ใกล้วันออกพรรษา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวัน และเป็นวันสำคัญที่คนไทย ริมฝั่งแม่น้ำโขงรอชมปรากฏการณ์ที่เรียกว่า บั้งไฟพญานาค ซึ่งปีนี้ ตรงกับวันที่ 30 ตุลาคม หรือวันขึ้น 15 เดือน 11 ของทุกปี
ถึงแม้ว่ายังไม่ใครพิสูจน์ ได้อย่างชัดเจน ว่าทำไมลูกไฟ จึงผุดขึ้นมาจาแม่น้ำโขงเฉพาะคืนวันออกพรรษา ทั้งๆที่หากนับวันเดือนปี ตามปฏิทินสากลนั้นวันไม่ได้ตรงกันในทุกๆปี
ในบทความนี้ allmysteryworld ขอนำเสนอ อีกหนึ่งแง่มุม ปริศนาของบังบั้งไฟพญานาค ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จับภาพได้ ด้วยกล้องถ่ายรูป ที่เรียกได้อาศัยจิตวิญาญาณรวมผสานเป็นหนึ่งเดียวกับกล้อง (หรือที่เรียกว่า กล้องถ่ายวิญญาณ) ภาพเหล่านี้จึงปรากฏมาให้เห็นครับ
เอาละครับมาชมกัน
---โปรดใช้วิจารณญาณ ในการับชม---
ภาพถ่าย และ วิเคราะห์ โดย ยรรยง สินธุ์งาม (ฅนค้นผี)
ภาพบั้งไฟ พญานาค ริมโขง อุบลราชธานี : พิสูจน์กันด้วยตา บั้งไฟพญานาค คืออะไร
ภาพเหล่านี้ ในวันออกพรรษา ปี 2551 จาก ริมแม่น้ำโขง บ้านท่าล้ง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
ในคืนเดือนมืด ผู้คนต่างรอชม ปรากฎการณ์ ลูกไฟธรรมชาติ ที่พุ่งขึ้นจากลำน้ำโขง ผู้คน เกือบ 5 หมื่น คน ต่างหาจับจองที่นั่งชม ตามจุดที่ทางจังหวัด หรือ อบต. หรือชุมชน ได้จัดเตรียมไว้
ซึ่งเป็นปีที่ 3 ที่ จังหวัดได้ประชาสัมพันธ์ เชิญชวน พี่น้องมาเที่ยวชม ผมก็ออกเดินทาง ไปพร้อมกับคนรู้ใจ และ พี่ชาย ที่รักใคร่ชอบพอกัน
บรรยากาศ ริมน้ำโขง ขณะนั้น มืดสนิท ผู้คนเฝ้ารอคอย ดูแสงลูกไฟจาก กลางแม่น้ำโขง อย่างตื่นเต้น มีเพียงเสียงคุยกันเบาๆ ของคนนับร้อย ที่เฝ้าดูอยู่บริเวณ ศาลาริมโขง บ้านท่าล้ง ทันทีที่ มีลูกไฟพุ่งขึ้นจากน้ำ ก็จะมีเสียง ผู้คนเฮ ดังเป็นระยะ ๆ
บรรยากาศ ริมน้ำโขง ขณะนั้น มืดสนิท ผู้คนเฝ้ารอคอย ดูแสงลูกไฟจาก กลางแม่น้ำโขง อย่างตื่นเต้น มีเพียงเสียงคุยกันเบาๆ ของคนนับร้อย ที่เฝ้าดูอยู่บริเวณ ศาลาริมโขง บ้านท่าล้ง ทันทีที่ มีลูกไฟพุ่งขึ้นจากน้ำ ก็จะมีเสียง ผู้คนเฮ ดังเป็นระยะ ๆ
1. ภาพลูกไฟ สีส้มแดง ที่พุ่งขึ้นจากกลางแม่น้ำโขง ไม่มีประกายไฟ ไม่มีควัน ไม่มีหาง ทิศทางการพุ่ง ทุกลูกจะพุ่งจากกลางแม่น้ำโขง และพุ่งเอียงเข้าหาฝั่งไทย (ซึ่งต่างจากที่หนองคายจะพุ่งจากบริเวณริมน้ำ เข้าไปกลางลำน้ำ) ทุกลูกไม่มีการโค้งลง เมื่อได้ความสูงระดับหนึ่ง ก็จะดับ หายวับ
ไม่มีสะเก็ด ไม่มีประกาย นี่เป็นลักษณะของ บั้งไฟพญานาค ที่บ้านตามุย บ้านกุ่ม บ้านท่าล้ง อ.โขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี และมีเฉพาะดวงไฟสีส้มแดง เท่านั้น ที่ คนมองเห็นด้วยตาเปล่า
