...เรื่องประหลาดนี้เกิดขึ้นที่ประเทศอิตาลี บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐบาลพากันปิดปากเงียบ ที่ขบวนรถด่วน
ขบวนหนึ่งพร้อมกับผู้โดยสารหายลึกลับอย่างไร้ร่องรอย ขณะเคลื่อนเข้าไปในอุโมงค์แห่งหนึ่งเมื่อปี
พ.ศ.๒๔๙๒ แล้วจู่ๆโผล่ออกมาอีกในสภาพเดิมทุกอย่าง เมื่อต้นปีนี้คือ พ.ศ.๒๕๓๕...
...ที่ประหลาดยิ่งขึ้น ผู้โดยสารจำนวน ๑๒๐ คน และพนักงานประจำรถ ๓ คน มีอายุเท่ากับวันที่หายเข้า
ไปในอุโมงค์ไม่มีใครแก่อายุมากขึ้นสักวันเดียว รูปร่างเหมือนเดิมทุกอย่าง และพวกเขายังเชื่อว่า...
ทุกวันนี้ยังเป็น พ.ศ. ๒๔๙๒ อยู่...
...รัฐบาลอิตาลีเก็บเรื่องนี้เงียบที่จะพูดถึงขบวนรถด่วนหมายเลข เอฟ ๖๒๖ และยังไม่ยอมพูดถึงว่า...
เอาขบวนรถนั้นไปไว้ที่ไหนด้วย ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้น ยังคอยจับตาผู้โดยสารทุกคนเว้นแต่มี ๒ คน...
ที่เป็นชาวต่างประเทศหลบหนีการสอบสวนไป ส่วนพนักงานประจำรถ ๓ คน รัฐบาลได้เก็บตัวไว้ใน...
สถานที่หนึ่ง ไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณชน...
...ข่าวการหายไปของขบวนรถด่วน เอฟ ๖๒๖ หายลึกลับไป ๔๒ ปี และโผล่กลับมาอีกนั้น แม้ว่าทาง
การ พยายามปิดข่าว แต่หนังสือพิมพ์อิตาลีเกือบทุกฉบับสามารถที่จะติดตามมาเสนอได้ พยานทีได้
รับทราบเหตุการณ์ครั้งนี้เผย ตั้งแต่เริ่มต้นที่ขบวนรถด่วนนี้มีด้วยกัน ๑๓ โบกี้ หายเข้าไปในอุโมงค์...
รถไฟที่มีความยาว ๑ ใน ๔ ไมล์อย่างลึกลับไม่ยอมโผล่ออกไปอีกทางหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงปิดอุโมงค์ทำ
การค้นหา ซึ่งมีทั้งตำรวจและ นักวิทยาศาสตร์ โดยได้ค้นทุกตารางนิ้ว แต่ไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อยว่า
มันหายไปได้อย่างไร รางถึงกับรื้อออกแล้วนำมาวางใหม่ เมื่อค้นหากันไม่พบทำให้หลายคนเชื่อว่า...
มนุษย์ต่างดาวได้ทำการโจรกรรมโขมยรถด่วนนี้ไป ตามรายงานของ นสพ.อุโมงค์ได้เปิดอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อปี ๒๔๙๓ ตั้งแต่นั้นมา แม้ว่าจะมีขบวนรถไฟผ่านไปมาเป็นพันขบวนก็ไม่มีอุบัติเหตุอันแปลก...
ประหลาดลี้ลับนั้นเกิดขึ้นอีกเลย...
...แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ก็มีคนพยายามค้นหาขบวนรถด่วน เอฟ ๖๒๖ แต่ก็พบว่า
มีแต่ความว่างเปล่า บางคนถึงกับสรุปว่า รถขบวนนี้ถูกหุ้มห่อด้วยกาลเวลาและเดินทางไปสู่อนาคตอัน
ไกลพ้น...
เรื่องราวแบบนี้เคยเกิดขึ้นในสหรัฐ เรืออินเซอร่า ซึ่งเป็นเรือคุ้มครองเรือประจัญบานของกองทัพเรือสหรัฐ
จู่ๆก็หายอย่างลึกลับจากอู่เรือที่ฟิลาเดลเฟียในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่แล้วจู่ๆก็ไปปรากฏตัวที่
ฐานทัพเรือนอร์ฟอร์ด ซึ่งทุกวันนี้ยังหาคำตอบไม่ได้...
...เมื่อรัฐบาลปิดข่าว หนังสืออิตาลีก็พยายามที่จะขุดค้นออกมา ในที่สุดหนังสือพิมพ์โรมเดลี่ที่ขายดีมาก
สามารถไปคว้าเอาเทปมาริโอ ฟรานซินี ช่างเครื่องรถไฟขบวนนี้มาตีแผ่ได้ ซึ่งมีดังนี้...
"ขณะที่ขบวนรถเคลื่อนเข้าไปในอุโมงค์นั้น ไม่นานนักก็มีหมอกสีขาวหนาลอยฟ่อง สมองรู้สึกปั่นป่วนไป
หมด จากนั้นก็หมดสติไม่รู้สึกตัว มาได้สติอีกครั้งหนึ่งเมื่อขบวนรถได้ออกจากอุโมงค์แล้ว เราคิดว่าเวลา
คงจะห่างกันไม่ถึงนาทีดี แต่ที่ไหนได้ เมื่อขบวนรถเรากลับมาถึงสถานีโบล้อคน่าถึงได้ทราบว่า ได้ห่างกัน
ถึง ๔๒ ปี นี่คือสิ่งเดียวที่เรารู้ "
...ผู้โดยสารอื่นๆก็ให้การคล้ายคลึงกันว่า มีหมอกลงจัดเมื่อเวลาเข้าอุโมงค์แล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย...
...ผู้โดยสารขบวนรถด่วน เอฟ ๖๒๖ ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ ๒ คน ที่หลบการให้การคือ อดอล์ฟ โรเนอร์
เป็นชาวเยอรมันกับมาร์ติน บาร์ตเลตต์ ชาวแอฟริกาใต้ สำหรับโรเนอร์มีนักข่าวอิตาลีได้โทรศัพท์ไป...
หลอกถาม โดยอ้างว่าเป็นผู้โดยสารรถด่วนนั้นด้วยกัน...
