูกไฟสีเขียว ในหน้าที่ 4 ครับ)
2 ภาพนี้ เป็นพลังงานลักษณะคล้ายจานบิน ที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำโขง ขณะเกิดบั้งไฟพญานาค มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จับภาพได้ด้วยกล้อง จากการสุ่มถ่าย ท่ามกลางความมืด ( มีวิเคราะห์เพิ่มเติม ในหน้าที่ 4 ครับ )
4 ทุ่ม รถติดยาวเป็นกิโล กลางป่า มีทั้งผู้เพิ่งเดินทางมา และผู้ที่กำลังจะเดินทางกลับ
แม้อยู่กลางป่า แต่ก็มีความอบอุ่นและปลอดภัยเต็มร้อย
บั้งไฟพญานาค คืออะไร
ในข้อสรุปของผม บั้งไฟพญานาค คือ ดวงวิญญาณ ครับ มีหลายสี สีที่ตาเรามองเห็น คือ สีส้มแดง ถ้าเป็นบั้งไฟพญานาค ที่หนองคาย จะเป็น สีแดงอมชมพู สีแต่ละสีมีความหมายครับ
รอให้ผมเรียบเรียงข้อมูล อีกซักหน่อย จะมาเล่าสู่กันฟัง กับการถกเถียงกับพญานาค ที่ผ่านร่างทรง
วิเคราะห์บั้งไฟพญานาค 2
ผมมีข้อมูลที่จะนำมาเล่าต่อ อันที่จริงอยากจะกล่าวถึง ความรู้ใน 2 ทฤษฎี ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คือ
1. ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการถ่ายภาพ และ
2.ทฤษฎีทางฟิสิกส์ ซึ่งตัวผมเองไม่ได้ละเลยศาสตร์ที่เกี่ยวกับทฤษฎีดังกล่าว เพียงแต่ มีแนวคิดว่า
"เมื่อไหร่ที่ เราให้สิ่งที่มีอยู่เดิม มาครอบงำเรามากเกินไป ก็จะทำให้ ไม่ได้พบกับสิ่งใหม่"
ผมจึงวางทฤษฎีทั้งหลายไว้ข้างๆ แล้ว หยิบจับ สิ่งที่เราศึกษา มาพิจารณา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายคน กล่าว ว่า "บ้า" หลายคนกล่าวว่า
"คลั่งไคล้" หลายคนกล่าวว่า "งมงาย" แต่ทุกคน ล้วนแล้วแต่ต้องตาย ล้วนแล้วแต่กลัวผี
จนบางครั้งผมอยากย้อนถามว่า
"การที่คุณวิพากษ์ผู้อื่น ที่เขาแสวงหาความรู้ อย่างมุ่งมั่น แล้วตัวคุณเอง เคยคิดจะหาคำตอบ ในเรื่องใดๆ อย่างจริงจังหรือไม่ "
ก็เป็นเพียงความคิดนะ ไม่ได้ถามหรอก เพราะเสียเวลา ถ้ามัวไปโต้เถียงเพื่อให้เขายอมรับ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะรู้คำตอบที่เราอยากรู้ การที่เขาจะยอมรับ หรือไม่ยอมรับ มันก็เป็นเรื่องของเขา
โลกวิญญาณ ก็ยังคงเป็นโลกวิญญาณ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามความเชื่อของใคร
ผมคนล่าผี ก็ออกตระเวณไพร ค้นหาความรู้ต่อไป เท่าที่มีลมหายใจ ดำรงอยู่ในร่างมนุษย์
โดยแท้ที่จริงแล้ว ตัวผมรู้ซึ้ง ในเรื่องเหล่านี้ เป็นอย่างดี แต่ที่ ออกล่าวิญญาณ ก็เพื่อหาหลักฐาน