แต่สำหรับผม ยังมีมากกว่านั้น เพราะผมมี ตาอิเล็กทรอนิกส์ กล้องถ่ายวิญญาณ ของผมไงละครับ บั้งไฟพญานาค ก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง ที่มีอยู่ในธรรมชาติ เพียงแต่ มนุษย์ยังก้าวข้ามขอบเขตความรู้นั้นมายังไม่ถึง ครับ และต่อไปนี้ เป็นภาพที่คนอื่น มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
ภาพขยายจากภาพบน |
2.ภาพบั้งไฟพญานาค ดวงสีขาว พุ่งขึ้น จากพื้นดิน ริมฝั่งโขง ให้สังเกตบริเวณช่วงหาง จะเห็นดวงกลม3-4 ดวง ในดวงกลมจางๆ แต่ละดวง เห็น ตาดำ ตาขาว ชัดเจน
6.บั้งไฟพญานาคดวงนี้ มีรัศมีสีเขียว ถ่ายได้จากกลางแม่น้ำโขง เช่นกัน (มีข้อมูลใหม่ เกี่ยวกับลูกไฟสีเขียว ในหน้าที่ 4 ครับ)
2 ภาพนี้ เป็นพลังงานลักษณะคล้ายจานบิน ที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำโขง ขณะเกิดบั้งไฟพญานาค มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จับภาพได้ด้วยกล้อง จากการสุ่มถ่าย ท่ามกลางความมืด ( มีวิเคราะห์เพิ่มเติม ในหน้าที่ 4 ครับ )
4 ทุ่ม รถติดยาวเป็นกิโล กลางป่า มีทั้งผู้เพิ่งเดินทางมา และผู้ที่กำลังจะเดินทางกลับ
แม้อยู่กลางป่า แต่ก็มีความอบอุ่นและปลอดภัยเต็มร้อย
บั้งไฟพญานาค คืออะไร
ในข้อสรุปของผม บั้งไฟพญานาค คือ ดวงวิญญาณ ครับ มีหลายสี สีที่ตาเรามองเห็น คือ สีส้มแดง ถ้าเป็นบั้งไฟพญานาค ที่หนองคาย จะเป็น สีแดงอมชมพู สีแต่ละสีมีความหมายครับ
รอให้ผมเรียบเรียงข้อมูล อีกซักหน่อย จะมาเล่าสู่กันฟัง กับการถกเถียงกับพญานาค ที่ผ่านร่างทรง
วิเคราะห์บั้งไฟพญานาค 2
ผมมีข้อมูลที่จะนำมาเล่าต่อ อันที่จริงอยากจะกล่าวถึง ความรู้ใน 2 ทฤษฎี ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คือ
1. ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการถ่ายภาพ และ
2.ทฤษฎีทางฟิสิกส์ ซึ่งตัวผมเองไม่ได้ละเลยศาสตร์ที่เกี่ยวกับทฤษฎีดังกล่าว เพียงแต่ มีแนวคิดว่า
"เมื่อไหร่ที่ เราให้สิ่งที่มีอยู่เดิม มาครอบงำเรามากเกินไป ก็จะทำให้ ไม่ได้พบกับสิ่งใหม่"
ผมจึงวางทฤษฎีทั้งหลายไว้ข้างๆ แล้ว หยิบจับ สิ่งที่เราศึกษา มาพิจารณา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายคน กล่าว ว่า "บ้า" หลายคนกล่าวว่า
"คลั่งไคล้" หลายคนกล่าวว่า "งมงาย" แต่ทุกคน ล้วนแล้วแต่ต้องตาย ล้วนแล้วแต่กลัวผี
จนบางครั้งผมอยากย้อนถามว่า
"การที่คุณวิพากษ์ผู้อื่น ที่เขาแสวงหาความรู้ อย่างมุ่งมั่น แล้วตัวคุณเอง เคยคิดจะหาคำตอบ ในเรื่องใดๆ อย่างจริงจังหรือไม่ "