...โรเนอร์ได้เล่าว่า ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปมาก ตอนที่เขาหายไปพร้อมกับขบวนรถไฟนั้นเขาอายุ ๓๐ ปี
มีลูกชายอายุ ๑๐ ขวบ " เดี๋ยวนี้ลูกชายผมอายุ ๕๒ ปีแล้ว อ้วนและเป็นโรคหัวใจ ส่วนภรรยาผมก็ย่างเข้า
๗๐ ปีแล้ว กำลังเป็นโรคเบาหวาน ส่วนผมกลับอายุเพียง ๓๐ ปี เท่านั้น เท่ากับเมื่อปี ๒๔๙๒ ...
...เรื่องราวเหล่านี้เป็นความลึกลับของโลกที่อธิบายได้ยาก ซับซ้อน น่าอัศจรรย์ใจ ต่อผู้ที่ได้รับฟัง
เป็นอย่างยิ่ง...
...และเรื่องนี้นับว่าเป็นปริศนาอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ชวนติดตาม สืบเสาะ ค้นหาที่มาความเป็นมา
เป็นไป...
ที่มา : http://exastrology.blogspot.com/2013/08/blog-post.html?m=1
____________________
แม้ดวงจันทร์จะเป็นเพื่อนบ้านในอวกาศของโลกที่อยู่ใกล้เราที่สุด แต่มีหลายเรื่องของบริวารดวงนี้ที่เราอาจไม่เคยรู้ และสเปซด็อทคอมได้รวบรวมไว้ 10 เรื่อง ดังนี้
1.กำเนิดจากการชน
ตามทฤษฎีที่ยอมรับกันส่วนใหญ่ ดวงจันทร์เกิดจากหินอวกาศขนาดเท่าดาวอังคารพุ่งชนโลก หลังระบบสุริยะก่อตัวได้ไม่นาน เมื่อประมาณ 4.5 ล้านปีก่อน
2.ล็อคด้านเดียวเข้าหาโลก
การที่ดวงจันทร์ทั้งหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบโลกที่หมุนรอบตัวเองแล้วโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ โดยที่หันด้านเดียวเข้าหาโลกนั้นเป็นเรื่องอัศจรรย์ โดยข้อมูลจากสเปซด็อทคอมระบุว่า แรงโน้มถ่วงโลกทำให้การหมุนรอบแกนหมุนของดวงจันทร์ช้าลง และการหมุนของดวงจันทร์ก็ช้าจนพอดีกับการโคจรรอบโลกและคงที่อยู่เช่นนั้น ซึ่งดวงจันทร์ของดาวเคราะห์อื่นๆ ก็มีรูปแบบคล้ายๆ กัน
เมื่อดวงจันทร์หมุนรอบโลกจะมีช่วงที่รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์มองไม่เห็นจากบนโลก เรียกระยะดังกล่าวว่า “เดือนมืด” (new moon) ดังนั้น จึงไม่มี “ด้านมืดของดวงจันทร์” แต่มีเพียงด้านที่เราไม่เคยได้เห็นเท่านั้น และเมื่อดวงจันทร์หมุนไปตามวงโคจรเราจะได้เห็นเสี้ยวของด้านที่สะท้อนแสงอาทิตย์ด้วยหรือที่เรียกว่า “จันทร์เสี้ยว” และเมื่อดวงจันทร์อยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เราก็จะได้เห็นดวงจันทร์สะท้อนแสงอาทิตย์เต็มๆ หรือที่เรียกว่า “พระจันทร์เต็มดวง”
3.ต้นไม้จากดวงจันทร์
มีต้นไม้กว่า 400 ต้นที่เคยไปไกลถึงดวงจันทร์ก่อนหยั่งรากบนโลก โดยเมื่อปี 1971 สจ็วต รูสา (Stuart Roosa) มนุษย์อวกาศประจำปฏิบัติการอพอลโล 14 (Apollo 14) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ได้นำเมล็ดพันธุ์ติดต่อขึ้นไปด้วย ระหว่างที่ อลัน เชพเพิร์ด (Alan Shepard) และ เอ็ดการ์ มิทเชลล์ (Edgar Mitchell) กับยุ่งอยู่กับการสำรวจไปบนพื้นผิวดวงจันทร์นั้น รูสาก็ทำหน้าที่ปกป้องเมล็ดพันธุ์อยู่ในวงโคจรรอบดวงจันทร์
หลังจากกลับมายังโลกเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก็ถูกปลูกไปทั่วสหรัฐฯ และเจริญงอกงามดี ซึ่งส่วนใหญ่ยังเติบโตดีและถูกเรียกว่า “ต้นดวงจันทร์”
4.ดวงจันทร์อาจมีน้องสาว
ดวงจันทร์อาจไม่ใช่บริวารเพียงดวงเดียวของโลก โดยเมื่อปี 1999 นักวิทยาศาสตร์ได้พบอุกกาบาตขนาด 5 กิโลเมตร ที่ถูกจับไว้ด้วยแรงโน้มถ่วงโลก เมื่อเป็นเช่นนั้นอุกกาบาตดังกล่าวซึ่งถูกเรียกว่า “ครูธเน” (Cruithne) จึงกลายเป็นบริวารของโลกไปโดยปริยาย น้องสาวของดวงจันทร์ดวงนี้ใช้เวลา 770 ปีโคจรรอบโลกเป็นรูปเกือกม้า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระบุว่าอุกกาบาตลูกนี้จะอยู่ในอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงโลกไปอย่างน้อย 5,000 ปี
5.ผ่านไปหลายล้านปีพื้นผิวก็ไม่เปลี่ยนแปลง
มีหลุมอุกกาบาตลึกขนาดใหญ่บนดวงจันทร์ ซึ่งเป็นผลจากการถูกหินอุกกาบาตพุ่งชนอย่างรุนแรงเมื่อระหว่าง 4.1-3.8 พันล้านปีก่อนหน้านี้ ซึ่งร่องรอยความรุนแรงดังกล่าวไม่สึกกร่อนเป็นเพราะ 2 เหตุผลหลัก คือ ดวงจันทร์ไม่มีความเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยามากเหมือนโลก ไม่ว่าภูเขาไฟหรือภูเขาก็ไม่ทำลายภูมิทัศน์เหมือนอย่างบนโลก และอีกเหตุผลคือดวงจันทร์แทบจะไม่มีชั้นบรรยากาศ ดังนั้น การสึกกร่อนจึงเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย
6.ดวงจันทร์ไม่กลม
รูปร่างของดวงจันทร์คล้ายรูปร่างของไข่มากกว่า และศูนย์กลางมวลของดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ตรงศูนย์กลางตามรูปทรงเรขาคณิต แต่อยู่ห่างจากศูนย์กลางรูปทรงเรขาคณิตดังกล่าวออกมา 2 กิโลเมตร
7.“มูนเควก” ดวงจันทร์ไหว
มนุษย์อวกาศในโครงการอพอลโลได้ใช้เครื่องมือวัดการสั่นสะเทือนบนดวงจันทร์ และพบว่าดวงจันทร์เทาๆ นี้ยังไม่ได้ตายด้าน แต่ยังยังมีการสั่นสะเทือนเบาๆ ที่มีต้นกำเนิดแรงสั่นสะเทือนอยู่ลึกใต้พื้นผิวลงไปหลายกิโลเมตร ซึ่งเชื่อว่าการสั่นสะเทือนนั้นเป็นผลพวงจากแรงดึงของแรงโน้มถ่วงโลก บางครั้งมีรอยแยกบนพื้นผิวและมีก๊าซเล็ดลอดออกมา
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าบางทีดวงจันทร์อาจจะมีแกนกลางที่ร้อนจัดหรืออาจจะหลอมเหลวด้วยบางส่วน เหมือนแกนกลางของโลก แต่ข้อมูลจากยานอวกาศลูนาร์โพรสเปคเตอร์ (Lunar Prospector) ของนาซาได้เผยให้เห็นตั้งแต่ปี 1999 ว่า แกนกลางของดวงจันทร์นั้นเล็กมาก อาจมีมวลอยุ่เพียง 2-4% ของมวลทั้งหมด ซึ่งเล็กมากเมื่อเทียบกับโลกที่มีแกนเป็นเหล็กและมีมวลถึง 30% ของมวลทั้งหมด
8.ดวงจันทร์อาจจะเป็นดาวเคราะห์?