เท่าที่จะทำได้ เพื่อบอกเล่าพอเป็นตำนาน ให้กับผู้ที่มาเกิดเป็นคน ร่วมชาติกัน และผู้ที่จะมาอีกในอนาคต ให้ได้เห็น เป็นเครื่องเตือนสติ ว่า ได้เกิดมาเป็น คน แล้ว อย่าให้เสียชาติเกิด
อย่าให้ พลังงาน(บุญกุศล)มันถดถอย เพราะเมื่อตายแล้วอาจจะต้องไปอยู่ในภพภูมิที่ลำบาก
หรือที่เรียกว่า ทุกขติยภูมิ ซึ่งได้แก่ สัตว์เดรรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์ตามขุมนรกทั้งหลาย
เกริ่นนำในตอนนี้ ค่อนข้างจะหนักหน่อย เริ่มเลยดีกว่าครับ ขอยกเอาภาพ ที่ 3 จากหน้าที่แล้ว มาเป็นตัวตั้ง ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายจากแม่น้ำโขง เมื่อปี 51 เอามาเปรียบเทียบกับลักษณะ ของวิญญาณ
ที่ถ่ายได้ในที่อื่นๆ (ในปีนี้ 4 ตุลาคม 2552 ผมก็จะไปเลาะริมโขงอีก เพื่อเก็บข้อมูล มาเปรียบเทียบกัน มีอะไรดีๆ จะมาเล่าให้ท่านฟัง ท่านทั้งหลายมีอะไรดีๆ ก็ส่งผ่านเมล์ มาให้ดูด้วยนะครับ เพราะ จะได้ร่วมบันทึกโลกไปด้วยกัน
อาจจะใช้ชื่อกลุ่มว่า คนล่าผี นามเรียกขานผม ด๊อกเตอร์โกสท์ ท่านก็ ตั้งชื่อไปตามชอบ
ตามความเหมาะสม ผมว่าก็ดีอยู่นะ อย่าให้แต่เผ่าพันธุ์ฝรั่งเป็นผู้สร้างองค์ความรู้แต่ฝ่ายเดียว เผ่าพันธุ์เอเชีย พันธุ์ไทย ก็น่าจะทำได้เช่นเดียวกัน ไม่แน่น๊า คุณๆท่านๆ หลายคนมีจิตละเอียดกว่าผม หลายคนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับโลกวิญญาณมากกว่าผม หลายๆคนมีบารมียิ่งไปกว่าผม ท่านก็จะได้ ภาพ ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่เป็นประโยชน์ ต่อมวลมนุษยชาติ ยิ่งกว่า การค้นพบระเบิดปรมาณูของ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ซะอีก )
เป็นภาพที่ 3 จากหน้าที่แล้ว ที่ถ่ายได้จากแม่น้ำโขง ครับ เอาภาพนี้เป็นตัวตั้ง เพื่อเปรียบเทียบกับภาพอื่น
เป็นภาพที่ 3 จากหน้าที่แล้ว ที่ถ่ายได้จากแม่น้ำโขง ครับ เอาภาพนี้เป็นตัวตั้ง เพื่อเปรียบเทียบกับภาพอื่น
ภาพ 1, 2, และ 3 เป็นภาพดวงไฟที่ถ่ายได้จากแม่น้ำมูล มีลักษณะไม่แตกต่างจาก ที่ถ่ายได้ ณ แม่น้ำโขง
ภาพนี้ถ่ายที่ชายทะเล ครับ วิญญาณเยอะมาก ก็รู้สึกกลัวๆ เหมือนกัน บางครั้ง ถูกถาม(วิญญาณ ถาม) "คุณจะกลัวเราทำไม" ก็ตอบแบบเขินๆ " น่านนะสิ " แล้วก็ กดชัตเตอร์ ต่อไป
ภาพนี้ถ่ายที่ วัดผาสุการาม อำเภอวารินชำราบ
เราก็ดูไปพร้อมๆกัน ซึ่งจะเห็นว่า ดวงไฟจากแม่น้ำโขง ก็มีลักษณะคล้าย กับ ดวงวิญญาณ จากหลายๆที่
ในข้อสรุปของผม จึง บันทึกไว้ว่า บั้งไฟพญานาค คือ ดวงวิญญาณ