ก็เป็นเพียงความคิดนะ ไม่ได้ถามหรอก เพราะเสียเวลา ถ้ามัวไปโต้เถียงเพื่อให้เขายอมรับ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะรู้คำตอบที่เราอยากรู้ การที่เขาจะยอมรับ หรือไม่ยอมรับ มันก็เป็นเรื่องของเขา
โลกวิญญาณ ก็ยังคงเป็นโลกวิญญาณ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามความเชื่อของใคร
ผมคนล่าผี ก็ออกตระเวณไพร ค้นหาความรู้ต่อไป เท่าที่มีลมหายใจ ดำรงอยู่ในร่างมนุษย์
โดยแท้ที่จริงแล้ว ตัวผมรู้ซึ้ง ในเรื่องเหล่านี้ เป็นอย่างดี แต่ที่ ออกล่าวิญญาณ ก็เพื่อหาหลักฐาน
เท่าที่จะทำได้ เพื่อบอกเล่าพอเป็นตำนาน ให้กับผู้ที่มาเกิดเป็นคน ร่วมชาติกัน และผู้ที่จะมาอีกในอนาคต ให้ได้เห็น เป็นเครื่องเตือนสติ ว่า ได้เกิดมาเป็น คน แล้ว อย่าให้เสียชาติเกิด
อย่าให้ พลังงาน(บุญกุศล)มันถดถอย เพราะเมื่อตายแล้วอาจจะต้องไปอยู่ในภพภูมิที่ลำบาก
หรือที่เรียกว่า ทุกขติยภูมิ ซึ่งได้แก่ สัตว์เดรรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์ตามขุมนรกทั้งหลาย
เกริ่นนำในตอนนี้ ค่อนข้างจะหนักหน่อย เริ่มเลยดีกว่าครับ ขอยกเอาภาพ ที่ 3 จากหน้าที่แล้ว มาเป็นตัวตั้ง ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายจากแม่น้ำโขง เมื่อปี 51 เอามาเปรียบเทียบกับลักษณะ ของวิญญาณ
ที่ถ่ายได้ในที่อื่นๆ (ในปีนี้ 4 ตุลาคม 2552 ผมก็จะไปเลาะริมโขงอีก เพื่อเก็บข้อมูล มาเปรียบเทียบกัน มีอะไรดีๆ จะมาเล่าให้ท่านฟัง ท่านทั้งหลายมีอะไรดีๆ ก็ส่งผ่านเมล์ มาให้ดูด้วยนะครับ เพราะ จะได้ร่วมบันทึกโลกไปด้วยกัน
อาจจะใช้ชื่อกลุ่มว่า คนล่าผี นามเรียกขานผม ด๊อกเตอร์โกสท์ ท่านก็ ตั้งชื่อไปตามชอบ
ตามความเหมาะสม ผมว่าก็ดีอยู่นะ อย่าให้แต่เผ่าพันธุ์ฝรั่งเป็นผู้สร้างองค์ความรู้แต่ฝ่ายเดียว เผ่าพันธุ์เอเชีย พันธุ์ไทย ก็น่าจะทำได้เช่นเดียวกัน ไม่แน่น๊า คุณๆท่านๆ หลายคนมีจิตละเอียดกว่าผม หลายคนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับโลกวิญญาณมากกว่าผม หลายๆคนมีบารมียิ่งไปกว่าผม ท่านก็จะได้ ภาพ ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่เป็นประโยชน์ ต่อมวลมนุษยชาติ ยิ่งกว่า การค้นพบระเบิดปรมาณูของ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ซะอีก )
เป็นภาพที่ 3 จากหน้าที่แล้ว ที่ถ่ายได้จากแม่น้ำโขง ครับ เอาภาพนี้เป็นตัวตั้ง เพื่อเปรียบเทียบกับภาพอื่น
เป็นภาพที่ 3 จากหน้าที่แล้ว ที่ถ่ายได้จากแม่น้ำโขง ครับ เอาภาพนี้เป็นตัวตั้ง เพื่อเปรียบเทียบกับภาพอื่น
ภาพ 1, 2, และ 3 เป็นภาพดวงไฟที่ถ่ายได้จากแม่น้ำมูล มีลักษณะไม่แตกต่างจาก ที่ถ่ายได้ ณ แม่น้ำโขง