ดวงจันทร์ของเราใหญ่กว่าพลูโต และมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวๆ 1 ใน 4 ของเส้นผ่านศูนย์กลางโลก นักวิทยาศาสตร์บางส่วนเชื่อว่า ดวงจันทร์น่าจะเป็นดาวเคราะห์มากกว่า และเรียกระบบโลกกับดวงจันทร์ว่า “ดาวเคราะห์คู่” (double planet) ซึ่งพลูโตและชารอน (Charon) ซึ่งเป็นดวงจันทร์ก็ถูกเรียนกว่า “ระบบดาวเคราะห์คู่” จากนักวิทยาศาสตร์บางส่วนด้วย
9.กระตุกน้ำขึ้น-น้ำลง
เป็นที่ทราบดีว่าปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลงบนโลกนั้นได้รับอิทธิพลส่วนใหญ่จากดวงจันทร์ ขณะที่ดวงอาทิตย์มีอิทธิพลต่อน้ำขึ้นน้ำลงเพียงเล็กน้อย โดยแรงดึงดูดของดวงจันทร์จะดึงน้ำในมหาสมุทร โดยน้ำขึ้นจะเกิดขึ้นเมื่อโลกเรียงอยู่ในระดับใต้ดวงจันทร์ และอีกกรณีคือด้านของโลกที่ไปไม่ได้หันเข้าหาดวงจันทร์จะเกิดน้ำขึ้น เพราะแรงดึงดูดดึงโลกเข้าหาดวงจันทร์มากกว่าดึงน้ำ และเมื่อพระจันทร์เต็มดวงกับคืนเดือนมืด ดวงอาทิตย์ โลกและดวงจันทร์จะเรียงเป็นแวเดียวกัน ทำให้เกิดน้ำขึ้นสูงกว่าปกติ
นอกจากนี้แรงดึงจากดวงจันทร์ยังทำให้โลกหมุนช้าลง เนื่องจากพลังงานการหมุนของโลกถูกดวงจันทร์ดึงไป ทำให้โลกของเราช้าลงประมาณ 1.5 มิลลิวินาทีทุกๆ 100 ปี
10.เตรียมบอกลาดวงจันทร์
ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนออกห่างจากโลกไปเรื่อยๆ ในทุกปีดวงจันทร์ขโมยพลังงานจากโลก และใช้ในการขับดันตัวเองให้วงโคจรถ่างออกไป 3.8 เซ็นติเมตร ซึ่งนักวิจัยเผยว่า เมื่อดวงจันทร์เริ่มก่อกำเนิดนั้นอยู่ห่างจากโลกเพียง 22,530 กิโลเมตร แต่ตอนนี้ดวงจันทร์อยู่ห่างออกไป 450,000 แล้ว
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000120985
ภาพแนวคิดแสดงการชนกันของดาวเคราะห์ตามข้อมูลที่กล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ (Spitzer Space Telescope) ของนาซาจับสัญญาณเศษซากของหายนะดังกล่าวได้ เมื่อปี 2009 ซึ่งเชื่อว่าการกำเนิดดวงจันทร์ของโลกก็มีรูปแบบเดียวกัน (สเปซด็อทคอม/นาซา)
งานวิจัยใหม่จากการวิเคราะห์หินดวงจันทร์บ่งชี้ว่า ดวงจันทร์น่าจะมีอายุน้อยกว่าที่เคยเข้าใจอยู่ประมาณ 100 ล้านปี โดยทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับเกี่ยวกับกำเนิดบริวารของโลก ระบุว่าดวงจันทร์เกิดจากดาวเคราะห์ลึกลับที่มีขนาดเท่ากับดาวอังคารหรือใหญ่กว่าพุ่งชนโลกในช่วงเวลาที่ระบบสุริยะเพิ่งก่อเกิด
ทว่ารายงานของบีบีซีนิวส์ งานวิจัยใหม่นี้ได้ศึกษาหินดวงจันทร์ซึ่งให้ผลบ่งชี้ว่า ดวงจันทร์น่าจะเกิดจากการรวมตัวของเศษซากที่ระเบิดออกไปในอวกาศ จากการพุ่งชนโลกของดาวเคราะห์ ซึ่งจริงๆ แล้วเกิดขึ้นระหว่าง 4.4-4.45 พันล้านปี ไม่ใช่ 4.56 พันล้านปีอย่างที่ทฤษฎีซึ่งได้รับการยอมรับขณะนี้ระบุ
การศึกษาล่าสุดนี้ทำให้ดวงจันทร์ของเราอ่อนเยาว์ลง 100 ล้านปีจากที่เคยเข้าใจ ซึ่งนั่นอาจจะเปลี่ยนความเข้าใจของนักวิทยาศาสตร์ที่มีต่อช่วงกำเนิดโลก ซึ่งรวมถึงความเข้าใจต่อบริวารดวงนี้ด้วย โดย ริชาร์ด คาร์สัน (Richard Carlson) หนึ่งในทีมวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์คาร์เนกี (Carnegie Institution for Science) ในวอชิงตัน ดีซี สหรัฐฯ กล่าวว่า ยังมีเรื่องให้ต้องศึกษาอีกมาก เกี่ยวกับกำเนิดดวงจันทร์ที่ล่าช้ากว่าที่คิดนี้ เช่นสภาพของโลกของในยุคแรกๆ
คาร์สันอธิบายว่า นักวิทยาศาสตร์ค่อนข้างทราบอายุของระบบสุริยะเป็นอย่างดี คือ ประมาณ 4.568 พันล้านปี และสามารถระบุช่วงเวลากำเนิดของวัตถุอวกาศขนาดเล็ดอย่างดาวเคราะห์น้อยได้อย่างแม่นยำด้วย โดยพิจารณาถึงช่วงเวลาที่วัตถุอวกาศเหล่านั้นเกิดละลายอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นผลจากความร้อนที่เกิดขึ้นจากการชนกันและรวมตัวกันของวัตถุต้นกำเนิดดาวเคราะห์ที่เรียกว่า “แพลเนตเอซิมัล” (planetesimal)