จากข้อสรุปข้างต้น จึงสามารถตอบคำถามได้ว่า เพราะอะไร ในการพิสูจน์ ของนักวิทยาศาสตร์ จากหลายสำนัก ในเรื่อง บั้งไฟพญานาค จึงไม่ก้าวหน้า และยังคงใช้ ทฤษฎีกลุ่มแก๊ส ทฤษฎีแรงกดดัน แรงดึงดูด ระหว่างดวงดาว มาอธิบายปรากฎการณ์ ดังกล่าว
ซึ่งผู้คนได้ยินได้ฟังก็ นิ่งเงียบ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปถกเถียง เพราะเขาเหล่านั้นก็ไม่มีความรู้
ในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งไม่ได้คิดว่าจะค้นหาความจริงในเรื่องดังกล่าว ในส่วนของตัวผม บังเอิญได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ จึงมีความคาบเกี่ยวกับเรื่องลึกลับดังกล่าว แม้ว่าเครื่องมือในการพิสูจน์ จะมีเพียงกล้องถ่ายภาพ ไม่ได้มีอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ มากมาย มาประกอบในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความน่าเชื่อถือย่อมมีน้อย
แต่ถึงกระนั้น ผมก็ไม่ได้จำนนอยู่กับ ทฤษฎีหรือจำนวนของเครื่องมือ ผมได้อุทิศตนเอง "ใช้จิต"
ที่เป็นกลาง ทางความเชื่อ ความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจ ความมุ่งมั่น ความอดทน จนสามารถเปิดประตูมิติของโลกวิญญาณ บันทึกภาพ ผ่านกล้องดิจิตอล ธรรมดา ที่ผนึกรวมกับจิตใจที่มุ่งมั่น
จนกลายเป็น กล้องถ่ายวิญญาณ และบันทึกภาพต่างๆ มานำเสนอต่อท่าน และเผยแพร่สู่ระบบสากล ซึ่งการลงข้อ สรุป อาจจะขัดใจ กับผู้ที่มีความเห็นไม่สอดคล้องกัน แต่โดยสภาพทางวิชาการ ถ้าเราไม่ได้ศึกษาเรื่องใดอย่างจริงจัง เราก็ควรฟังผู้ที่เขาได้ลงมือทำ เพราะเรื่องนี้ยังใหม่ และลึกลับ สำหรับ โลกมนุษย์ ทั้งที่เป็น ของธรรมชาติ มีมาอยู่แล้ว แต่มนุษยชาติ ไม่ได้สนใจ ในศาสตร์นี้อย่างจริงจัง
สีของบั้งไฟพญานาค เป็นตัว บอกว่า วิญญาญดังกล่าว จะไปเกิดในภพใด อันนี้เป็นเรื่องเล่านะ ผมยังไม่มีภาพถ่าย หรือ ข้อมูลอื่นใดมายืนยัน เพราะ
สีของบั้งไฟพญานาค เป็นตัว บอกว่า วิญญาญดังกล่าว จะไปเกิดในภพใด อันนี้เป็นเรื่องเล่านะ ผมยังไม่มีภาพถ่าย หรือ ข้อมูลอื่นใดมายืนยัน เพราะ
1) จากการที่ผม ได้พูดคุย กับพญานาค ที่ผ่านร่างทรง
2) จากการที่ได้คุยกะวิญญาณ เทวดา ที่ผ่านร่างทรง (ให้สังเกตว่า ผมจะไม่ยืนยัน โดย อ้างว่า เกิดจากการสัมผัส ทางจิต จาก ญาณทัศนะของตนเอง แม้ว่า หลายอย่างหลายเรื่อง ที่ตนรู้ ก็ไม่อ้าง เพราะต้องการพิสูจน์ โดยหลักทางวิทยาศาสตร์ อะไรที่มีอยู่จริง ก็จะเป็นอยู่อย่างนั้น
