ภาพวาดโดยศิลปิน แสดงถึงกาแล็กซี z8_GND_5296 ซึ่งถูกตรวจพบว่าเป็นกาแล็กซีที่อยู่ไกลที่สุดเท่าที่ตรวจพบได้ในตอนนี้ แต่ภาพจากกล้องฮับเบิลแสดงลักษณะกาแล็กซีเป็น สีแดง เนื่องจากเกิดการเลื่อนของสเปกตรัมแสง เพราะเอกภพกำลังขยายตัว (Credit: V. Tilvi, S.L. Finkelstein, C. Papovich, NASA, ESA, A. Aloisi, The Hubble Heritage, HST, STScI, and AURA.)
นักดาราศาสตร์เผยเจอกาแล็กซีที่อยู่ไกลที่สุดเท่าที่เคยพบ เป็นภาพกาแล็กซีขณะเอกภพมีอายุเพียง 700 ล้านปีหลังระเบิดบิกแบง ขณะที่อายุปัจจุบันคือ 1.38 หมื่นล้านปี แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อจะได้เจอกาแล็กซีที่ไกลกว่านี้ เมื่อมีอุปกรณ์ที่ดีขึ้น
บาห์แรม โมบาเชอร์ (Bahram Mobasher) และนาวีน เรดดี (Naveen Reddy) นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในริเวอร์ไซด์ (University of California, Riverside) สหรัฐฯ ได้ค้นพบดาราจักรหรือกาแล็กซีที่อยู่ไกลที่สุดนี้ และได้ตีพิมพ์การค้นพบลงในวารสารเนเจอร์ (Nature)
ไซน์เดลีระบุว่าเขาทั้งสองได้ทำงานร่วมกับคณะนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเท็กซัสที่ออสติน (University of Texas at Austin) มหาวิทยาลัยเท็กซัสเอแอนด์เอ็ม (Texas A & M University) และหอดูดาวดาราศาสตร์เชิงแสงสหรัฐ (National Optical Astronomy Observatories)
โมบาเชอร์และเรดดีได้จำแนกกาแล็กซีที่อยู่แสนไกลจากภาพถ่ายเชิงแสงและภาพถ่ายอินฟราเรดที่บันทึกโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble Space Telescope) ซึ่งตรวจสอบตามด้วยกล้องโทรทรรศน์เค็ค (Keck Telescope) ในฮาวาย และยืนยันระยะทางของกาแล็กซีที่ตรวจสอบว่าเป็นกาแล็กซีที่อยู่ไกลที่สุด
ภาพกาแล็กซีที่ตรวจสอบนี้เป็นภาพกาแล็กซีขณะเอกภพมีอายุ 700 ล้านปีหลังระเบิดบิกแบง (Big Bang) ขณะที่ปัจจุบันเอกภพมีอายุกว่า 1.38 หมื่นล้านปีแล้ว ซึ่งในการค้นหากาแล็กซีที่อยู่ไกลที่สุดนี้ ทีมวิจัยต้องคัดเลือกภาพโดยอิงจากสีของกาแล็กซีที่เข้าข่ายราวๆ 100,000 กาแล็กซี และเป็นภาพที่บันทึกภายใต้โครงการสำรวจขนาดใหญ่แคนเดลส์ (CANDELS) ด้วยกล้องฮับเบิล ที่ใช้เวลารวบรวมในการถ่ายภาพประมาณ 900 ชั่วโมง
ในการวัดระยะทางของกาแล็กซีเหล่านั้น นักดาราศาสตร์ใช้เทคนิคสเปคโตรสโคปี (spectroscopy) เพื่อวัดว่าความยาวคลื่นของแสงจากกาแล็กซีนั้นๆ เลื่อนไปทางสีแดงของเส้นสเปกตรัมแค่ไหน เมื่อแสงเหล่านั้นเดินทางจากกาแล็กซีมาถึงโลก ซึ่งเกิดเนื่องจากเอกภพขยายตัว โดยเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า “เรดชิฟต์” (redshift) ซึ่งเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นและระยะทางของกาแล็กซีเป็นไปตามสัดส่วน ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะช่วยให้นักดาราศาสตร์วัดระยะทางของกาแล็กซีได้