ตัวอย่างเช่นการวิเคราะห์อุกกาบาตที่มาจากดาวเคราะห์น้อยเวสตา (Vesta) ซึ่งพุ่งเข้ามาในโลก เผยให้เห็นว่าหินอวกาศที่กว้าง 530 กิโลเมตรลูกดังกล่าว มีอายุ 4.565 พันล้านปี และเวสตายังเย็นตัวลงค่อนข้างเร็ว และเล็กเกิดกว่าที่จะรักษาความร้อนภายในที่ขับเคลื่อนให้เกิดของเหลวละลายอยู่ภายในหรือทำให้เกิดภูเขาไฟขึ้นได้ แต่คาร์สันอธิบายต่อว่า เป็นเรื่องยากกว่าที่จะระบุอายุของวัตถุอวกาศที่ใหญ่กว่าได้อย่างชัดเจน
ถ้าถามเรื่องเดียวกันนี้สำหรับโลกหรือดวงจันทร์ คาร์สันกล่าวว่า เราจะไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนเลย และดูเหมือนโลกจะใช้เวลาที่นานกว่าในการขยายขนาดจนเต็ม แต่นักวิทยาศาสตร์ก็คำนวณออกมาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ตามเทคโนโลยีที่ปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่การคำนวณเหล่านั้นก็ทำให้ขยับอายุในการกำเนิดของดวงจันทร์ออกไปด้วย
เชื่อว่าในช่วงเวลาสั้นๆ หลังก่อกำเนิดดวงจันทร์ทั้งดวงได้โอบอุ้มทะเลหินเหลวหนืดไว้ ซึ่งจากการประเมินอายุของหินดวงจันทร์ที่เกิดจากทะเลเหล่านั้นพบว่ามีอายุประมาณ 4.36 พันล้านปี และจากสัญญาณของหลายตำแหน่งที่พบอยู่บนโลก นักวิทยาศาสตร์คำนวณออกมาได้ว่า การหลอมเหลวครั้งมโหฬารนั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4.45 พันล้านปี ดังนั้นเหตุการณ์ชนกันครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดดวงจันทร์น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาราวๆ นั้น มากกว่าจะเป็นช่วงเวลา 100 ล้านปีก่อนหน้านั้นหรือนานกว่านั้นอีก
ที่มา :http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000120613
1. น้ำเดือดมีฟองอากาศยักษ์
ปกติเวลาคนเราต้มน้ำ ก็จะมีฟองอากาศเล็ก ๆ ลอยอยู่เต็มไปหมด แต่บนอวกาศไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ แต่คุณจะพบฟองอากาศฟองยักษ์เพียงฟองเดียวเท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะในห้วงอวกาศนั้น จะไม่มีการหมุนเวียนความร้อนรวมทั้งการลอยตัว ที่สามารถพบได้บริเวณที่มีแรงดึงดูด ซึ่งการต้มน้ำที่ถูกค้นพบเมื่อปี 1992 กลายมาเป็นประโยชน์ให้ NASA ได้ใช้หลักการนี้เป็นแนวทางในการควบคุมความเย็นของกระสวยอวกาศต่อไป
2. ไฟกลายเป็นลูกกลม
ในขณะที่การจุดเทียนบนพื้นโลก จะทำให้เกิดแสงไฟทรงแหลมชี้ขึ้นฟ้า ทว่าบนอวกาศนั้นไฟที่ถูกจุดขึ้นจะกลายเป็นทรงกลม ทั้งนี้เป็นเพราะว่า เมื่อไม่มีแรงดึงดูดแล้ว ความกดอากาศทั้งหมดจะเท่ากัน ทำให้ไฟกระจายออกไปรอบทางเป็นดวงกลม ผิดกับบนพื้นโลก ที่ความกดอากาศต่างกัน โดยยิ่งใกล้พื้นโลกมากเท่าไหร่ มวลอากาศก็หนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น ทำให้เปลวไฟมีปลายเรียวแหลม เนื่องจากมวลอากาศด้านบนเบาบางกว่า
3. แบคทีเรียเติบโตเร็วขึ้นอีก
ถ้าคุณคิดว่าแบคทีเรียบนโลกนี้น่ากลัวแล้ว ขอบอกให้รู้เลยว่าบนอวกาศน่ากลัวกว่านี้เสียอีก เพราะแบคทีเรียอย่างแอสโตร-อี สามารถเติบโตได้เร็วขึ้นกว่าตอนอยู่บนโลกถึง 2 เท่า ในขณะที่แบคทีเรียซาลโมเนลลาก็มีประสิทธิภาพร้ายแรงขึ้นเมื่ออยู่บนอวกาศด้วย ทำให้นักบินอวกาศต้องเสี่ยงกับโรคภัยมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เชื่อว่าเหตุผลที่ซาลโมเนลลามีฤทธิ์ร้ายแรงขนาดนี้ น่าจะเกิดจากความผิดปกติระดับความกดดันในโปรตีน Hfq ซึ่งเป็นตัวควบคุมปกติกริยาการตอบสนองต่อแบคทีเรียซาลโมเนลลา
4. เบียร์ไม่ซ่าอีกต่อไป
การจะดื่มน้ำอัดลมสักกระป๋องหรือซัดเบียร์สักขวดให้สดชื่นสักหน่อย กลายเป็นเรื่องที่กร่อยสนิทเมื่ออยู่บนอวกาศ เพราะภาวะลอยน้ำที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้บนอวกาศ จะทำให้ก๊าซคาร์บอนในน้ำอัดลมจางหายไป นักบินอวกาศจึงไม่มีโอกาสได้จิบเบียร์ซ่า ๆ ชื่นใจดับกระหายระหว่างชมวิวดวงดาวกันบ้างเลย
5. ดอกไม้กลิ่นไม่เหมือนเดิม
ใช่ว่าดอกไม้จะไม่ส่งกลิ่นหอมแล้วหรอกนะ แต่เมื่ออยู่บนอวกาศ กลิ่นของมันจะต่างออกไปจนรู้สึกได้ทันที เนื่องจากมันอยู่ท่ามกลางอุณหภูมิและความชื้นไม่เหมือนเดิม ส่งผลให้การผลิตน้ำมันสร้างกลิ่นหอมของมันเปลี่ยนไป ซึ่งทางบริษัทชิเซโด้ได้ปิ๊งไอเดียเอาน้ำหอมจากดอกไม้ที่ขึ้นไปกับกระสวยอวกาศเมื่อปี 1998 ไปผลิตเป็นน้ำหอมภายใต้ชื่อ Out of This World มาแล้ว