ภาพนี้ถ่ายที่ชายทะเล ครับ วิญญาณเยอะมาก ก็รู้สึกกลัวๆ เหมือนกัน บางครั้ง ถูกถาม(วิญญาณ ถาม) "คุณจะกลัวเราทำไม" ก็ตอบแบบเขินๆ " น่านนะสิ " แล้วก็ กดชัตเตอร์ ต่อไป
ภาพนี้ถ่ายที่ วัดผาสุการาม อำเภอวารินชำราบ
เราก็ดูไปพร้อมๆกัน ซึ่งจะเห็นว่า ดวงไฟจากแม่น้ำโขง ก็มีลักษณะคล้าย กับ ดวงวิญญาณ จากหลายๆที่
ในข้อสรุปของผม จึง บันทึกไว้ว่า บั้งไฟพญานาค คือ ดวงวิญญาณ
จากข้อสรุปข้างต้น จึงสามารถตอบคำถามได้ว่า เพราะอะไร ในการพิสูจน์ ของนักวิทยาศาสตร์ จากหลายสำนัก ในเรื่อง บั้งไฟพญานาค จึงไม่ก้าวหน้า และยังคงใช้ ทฤษฎีกลุ่มแก๊ส ทฤษฎีแรงกดดัน แรงดึงดูด ระหว่างดวงดาว มาอธิบายปรากฎการณ์ ดังกล่าว
ซึ่งผู้คนได้ยินได้ฟังก็ นิ่งเงียบ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปถกเถียง เพราะเขาเหล่านั้นก็ไม่มีความรู้
ในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งไม่ได้คิดว่าจะค้นหาความจริงในเรื่องดังกล่าว ในส่วนของตัวผม บังเอิญได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ จึงมีความคาบเกี่ยวกับเรื่องลึกลับดังกล่าว แม้ว่าเครื่องมือในการพิสูจน์ จะมีเพียงกล้องถ่ายภาพ ไม่ได้มีอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ มากมาย มาประกอบในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความน่าเชื่อถือย่อมมีน้อย
แต่ถึงกระนั้น ผมก็ไม่ได้จำนนอยู่กับ ทฤษฎีหรือจำนวนของเครื่องมือ ผมได้อุทิศตนเอง "ใช้จิต"
ที่เป็นกลาง ทางความเชื่อ ความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจ ความมุ่งมั่น ความอดทน จนสามารถเปิดประตูมิติของโลกวิญญาณ บันทึกภาพ ผ่านกล้องดิจิตอล ธรรมดา ที่ผนึกรวมกับจิตใจที่มุ่งมั่น
จนกลายเป็น กล้องถ่ายวิญญาณ และบันทึกภาพต่างๆ มานำเสนอต่อท่าน และเผยแพร่สู่ระบบสากล ซึ่งการลงข้อ สรุป อาจจะขัดใจ กับผู้ที่มีความเห็นไม่สอดคล้องกัน แต่โดยสภาพทางวิชาการ ถ้าเราไม่ได้ศึกษาเรื่องใดอย่างจริงจัง เราก็ควรฟังผู้ที่เขาได้ลงมือทำ เพราะเรื่องนี้ยังใหม่ และลึกลับ สำหรับ โลกมนุษย์ ทั้งที่เป็น ของธรรมชาติ มีมาอยู่แล้ว แต่มนุษยชาติ ไม่ได้สนใจ ในศาสตร์นี้อย่างจริงจัง
สีของบั้งไฟพญานาค เป็นตัว บอกว่า วิญญาญดังกล่าว จะไปเกิดในภพใด อันนี้เป็นเรื่องเล่านะ ผมยังไม่มีภาพถ่าย หรือ ข้อมูลอื่นใดมายืนยัน เพราะ
สีของบั้งไฟพญานาค เป็นตัว บอกว่า วิญญาญดังกล่าว จะไปเกิดในภพใด อันนี้เป็นเรื่องเล่านะ ผมยังไม่มีภาพถ่าย หรือ ข้อมูลอื่นใดมายืนยัน เพราะ
1) จากการที่ผม ได้พูดคุย กับพญานาค ที่ผ่านร่างทรง