โมบาเชอร์ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางด้านฟิสิกส์และดาราศาสตร์เชิงสังเกตการณ์กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้กาแล็กซีดังกล่าวแตกต่างจากกาแล็กซีอื่นคือสเปกตรัมที่บ่งบอกถึงระยะทางอย่างแน่ชัด และเนื่องจากแสงเดินทางด้วยความเร็วประมาณ 299,000 กิโลเมตรต่อวินาที ดังนั้น เมื่อเรามองวัตถุที่อยู่ไกลๆ เราก็จะเห็นภาพของวัตถุนั้นในอดีต
“ยิ่งระยะทางของวัตถุที่สังเกตไกลเท่าไหร่ ยิ่งแสดงว่าเราได้เห็นภาพในอดีตมากเท่านั้น ซึ่งทำให้เราศึกษาการกำเนิดของกาแล็กซีในยุคแรกๆ ได้ และเมื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติของกาแล็กซีที่ระยะทางต่างๆ ก็จะทำให้เราได้เห็นถึงวิวัฒนาการของแล็กซีตลอดอายุของเอกภพ” โมบาเชอร์อธิบาย
การค้นพบครั้งนี้ยังเกิดขึ้นได้ด้วย MOSFIRE อุปกรณ์ใหม่ที่ติดตั้งบนกล้องโทรทรรศน์เค็ค ซึ่งไม่เป็นแต่เป็นเครื่องมือที่มีความไวสูงเท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบมาเพื่อตรวจจับแสงอินฟราเรด ซึ่งคลื่นแสงจากกาแล็กซีอันไกลโพ้นจะขยับไปยังสเปกตรัมในย่านอินฟราเรด และอุปกรณ์ใหม่นี้ยังตรวจจับหลายๆ วัตถุได้พร้อมกัน ทำให้นักดาราศาสตร์สังเกตกาแล็กซีที่อยู่ในข่ายถึง 43 กาแล็กซีได้ภายใน 2 คืน และให้ภาพที่มีคุณภาพสูงกว่าการศึกษาที่ผ่านๆ มา
ด้วยเครื่องมือดังกล่าวนักดาราศาสตร์สามารถวัดระยะทางของกาแล็กซีได้อย่างแม่นยำ ด้วยการวัด “การเปลี่ยนผ่านไลแมนอัลฟา” (Lyman alpha transition) ซึ่งเป็นคุณสมบัติของธาตุไฮโดรเจนที่มีอยู่ดาษดื่น และตรวจวัดกาแล็กซีที่มีอายุมากกว่า 1 พันล้านปีหลังจากเกิดบิกแบงได้ แต่การวัดกาแล็กซีที่เก่าแก่กว่านั้นด้วยคุณสมบัติของไฮโดรเจนกลับเป็นเรื่องยากกว่า
จาก 43 กาแล็กซีที่สังเกตได้จากอุปกรณ์ MOSFIRE ทีมวิจัยตรวจวัดคุณสมบัติไลแมนอัลฟาได้จากกาแล็กซีเพียง 1 กาแล็กซี ชื่อว่ากาแล็กซี z8-GND-5296 ซึ่งการสังเกตของทีมวิจัยเผยให้เห็นว่ากาแล็กซีดังกล่าวก่อกำเนิดดวงดาวขึ้นอย่างฉับไว แต่ละปีผลิตดาวทีมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเรา 300 เท่า ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราแล้ว ทางช้างเผือกผลิตดาวขึ้นมาปีละ 2-3 ดวงเท่านั้น
ด้าน สตีเฟน ฟินเกลสไตน์ (Steven Finkelstein) จากมหาวิทยาลัยเท็กซัสในออสติน หัวหน้าโครงการใหย่ของฮับเบิลนี้กล่าวว่า เราได้เรียนรู้บางอย่างเกี่ยวกับกาแล็กซีที่อยู่แสนไกล ซึ่งมีอีกหลายพื้นที่ในเอกภพที่มีการก่อตัวของดวงดาวสูงมากกว่าที่เราเคยคิด และคาดว่าจะมีกาแล็กซีคล้ายๆ กันนี้อีกหลายสิบกาแล็กซี
กอปรกับเมื่อใช้อุปกรณ์ดาราศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพอย่างกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ที่ภาคพื้นอย่างกล้องโทรทรรศน์เธอร์ตีมิเตอร์ (Thirty Meter Telescope) ในฮาวาย และกล้องโทรทรรศน์ไจแอนท์แมกเจลแลน (Giant Magellan Telescope) ในชิลี บวกกับกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เวบบ์ (James Webb Space Telescope) ขนาด 6.5 เมตรที่จะส่งขึ้นไปปลายศตวรรษนี้ ฟินเกลสไตน์ เชื่อว่าเราจะได้เจอกาแล็กซีที่อยู่ไกลอีกกว่านี้อีกมาก และจะช่วยให้เห็นถึงกระบวนการก่อกำเนิดกาแล็กซีด้วย