6. เหงื่อออกท่วมตัว
คาดว่านักบินอวกาศทั้งหลายคงเหนียวตัวกันแทบแย่แน่ ๆ เพราะเหงื่อจะออกมากขึ้นอีก จากการที่บนอวกาศไม่มีการหมุนเวียนความร้อน ทำให้ร่างกายจำเป็นต้องปรับอุณหภูมิร่างกายด้วยการผลิตเหงื่อออกมาแทน แต่ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ เหงื่อเหล่านั้นไม่สามารถระเหยหรือหยดลงได้ มันจึงเกาะอยู่บนร่างกายอยู่อย่างนั้น
ที่มา :http://www.toptenthailand.com/23-5149.html
บล็อบฟิชที่น่าสงสาร ไม่ใช่แค่หน้าตาท่ี่น่าเกลียด แต่ยังมีชะตากรรมอันรันทดจากการถูกคุกคามโดยอวนลาก ทั้งๆ ที่ปลาน้ำลึกชนิดนี้กินไม่ได้ (บีบีซีนิวส์)
หน้าตาของ "บล็อบฟิช" บ่งบอกความรู้สึกที่ได้เสียงโหวตเป็น "ปลาน่าเกลียดที่สุด" ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเจ้าปลาน้ำลึกชนิดนี้อาจจะไม่ได้รู้สึกหรือรับรู้กิจกรรมที่มนุษย์กำลังทำอยู่
"บล็อบฟิช" (blobfish) ได้รับเสียงโหวตสูงสุดให้เป็นสัญลักษณ์นำโชคหรือมาสคอตอย่างเป็นทางการของสมาคมพิทักษ์สัตว์น่าเกลียด (Ugly Animal Preservation Society) ผลดังกล่าวบีบีซีนิวส์ระบุว่า ทำให้ปลาชนิดนี้กลายเป็นสัตว์น่าเกลียดที่สุดในโลกอย่างไม่เป็นทางการ
สมาคมพิทักษ์สัตว์น่าเกลียดนี้เริ่มกิจกรรมรณรงค์นี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจแก่สิ่งมีชีวิตที่ไม่สวยงามแต่กำลังถูกคุกคามนี้ โดยบีบีซีนิวส์ระบุว่า การประกาศผลเกิดขึ้นในงานเทศกาลวิทยาศาสตร์อังกฤษ (British Science Festival) ในนิวคาสเซิล
ไซมอน วัตต์ (Simon Watt) นักชีววิทยาและพิธีกรรายการทีวี ประธานสมาคมพิทักษ์สัตว์น่าเกลียด กล่าวว่าเขาหวังว่าการรณรงค์นี้จะดึงความสนใจมายังภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดแต่น่าอัศจรรย์เหล่านี้
วัตต์ให้ความเห็นแก่บีบีซีนิวส์ว่า การอนุรักษ์ในแบบเดิมๆ นั้นมักเอาตัวเราเองเป็นใหญ่ เราปกป้องเพียงสัตว์ที่เราใกล้ชิดด้วยเพราะพวกมันน่ารัก อย่างแพนด้าเป็นตัวอย่าง หากการถูกคุกคามจนสูญพันธุ์เป็นสิ่งเลวร้ายอย่างที่เห็น การปกป้องเพียงสัตว์ที่มีเสน่ห์ดึงดูดนั้นเป็นสิ่งที่พลาดมหันต์
สำหรับบล็อบฟิชได้คะแนนโหวตเกือบ 10,000 โหวต โดยสัตว์หน้าตาประหลาดนี้อาศัยอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลียและแทสมาเนย ที่ใต้ทะเลลึก 600-1,200 เมตร ซึ่งมีความดันบรรยากาศสูงกว่าที่ระดับน้ำทะเลหลายสิบเท่า ร่างกายที่เป็นวุ้นของปลาชนิดนี้มีความหนาแน่นมากกว่าน้ำเล็กน้อย
บล็อบฟิชใช้ชีวิตอยู่แต่ใต้ทะเลลึก กินปูและกุ้งมังกร แต่ก็เดือดร้อนจากอวนลาก ซึ่งเป็นภัยคุกคามสำคัญ แม้ว่าจะเป็นปลาที่เรากินไม่ได้ แต่ก็ถูกจับขึ้นมาพร้อมกับอวนลาก ส่วนสัตว์อื่นๆ ที่ติดโผความน่าเกลียดก็กำลังถูกคุกคามถิ่นอาศัย ซึ่ง วัตต์หวังอีกว่า การรณรงค์ครั้งนี้จะเน้นให้เห็นข้อเท็จจริงว่า การอนุรัักษ์ควรมุ่งไปที่การพิทักษ์ถิ่นอาศัยของสัตว์ มากกว่าจะให้ความสำคัญเฉพาะสปีชีส์ใดเป็นพิเศษ
ด้าน คาร์ลี วอเตอร์แมน (Carly Waterman) จากสมาคมสัตววิทยาลอนดอน (Zoological Society of London) สรรเสริญการรณรงค์นี้ พร้อมกล่าวว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะเพิ่มความตระหนักแก่สัตว์ที่มีเสน่ห์ดึงดูดน้อย สัดส่วนส่วนใหญ่ของความหลากหลายในโลกนั้นถูกมองข้าม ดังนั้นการโบกธงรณรงค์เรื่องนี้จะเป็นแง่มุมบวก
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000115849
ฝูงกวางเอลก์ 120 ตัว ตายปริศนา ภายใน 24 ชั่วโมงใกล้ๆกับสิ่งที่คล้าย Crop Circle นักวิจัย UFO ชื่อว่า อาจเชื่อมโยงกับ UFO
26 สิงหาคม 2013 ได้มีการพบฝูง กวางเอลก์ 120 กว่าตัว ล้มตายปริศนา 20ไมล์ จากทางตอนเหนือของลาสเวกัสในนิวเม็กซิโก ห่างจากบริเวณที่พบฝูงกวางประมาณ ไม่กี่ร้อยฟุต พบสิ่งที่ดูคล้ายคลึงกับ
Crop Circle ซึ่งสามารถมองเห็นได้จาก เฮลิคอปเตอร์