2) จากการที่ได้คุยกะวิญญาณ เทวดา ที่ผ่านร่างทรง (ให้สังเกตว่า ผมจะไม่ยืนยัน โดย อ้างว่า เกิดจากการสัมผัส ทางจิต จาก ญาณทัศนะของตนเอง แม้ว่า หลายอย่างหลายเรื่อง ที่ตนรู้ ก็ไม่อ้าง เพราะต้องการพิสูจน์ โดยหลักทางวิทยาศาสตร์ อะไรที่มีอยู่จริง ก็จะเป็นอยู่อย่างนั้น
เพียงยังรอการค้นพบด้วยวิธีการที่เหมาะสม) จากการพูดคุยใน 2 สถานการณ์ พบสิ่งที่ตรงกันคือ วิญญาณ 2 องค์ กล่าว ว่า บั้งไฟพญานาค คือ วิญญาณ ซึ่งผมได้รูปถ่าย เหล่านี้ ก่อนที่จะได้ไปสนทนากับวิญญาณทั้ง 2 และ สิ่งที่เป็นข้อมูลใหม่ พญานาค กล่าวว่า เขาทำงานร่วมกันกับ ยมโลก เป็นผู้ส่งวิญญาณ ผู้พ้นจากขุมนรก เพื่อไปสู่ภพใหม่
ข้อความตอนนี้ บังเอิญ ไปสอดคล้องกับ ความเชื่อของยุโรป เกี่ยวกับโลกวิญญาณ อย่างที่ หนังฮอลลีวู๊ด เรื่อง ไพรเวทออฟแคริบเบียล หนังโจรสลัด ที่มีตอนหนึ่ง ได้กล่าวถึง บรรดาฝูงวิญญาณ นั่งเรือ ถือตะเกียงลอยไปตามมหาสมุทรเพื่อเข้าสู่โลกวิญญาณ ถ้าเป็นจริงตามนั้น แสดงว่า ฝรั่ง เขาก็ศึกษาเรื่องนี้ มาไม่น้อยเหมือนกันจนนำมาเป็นเรื่องเล่า บอกลูกบอกหลาน ในเรื่องของ สีบั้งไฟ
ผมจะขอเล่า เท่าที่จำได้ ถ้าคลาดเคลื่อนก็ต้องกราบขออภัย
สีส้ม คือ วิญญาณที่จะไปเกิดเป็น คน
สีแดง คือวิญญาณ ที่จะไปเกิดเป็น สัตว์
สีชมพู คือวิญญาณ ที่มีความกล้ำกึ่งกัน ระหว่าง สัตว์กับคน ไปเกิดเป็นคนก็ได้ หรือ เกิดเป็นสัตว์ก็ได้
สีขาว คือ วิญญาณ ที่จะไปจุติ(เกิด) ในภพสวรรค์
จากข้อสังเกตได้บนโลก เห็นได้ด้วยตามนุษย์ คือ ดวงบั้งไฟ สี แดง สีส้ม สีแดงอมชมพู ซึ่งตามที่พบอยู่ หนองคาย และที่ อุบล ในส่วน ของบั้งไฟ ดวงสีขาว ก็อย่างที่ผมเอามานำเรียนเสนอไว้
สีชมพู คือวิญญาณ ที่มีความกล้ำกึ่งกัน ระหว่าง สัตว์กับคน ไปเกิดเป็นคนก็ได้ หรือ เกิดเป็นสัตว์ก็ได้
สีขาว คือ วิญญาณ ที่จะไปจุติ(เกิด) ในภพสวรรค์
จากข้อสังเกตได้บนโลก เห็นได้ด้วยตามนุษย์ คือ ดวงบั้งไฟ สี แดง สีส้ม สีแดงอมชมพู ซึ่งตามที่พบอยู่ หนองคาย และที่ อุบล ในส่วน ของบั้งไฟ ดวงสีขาว ก็อย่างที่ผมเอามานำเรียนเสนอไว้
มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และมีอีกหลายสี ที่ผมไม่รู้ความหมาย เช่น สีเขียว สีฟ้า สีม่วง สีเหลือง สีทอง สีดำ สีเทา
ที่มา : วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com)
____________________
เครดิต : ยรรยง สินธุ์งาม (ฅนค้นผี)
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ที่มา : วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com)
____________________
เครดิต : ยรรยง สินธุ์งาม (ฅนค้นผี)
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
loading...