เพียงยังรอการค้นพบด้วยวิธีการที่เหมาะสม) จากการพูดคุยใน 2 สถานการณ์ พบสิ่งที่ตรงกันคือ วิญญาณ 2 องค์ กล่าว ว่า บั้งไฟพญานาค คือ วิญญาณ ซึ่งผมได้รูปถ่าย เหล่านี้ ก่อนที่จะได้ไปสนทนากับวิญญาณทั้ง 2 และ สิ่งที่เป็นข้อมูลใหม่ พญานาค กล่าวว่า เขาทำงานร่วมกันกับ ยมโลก เป็นผู้ส่งวิญญาณ ผู้พ้นจากขุมนรก เพื่อไปสู่ภพใหม่
ข้อความตอนนี้ บังเอิญ ไปสอดคล้องกับ ความเชื่อของยุโรป เกี่ยวกับโลกวิญญาณ อย่างที่ หนังฮอลลีวู๊ด เรื่อง ไพรเวทออฟแคริบเบียล หนังโจรสลัด ที่มีตอนหนึ่ง ได้กล่าวถึง บรรดาฝูงวิญญาณ นั่งเรือ ถือตะเกียงลอยไปตามมหาสมุทรเพื่อเข้าสู่โลกวิญญาณ ถ้าเป็นจริงตามนั้น แสดงว่า ฝรั่ง เขาก็ศึกษาเรื่องนี้ มาไม่น้อยเหมือนกันจนนำมาเป็นเรื่องเล่า บอกลูกบอกหลาน ในเรื่องของ สีบั้งไฟ
ผมจะขอเล่า เท่าที่จำได้ ถ้าคลาดเคลื่อนก็ต้องกราบขออภัย
สีส้ม คือ วิญญาณที่จะไปเกิดเป็น คน
สีแดง คือวิญญาณ ที่จะไปเกิดเป็น สัตว์
สีชมพู คือวิญญาณ ที่มีความกล้ำกึ่งกัน ระหว่าง สัตว์กับคน ไปเกิดเป็นคนก็ได้ หรือ เกิดเป็นสัตว์ก็ได้
สีขาว คือ วิญญาณ ที่จะไปจุติ(เกิด) ในภพสวรรค์
จากข้อสังเกตได้บนโลก เห็นได้ด้วยตามนุษย์ คือ ดวงบั้งไฟ สี แดง สีส้ม สีแดงอมชมพู ซึ่งตามที่พบอยู่ หนองคาย และที่ อุบล ในส่วน ของบั้งไฟ ดวงสีขาว ก็อย่างที่ผมเอามานำเรียนเสนอไว้
สีชมพู คือวิญญาณ ที่มีความกล้ำกึ่งกัน ระหว่าง สัตว์กับคน ไปเกิดเป็นคนก็ได้ หรือ เกิดเป็นสัตว์ก็ได้
สีขาว คือ วิญญาณ ที่จะไปจุติ(เกิด) ในภพสวรรค์
จากข้อสังเกตได้บนโลก เห็นได้ด้วยตามนุษย์ คือ ดวงบั้งไฟ สี แดง สีส้ม สีแดงอมชมพู ซึ่งตามที่พบอยู่ หนองคาย และที่ อุบล ในส่วน ของบั้งไฟ ดวงสีขาว ก็อย่างที่ผมเอามานำเรียนเสนอไว้
มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และมีอีกหลายสี ที่ผมไม่รู้ความหมาย เช่น สีเขียว สีฟ้า สีม่วง สีเหลือง สีทอง สีดำ สีเทา
ที่มา : วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com)
____________________
เครดิต : ยรรยง สินธุ์งาม (ฅนค้นผี)
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ที่มา : วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com)
____________________
เครดิต : ยรรยง สินธุ์งาม (ฅนค้นผี)
________________________________
อ้างอิง :
________________________________