เชื่อกันว่าเหตุการณ์ล้มตายปริศนาของฝูง กวางเอลก์ อาจเกี่ยวข้องกับการทดลองของมนุษย์ต่างดาว
อ้างอิง :
http://www.ufosightingsdaily.com/2013/09/crop-circle-seen-near-120-dead-elk.html________________________________
26 สิงหาคม 2013 ได้มีการพบฝูง กวางเอลก์ 120 กว่าตัว ล้มตายปริศนา 20ไมล์ จากทางตอนเหนือของลาสเวกัสในนิวเม็กซิโก ห่างจากบริเวณที่พบฝูงกวางประมาณ ไม่กี่ร้อยฟุต พบสิ่งที่ดูคล้ายคลึงกับ
Crop Circle ซึ่งสามารถมองเห็นได้จาก เฮลิคอปเตอร์
เชื่อกันว่าเหตุการณ์ล้มตายปริศนาของฝูง กวางเอลก์ อาจเกี่ยวข้องกับการทดลองของมนุษย์ต่างดาว
อ้างอิง :
http://www.ufosightingsdaily.com/2013/09/crop-circle-seen-near-120-dead-elk.html________________________________
คิริบาส หรือ คิริบาติ เตรียมประกาศสร้างประเทศใหม่ โดยการประกาศสร้าง นิว คิริบาส เนื่องจากประเทศนี้ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก เสี่ยงที่จะจมน้ำหายไปตามผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย
โดย นิว คิริบาสเป็นการแก้ไขปัญหาการจมน้ำอย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งจะทำให้ประเทศนี้กลายเป็นประเทศลอยน้ำแห่งแรกในโลก โดยรัฐบาลคิริบาติได้ว่าจ้าง บริษัทชิมิสึ ซึ่งเป็นบริษัทวิศวกรรมของญี่ปุ่นออกแบบโครงการดังกล่าวให้เป็นเหมือนรูปดอกบัว เชื่อมต่อกันเป็นกลุ่ม มีหอคอยหลักเป็นจุดศูนย์กลาง
ทั้งนี้มีการประเมินค่าใช้จ่ายว่าโครงการดังกล่าวต้องใช้เงิน มากกว่า 317,000 ล้านปอนด์ หรือกว่า 15 ล้านล้านบาท มากกว่า GDP ของคิริบาติทั้งประเทศถึง 3,000 เท่า ทั้งนี้คิริบาติมีประชากรในประเทศทั้งหมดเพียง 100,000 คน
วิกิพีเดีย
ประเทศคิริบาส Kiribati
เป็นชาติเกาะที่ตั้งในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนตอนกลาง หมู่เกาะปะการัง 33 แห่งของประเทศกระจายทั่วพื้นที่ 3,500,000 ตารางกิโลเมตรใกล้เส้นศูนย์สูตร
ชื่อประเทศที่เขียนในภาษาอังกฤษคือ "Kiribati" ออกเสียงในภาษาพื้นเมืองว่า [ˈkiɾibas] ซึ่งมาจากการทับศัพท์คำว่า "Gilberts" ของคนในท้องถิ่น เนื่องจากว่าชื่อเดิมในภาษาอังกฤษของหมู่เกาะหลักคือ "หมู่เกาะกิลเบิร์ต" (Gilbert Islands)
ประชากรร้อยละ 98 เป็นชาวไมโครนีเซียและนับถือคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกร้อยละ 53 และคริสต์นิกายคิริบาสโปรแตนแตนต์ร้อยละ 39 ประชากรไทย 1 คน
ที่มา :
http://news.mthai.com/world-news/270716.html
http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศคิริบาส____________________
อียิปต์ได้จัดแสดงศิลปวัตถุที่กู้ได้จากก้นทะเล มีทั้งจารึกอักษรภาพและเทวรูปมากมาย บ่งบอกถึงอารยธรรมเมื่อ 1,200 ปีก่อน เผยความมั่งคั่งของเมืองท่าการค้าปากแม่น้ำไนล์
รูปปั้นฟาโรห์ ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นองค์ไหนในประวัติศาสตร์
วัตถุโบราณที่นำออกแสดงได้มาจากเมืองเฮราคลีออน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองท่าอเล็กซานเดรีย เรื่องราวของเฮราคลีออนปรากฏในบันทึกของเฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกแห่งศตวรรษที่ 5 ซึ่งบอกว่า เฮเลน หญิงผู้เลอโฉมที่สุดในโลก ได้ยกกองเรือนับพันไปยังเมืองนี้พร้อมกับปารีส คู่รักชาวเมืองโทรจัน
ฟรังก์ ก็อดดิโอ อธิบายจารึกซึ่งกู้ขึ้นจากเมืองใต้ทะเล เฮราคลีออน
เฮราคลีออนเป็นเพียงตำนานมาโดยตลอด จนกระทั่งนักโบราณคดีใต้สมุทรชาวฝรั่งเศส ฟรังก์ ก็อดดิโอ ได้พบศิลปวัตถุบางชิ้นระหว่างออกค้นหาเรือที่นโปเลียนใช้ในการสู้ศึกในสมรภูมิแม่น้ำไนล์ ซึ่งเขาได้พ่ายลอร์ดเนลสันของอังกฤษในน่านน้ำแถบนั้น
รูปปั้นเทพี ไอซิส
นับแต่พบวัตถุโบราณดังกล่าว ก็อดดิโอได้ร่วมกับศูนย์โบราณคดีทางทะเลของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กับกรมศิลปากรของอียิปต์ กู้ซากต่างๆขึ้นจากอ่าวอะบูกีร์ ห่างจากอเล็กซานเดรียไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 32 ก.ม.