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000133308
____________________
ภาพการลุกจ้าระดับ X1.0 เมื่อ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา บันทึกโดยกล้อง SDO ที่ความยาวคลื่น 131 อังสตรอม (NASA/SDO)
เป็นไปตามที่คาดเมื่อเข้าสู่ปี 2013 ดวงอาทิตย์ของเราก็กลับมาตื่นตัวอีกครั้ง ทำให้เกิดการ “ลุกจ้า” ถี่ขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น และในช่วงเวลาไม่กี่วันนี้ดาวฤกษ์ของเราก็ปะทุรุนแรงระดับ X ซึ่งเป็นระดับรุนแรงที่สุดมาอย่างต่อเนื่อง แต่นาซาระบุไม่ส่งผลกระทบต่สิ่งมีชีวิตบนโลก เพียงแต่หากรุนแรงพอก็อาจรบกวนสัญญาณสื่อสารผ่านดาวเทียมและจีพีเอส
สเปซด็อทคอมระบุว่า ในช่วงเวลาแค่ 3 วันดวงอาทิตย์ลุกจ้าถึงระดับ X เป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันที่ 28 ต.ค.2013 ที่ผ่านมา โดยจัดให้อยู่ในระดับ X1.0 ซึ่งเป็นการปะทุจากจุดมืด AR1875 และหอดูดาวอวกาศโซลาร์ไดนามิคส์ (Solar Dynamics Observatory: SDO) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) จับภาพปรากฏการณ์ดังกล่าวได้พอดี
ส่วนอีก 2 ครั้งเกิดขึ้นก่อนหน้าเมื่อวันที่ 25 ต.ค. โดยเป็นการปะทุจากจุดมืด AR1882 ที่ระดับ X2.7 และ X1.7 ตามลำดับ ขณะที่นาซาระบุว่า นับแต่ดวงอาทิตย์ปะทุใหญ่ครั้งแรกเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่าน ถึงตอนนี้ดวงอาทิตย์ก็ปะทุในความรุนแรงระดับกลางและระดับรุนแรงสุดอย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากการปะทุระดับ X แล้ว ยังมีการปะทุระดับ M อีกมากกว่า 15 ครั้ง
ทั้งนี้ นักดาราศาสตร์แบ่งความรุนแรงของการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์เป็น 3 ระดับ คือ ระดับ C ซึ่งเป็นระดับอ่อนๆ ระดับ M เป็นพายุสุริยะที่พลังมากและทำให้เกิดแสงออโรราบนโลกได้ แต่ยังจัดเป็นแค่เหตุการณ์ระดับกลาง และระดับ X ซึ่งเป็นระดับรุนแรงสุดที่จะรบกวนการสื่อสารผ่านดาวเทียมและระบบนำทางผ่านดาวเทียม รวมถึงมนุษย์อวกาศในวงโคจรได้ หากการลุกจ้านั้นหันมายังโลกตรงๆ
นาซาระบุถึงความเสียหายจากการลุกจ้าระดับ X ในอดีตว่า เคยรบกวนหรือทำให้การสื่อสารผ่านวิทยุดับไปเป็นชั่วโมง และอธิบายด้วยว่า การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์นั้นเป็นการปะทุของรังสี แต่รังสีที่เป็นอันตรายเหล่านั้นไม่อาจทะลุผ่านชั้นบรรยากาศโลกลงมาทำร้ายคนบนพื้นโลกได้ แต่ถ้ารังสีมีความเข้มพอก็จะสามารถรบกวนชั้นบรรยากาศที่มีการสัญจรของสัญญาณสื่อสารและระบบนำทางผ่านดาวเทียมได้