รูปสลักหินแกรนิตสีแดงของเทพฮาปิ
สิ่งที่พบมีทั้งรูปปั้นขนาดใหญ่ของเทพีไอซิส, เทพฮาปิ และฟาโรห์ รวมทั้งรูปปั้นของเทพีและเทพเจ้าหลายองค์ อาทิ นายทวารบาลผู้เฝ้าประตูวิหารอามุนเกเร็บ ที่ซึ่งคลีโอพัตราได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นราชินี
เศียรรูปปั้นที่ถูกนำขึ้นมาจัดแสดง
แล้วยังมีโลงหินที่บรรจุมัมมี่ของสัตว์ที่ถูกบูชายัญแด่เทพอามุนเกเร็บ กับเครื่องรางของขลังรูปไอซิส, โอซิริส และฮอรัส ซึ่งพวกพ่อค้าได้รับเอาไปบูชาเป็นศาสนาของตน เพื่อคุ้มกันภัยในการเดินทางไกล
ชื่อเมืองเฮราคลีออน ตั้งชื่อตามวีรบุรุษชาวกรีก เฮอร์คิวลิส ผู้สังหารงูร้ายไฮดรา เรื่องราวความกล้าหาญเป็นที่ยกย่องในโลกยุคโบราณ หลายเมืองได้นำชื่อนี้ไปตั้งชื่อนครของตน
ที่ตั้งเมืองเฮราคลีออน ใกล้กับอเล็กซานเดรีย
ที่ซากเมืองซึ่งได้จมลงทะเลเมื่อราวศตวรรษที่ 6 หรือ 7 แห่งนี้ ยังพบเรือ 64 ลำ กับสมอเรืออีก 700 สมอ, เหรียญทองคำและตะกั่ว, ทองสำริด และตุ้มถ่วงหินจากนครเอเธนส์ ซึ่งใช้ในการชั่งน้ำหนักสินค้าและคำนวณภาษีที่ต้องจ่าย
ไม่แต่เท่านั้น ยังพบเสาหินจารึกอักษรภาพ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาและการเมืองของอียิปต์ยุคโบราณได้ดีขึ้นอีกด้วย.
ที่มา :
http://news.voicetv.co.th/global/71940.html
http://picpost.mthai.com/view/57282
____________________
นาซายืนยันยานอวกาศ "วอยเอเจอร์ 1" เป็นสิ่งประดิษย์ชิ้นแรกของมนุษย์ที่หลุดพ้นระบบสุริยะไปแล้ว หลังจากถูกส่องออกไปท่องอวกาศตั้งแต่ปี 1977
องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ยืนยันยานวอยเอเจอร์ 1 (Voyager-1) ได้เคลื่อนออกจากฟองก๊าซร้อนของดวงอาทิตย์ ออกไปสู่อวกาศภายนอกระบบสุริยะแล้ว และกลายเป็นสิ่งประดิษย์ชิ้นแรกของมนุษย์ที่หลุดพ้นระบบสุริยะ
วอยเอเจอร์ 1 ถูกปล่อยออกจากโลกเมื่อ 5 ก.ย.1977 ไม่กี่วันหลังจากแฝดผู้น้อง วอยเอเขอร์ 2 (Voyager-2) ทะยานฟ้าขึ้นไปก่อน ทั้งคู่มีภารกิจหลักในการสำรวจดาวเคราะห์วงนอกระบบสุริยะ คือ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ยูเรนัส และเนปจูน แต่หลังจบภารกิจเมื่อปี 1989 ทั้งคู่ก็ยังปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้ยานอวกาศรุ่นบุกเบิกของนาซาอยู่ไกลจากโลกเกือบ 1.9 หมื่นล้านกิโลเมตร ซึ่งที่ระยะไกลขนาดนั้น ทำให้วอยเอเจอร์ต้องใช้เวลาถึง 17 ชั่วโมงเพื่อส่งสัญญาณวิทยุกลับมาบนโลก
ศ.เอ็ด สโตน |
"นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่งที่เราได้คาดหวังมาตลอดว่าเราจะมาถึง นับแต่เราเริ่มโครงการนี้เมื่อกว่า 40 ปีก่อน ที่เราอยากจะส่งยานอวกาศออกไปยังอวกาศข้างนอก" ศ.เอ็ด สโตน (Prof.Ed Stone) หัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์ในภารกิจผจญภัยทางอวกาศนี้กล่าว
ศ.สโตนเผยแก่บีบีซีนิวส์ว่า ในทางวิทยาศาสตร์แล้วเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่ง และยังมีแง่ประวัติศาสตร์ และการเดินทางของยานอวกาศครั้งนี้ก็เหมือนกับเหตุการณ์เดินทางรอบโลกได้เป็นครั้งแรกในอดีต หรือเหตุการณ์ฝากรอยเท้าบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก
"นี่เป็นครั้งแรกที่เราเริ่มต้นสำรวจอวกาศระหว่างดวงดาว*" ศ.สโตนให้ความเห็นแก่บีบีซีนิวส์
ภาพวาดจำลองภารกิจยานวอยเอเจอร์ 1
ภาพวาดจากนาซาอธิบายให้เห็นว่าวอยเอเจอร์ 1 หลุดขอบระบบสุริยะไปแล้ว
*ดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ดวงอื่น
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000115410
____________________
ถึงคราวที่ชาวโลกอาจต้องโล๊ะทฏษฎีกำเนิดโลก
กำเนิดมนุษย์กันครั้งใหญ่ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ เสนอแนวคิดว่า
แท้จริงแล้วชาวโลกหาใช่ชาวโลกไม่
แต่เป็นลูกหลานของสิ่งมีชีวิตจากดาวเคราะห์สีแดงเพื่อนบ้านใกล้ชิดของเราต่างหาก
และอาจจะเป็นเพราะตวามบังเอิญหรืออย่างไร สะเก็ดดาวอังคารได้โครจรมาถึงโลก
และการก่อตัวขึ้นนี้สิ่งมีชีวิตจากต่างดาวก็ได้ถือกำเนิดที่บ้านของเราในที่สุด
อุกกาบาตจากดาวอังคารมาเยือนโลกในอดีต |
บรรพบุรุษดาวที่ฟ้า มาจากดาวสีแดง
หากจะถามคนทั่วๆไปว่า แหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตต่างๆในโลกของเรานี้มาจากไหน
ร้อยทั้งร้อยตอบอย่างไม่ลังเลใจว่า บรรดาสิ่งมีชีวิตต่างก็มีวัวัฒนาการขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยบนโลกของเรานี่เอง
แต่ถ้าหากว่าได้ฟังทฏษฎีใหม่ล่าสุดของเหล่านักวิทยาศาสตร์ซึ่งจัดประชุมวิชาการกันขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลีแล้ว ก็อาจจะต้องเปลี่ยนทัศนคติหกันครั้งใหญ่ เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์พบหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งชี้ว่า แท้จริงแล้วสิ่งมีชีวิตบนโลกไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกตามที่ทุกคนเข้าใจ หากแต่มาจากดาวอังคาร
รายละเอียดของทฤษฎีดังกล่าวนำเสนอโดย ศ.สตีเฟน เบนเนอร์ (Prof.Steven Benner) จากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเวสต์ไฮเมอร์ในเกนส์วิลล์ (Westheimer Institute of Science and Technology in Gainesville) สหรัฐฯ ภายในการประชุมวิชการโกลด์ชมิดท์ (Goldschmidt Meeting) ที่เมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี อ้างตามรายงานของบีบีซีนิวส์
ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ต่างสงสัยกันมานานแล้วว่า อะตอมแรกสุดรวมกันกลายเป็นองค์ประกอบโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตอย่าง อาร์เอ็นเอ (RNA) ดีเอ็นเอ (DNA) และโปรตีนได้อย่างไร โดยโมเลกุลเหล่านั้นรวมกันกลายเป็นชิ้นส่วนพันธุกรรมที่มีความซับซ้อน มากกว่าสารเคมีอินทรีย์เหลวข้นพรีไบโอติก (pre-biotic) ในยุคกำเนิดโลก ที่เชื่อว่ามีอยู่บนโลกเมื่อกว่า 3 พันล้านปีก่อน และเชื่อว่าอาร์เอ็นเอน่าจะกำเนิดขึ้นมาก่อนโมเลกุลอื่นๆ
อ้างตามคำอธิบายของ ศ.เบนเนอร์ เมื่อเติมพลังงานความร้อนหรือแสงให้แก่โมเลกุลอินทรีย์ตั้งต้นในของเหลวข้นหรือ “ซุปก่อกำเนิดชีวิต” ไม่ปรากฏว่ากลายเป็นอาร์เอ็นเอ แต่ได้ทาร์หรือน้ำมันดินแทน ซึ่งอาร์เอ็นเอจำเป็นต้องมีแกนแบบเพื่อก่อตัวเป็นรูปร่าง ซึ่งต้องใช้อะตอมต้นแบบที่บริเวณผิวผลึกแร่ ซึ่งแร่ที่มีผลต่อการร่างแบบอาร์เอ็นเอมากที่สุดนั้น มีอยู่ในมหาสมุทรของโลกในยุคต้นๆ แต่มีอยู่บนดาวอังคารเหลือเฟือกว่าบนโลก และนี่น่าจะบ่งบอกว่าสิ่งมีชีวิตเริ่มต้นจากดาวอังคารก่อนจะย้ายมายังโลกโดยอุกกาบาต
แนวคิดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตก่อกำเนิดมาจากดาวอังคารและถูกส่งยังโลกของเรานั้นเป็นที่ถกเถียงกันมานานแล้ว ทว่าแนวคิดของ ศ.เบนเนอร์ ได้เพิ่มน้ำหนักให้แก่ข้อสนับสนุนว่าดาวอังคารเป็นจุดเริ่มของชีวมณฑล (biosphere) ระหว่างดวงดาว โดยภายในการประชุมที่ฟลอเรนซ์ เขาได้นำเสนอผลการทดลองที่บ่งชี้ว่า แร่ที่มีธาตุโบรอน (boron) และโมลิบดีนัม (molybdenum) เป็นกุญแจสำคัญในการประกอบอะตอมให้กลายเป็นโมเลกุลในรูปแบบมีชีวิต
พื้นผิวดาวอังคารในปัจจุบันซึ่งไม่เอื้อการดำรงชีวิต |
เขายังเน้นว่า แร่โบรอนนั้นช่วยให้วงแหวนคาร์โบไฮเดรตก่อตัวขึ้นจากสารเคมีพรีไบโอติก แล้วโมลิบดีนัมก็ยึดเอาโมเลกลุตรงกลางนั้นแล้วจัดเรียงให้อยู่ในรูปของไรโบส (ribose) แล้วกลายเป็นอาร์เอ็นเอในที่สุด และตรงจุดนี้ได้เพิ่มปัญหาใหม่ว่า ชีวิตเริ่มต้นบนโลกได้อย่างไร เนื่องจากเชื่อว่าโลกในยุคแรกๆ นั้นไม่เอื้อต่อการก่อตัวของแร่โบรอนและแร่โมลิบดีนัมที่จำเป็นต่อการก่อเกิดสิ่งมีชีวิต โดยในยุคเริ่มต้นของโลกนั้นมีแร่โบรอนไม่มีเพียงพอที่จะสร้างอาร์เอ็นเอจาก “ของเหลวกำเนิดชีวิต” และแร่โมลิบดีนัมก็ไม่อยู่ในรูปแบบทางเคมีที่เหมาะสม
“มันจะเกิดขึ้นได้เมื่อโมลิดีนัมมีการรวมกับออกซิเจน (ออกซิไดส์) อย่างมากเท่านั้น จึงจะมีอิทธิพลพอต่อการก่อตัวของชีวิตในยุคต้นๆ ซึ่งรูปแบบของโมลิบดีนัมแบบนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้บนโลกในช่วงเวลาที่เพิ่งก่อกำเนิด เพราะเมื่อ 3 พันล้านปีก่อนนั้น พื้นผิวของโลกยังออกซิเจนเพียงเล็กน้อย แต่ที่ดาวอังคารมีอยู่มาก นี่เป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่าสิ่งมีชีวิตมายังโลกโดยอุกกาบาตจากดาวอังคาร มากกว่าจะเริ่มต้นจากบนโลกเอง” ศ.เบนเนอร์ให้เหตุผล
ที่มา : M2F
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000108526