การเพิ่มจำนวนของการลุกจ้าค่อนข้างเป็นเรื่องธรรมดาในช่วงเวลานี้ เพราะดวงอาทิตย์กำลังเข้าสู่ช่วงคาบสูงสุดบนดวงอาทิตย์ (solar maximum) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรสุริยะที่มีรอบ 11 ปี โดยองค์การอวกาสสหรัฐฯ ระบุว่าเราเริ่มติดตามวัฏจักรสุริยะมาเรื่อยๆ นับแต่มีการค้นพบวัฏจักรนี้เมื่อปี 1843 และเป็นเรื่องปกติที่มีการลุกจ้าเป็นจำนวนมากระหว่างคาบสูงสุดของกิจกรรมบนดวงอาทิตย์
สำหรับวัฏจักรปัจจุบันคือวัฏจักรสุริยะที่ 24 (Solar Cycle 24) ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2008 แต่สเปซด็อทคอมระบุว่านักวิทยาศาสตร์ที่ติดตามวัฏจักรนี้ ต่างพูดว่าแม้จะเกิดการลุกจ้าใหญ่ๆ หลายครั้ง แต่คาบสูงสุดของกิจกรรมบนดวงอาทิตย์นี้ก็ยังเงียบเหงาที่สุดในรอบ 100 ปี
ภาพการลุกจ้าเมื่อวันที่ 28 ต.ค.จากจุดมืด AR1875 (ขวา) โดยกล้อง SDO (NASA/SDO)
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000134979
____________________
วันนี้(29 ต.ค.)รายการคลุกวงข่าว ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ได้นำเสนอรายงานข่าวเหตุการณ์ที่สร้างความฮือฮาให้กับชาวบ้านในบ้านตาลน้อย อ.นาหว้า จ.นครพนม
โดยมีผู้อ้างว่าสามารถถ่ายภาพบางสิ่งบางอย่างคล้ายพญานาคมาได้ โดยสามารถถ่ายภาพนี้ได้ที่สระน้ำในวัดแสงอุทัยสิริพัฒนาราม หมู่ที่ 9 ต.นาหว้า อ.นาหว้า จ.นครพนม
จากการสอบถามเบื้องต้นทราบว่าภาพนี้ถ่ายโดยคุณยายแก้ว พรหมทอง อายุ 70 ปี น้องสาวของเจ้าอาวาส ซึ่งคุณยายเผยว่า สามารถถ่ายรูปนี้ได้ขณะที่กำลังทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ จากนั้นก็มีงูยักษ์ตัวใหญ่ ชูคอแผ่แม่เบี้ย โผล่ขึ้นมาจากขอบสระน้ำ ตนจึงรีบใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปไว้แล้ววิ่งหนีไปเพราะความกลัว
จากนั้นภาพดังกล่าวก็แพร่ไปทั่วหมู่บ้าน โดยชาวบ้านเชื่อว่างูดังกล่าวน่าจะเป็นพญานาคตามตำนานเดิมเกี่ยวกับสระน้ำ ในภาพปรากฎเป็นรูปงูยักษ์ ตาสีแดง มีเขี้ยวแหลม แต่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพจริงหรือไม่
ทั้งนี้ชาวสังคมออนไลน์ตั้งคำถามว่าภายในภาพดังกล่าวตรงกลางมีรูปใบหน้าคล้ายวิญญาณหญิงสาวอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้ตั้งประเด็นว่าน่าจะเป็นลูกเล่นจากแอปพลิเคชั่น คาเมร่า360
ที่มา : MthaiNews
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ทำให้มนุษย์แทบจะไม่ต้องใช้แรง การกรtทำสิ่งต่างๆ
รางกายจะเกิดการวิวัฒนาการไปตามสภาพแวดล้อมที่ไม่ต้องใช้แรง
เทคโนโลยีในอนาคต เราสามารถสั่งงานโดยผ่านคลื่นสมอง
และใช้สมองในการรับรู้สิ่งต่างๆ นั่นหมายความว่า ความสำคัญของการของประสาทสัมผัสของหูจะลดน้อยลง และจะค่อยๆหายไป
สำหรับดวงตา คาดว่าจะวิวัฒนาการ ในการมองเห็นที่หลากหลายมิติมากขึ้น
ตัวอย่าง เทคโนโลยีในอนาคต ที่สามารถสั่งงานโดยผ่านคลื่นสมอง
หญิงอัมพาตคนหนึ่ง ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากว่า 15 ปี ตอนนี้สามารถสั่งการผ่านหุ่นยนต์ให้ทำงานแทนเธอได้ เพียงแค่ใช้คลื่นสมองของเธอเอง เป็นคนแรกของโลก
อีกตัวอย่างนั้นคือ เจ้าหุ่นยนต์ Asimo จากทาง Honda ที่ควบคุมสั่งการผ่านทางคลื่นสมอง
สามารถยกมือและขาได้เพราะสัญญาณไฟฟ้าที่แปลงมาจากคลื่นสมองของมนุษย์ล้วนๆ
บริษัทสถาบันวิจัยฮอนด้า Honda Research Institute Japan Co., Ltd. ในเครือบริษัท Honda R&D
ร่วมมือกับสถาบันวิจัยเทคโนโลยีก้าวหน้านานาชาติ Advanced Telecommunications Research Institute International (ATR) และบริษัท Shimadzu Corporation พัฒนาเทคโนโลยีเครื่องติดต่อสมองหรือ Brain Machine Interface (BMI)
ซึ่งนำเทคโนโลยีการตรวจคลื่นสมอง EEG และเทคนิคการวิเคราะห์การกระทำ near-infrared spectroscopy (NIRS) มาใช้ในการแปลงคลื่นสมองเป็นสัญญาณไฟฟ้าสำหรับสั่งการหุ่นยนต์อย่างแท้จริง
จากการสาธิต อาสิโมสามารถเคลื่อนไหวได้โดยที่ผู้สาธิตไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อกดปุ่มใดๆ เชื่อว่าเทคโนโลยีแสนสบายนี้จะถูกนำไปพัฒนาเป็นแอปพลิเคชันเพื่อใช้ในนานาอุปกรณ์อัจฉริยะหรือหุ่นยนต์ในอนาคต
ส่วนที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาเทคโนโลยี BMI นั้นอยู่ที่การตรวจจับและวิเคราะห์การหมุนเวียนของเลือดและความเปลี่ยนแปลงภายในสมองขณะเกิดความคิด ข้อมูลระบุว่าเซ็นเซอร์ตรวจจับคลื่นสมอง EEG จะทำหน้าที่เป็นตัวแปลงคลื่นสมองที่ได้ให้อยู่ในรูปสัญญาณไฟฟ้า ขณะที่เซ็นเซอร์การวิเคราะห์ NIRS จะทำหน้าที่แปลงการหมุนเวียนของเลือดในสมองออกมาเป็นคำสั่ง โดยระบบ BMI จะรวบรวมข้อมูลที่สลับซับซ้อนจากเซ็นเซอร์ทั้งสองชนิดเพื่อนำมาประมวลผล และส่งออกสัญญาณคำสั่งที่ได้ไปยังหุ่นยนต์
สถาบันวิจัยฮอนด้าและ ATR เปิดตัวเทคโนโลยี BMI ตั้งแต่ปี 2006 เริ่มจากการใช้เครื่องสแกนภาพ functional magnetic resonance imaging (fMRI) ใช้คลื่นวิทยุและสนามแม่เหล็กที่มีความเข้มสูงกว่าการฉายแสงมาสแกนสมองเพื่อดูว่าสมองส่วนไหนมีเส้นเลือดที่ขยายตัวเป็นพิเศษ ซึ่งภาพที่ได้จะสามารถแสดงความแตกต่างของสมองในภาวะแตกต่างกันได้ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านสถานที่และเงื่อนไขในการใช้งานทำให้หันมาใช้เซ็นเซอร์ EEG และ NIRS ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่าแทน
จากการสาธิต อาสิโมสามารถเคลื่อนไหวได้โดยที่ผู้สาธิตไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อกดปุ่มใดๆ เชื่อว่าเทคโนโลยีแสนสบายนี้จะถูกนำไปพัฒนาเป็นแอปพลิเคชันเพื่อใช้ในนานาอุปกรณ์อัจฉริยะหรือหุ่นยนต์ในอนาคต
ส่วนที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาเทคโนโลยี BMI นั้นอยู่ที่การตรวจจับและวิเคราะห์การหมุนเวียนของเลือดและความเปลี่ยนแปลงภายในสมองขณะเกิดความคิด ข้อมูลระบุว่าเซ็นเซอร์ตรวจจับคลื่นสมอง EEG จะทำหน้าที่เป็นตัวแปลงคลื่นสมองที่ได้ให้อยู่ในรูปสัญญาณไฟฟ้า ขณะที่เซ็นเซอร์การวิเคราะห์ NIRS จะทำหน้าที่แปลงการหมุนเวียนของเลือดในสมองออกมาเป็นคำสั่ง โดยระบบ BMI จะรวบรวมข้อมูลที่สลับซับซ้อนจากเซ็นเซอร์ทั้งสองชนิดเพื่อนำมาประมวลผล และส่งออกสัญญาณคำสั่งที่ได้ไปยังหุ่นยนต์
สถาบันวิจัยฮอนด้าและ ATR เปิดตัวเทคโนโลยี BMI ตั้งแต่ปี 2006 เริ่มจากการใช้เครื่องสแกนภาพ functional magnetic resonance imaging (fMRI) ใช้คลื่นวิทยุและสนามแม่เหล็กที่มีความเข้มสูงกว่าการฉายแสงมาสแกนสมองเพื่อดูว่าสมองส่วนไหนมีเส้นเลือดที่ขยายตัวเป็นพิเศษ ซึ่งภาพที่ได้จะสามารถแสดงความแตกต่างของสมองในภาวะแตกต่างกันได้ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านสถานที่และเงื่อนไขในการใช้งานทำให้หันมาใช้เซ็นเซอร์ EEG และ NIRS ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่าแทน
wara.com
------------------------------------------
ในอนาคต มนุษย์จะแทบจะไม่ต้องใช้แรงในการทำกิจวัตรประจำวันเลยทีเดียว
ลืมเลย มีส่วนของวิวัฒนาการของนิ้วด้วย นั้นคือจะเล็กเรียวขึ้น เพราะใช้แค่ปลายนิ้วสัมผัส
เคยอ่านเจอนานแล้ว ก่อนระบบทัสกรีน จะบูมเสียอีก (ก็เริ่มใช้ นิ้วแทนปาก ใช้ ตาแทนหู แล้ว)แล้ววิวัฒนาการมนุษย์ก็เริ่มเหมือน มนุษย์ต่างดาว มากขึ้นๆ
และถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ แท้จริงแล้ว เราคือ เผาพันธุ์มนุษย์ต่างดาว อย่างนั้นหรือ !!!
หรือ มนุษย์ต่างดาว ก็คือมนุษย์โลกในอนาคต ที่สามารถคิดค้นสร้างเครื่องย้อนเวลา
ไทม์แมชชีน ก็คือ UFO อย่างนั้นหรือ....
และเพราะเหตุใด มนุษย์ต่างดาว จึงไม่เปิดเผยตัวตนแก่ชาวโลกอย่างเป็นทางการ
ถ้าหากว่าเขาคือ มนุษย์โลกในอนาคตที่ย้อนเวลากลับมาละ...
(ถ้าคิดในแง่มุมนี้)
สมุติว่าเราย้อนเวลากลับได้ เราก็คงได้แค่เฝ้ามอง เช่นกัน
สมุติว่าเราย้อนเวลากลับได้ เราก็คงได้แค่เฝ้ามอง เช่นกัน
ดั่งคำกล่าว ที่ว่า "เราไม่สามารถ เปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่เราเปลี่ยนอนาคตได้"
เหมือนดั่ง ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (The Butterfly Effect)
ลูกไฟประหลาดนี้ถูกจับภาพ โดยกล้องที่ติดตั้งถ่ายทดสดเมืองผ่านระบบ Network
ของเมือง Akureyri ประเทศไอซ์แลนด์
จู่ๆก็มีวัตถุประหลาดเรืองแสง เชื่อว่าอาจเป็น UFO ปรากฏตัวขึ้นจากเมฆ แล้วค่อยๆลงร่อนลง ในพื้นที่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นพื้นที่พักอยู่อาศัย
ชมคลิป
อ้างอิง : http://www.ufosightingsdaily.com/
________________________________
กระดูกในหลุมศพที่สุสานชาวอีทรูเรีย ที่เคยคิดว่าเป็นของเจ้าชายนักรบ กลับเป็นกระดูกของเจ้าหญิงแทน เมื่อทำการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ (ไลฟ์ไซน์/ Mandolesi)
เมื่อเดือนที่ผ่านมานักโบราณคดีได้ค้นพบหลุมศพอายุกว่า 2 พันปีที่ยังไม่มีใครแตะต้องมาก่อน ในสุสานชาวอีทรูเรียโบราณ ที่อิตาลี และคาดว่าน่าจะเป็นหลุมฝั่งพระศพเจ้าชายนักรบ แต่การตรวจสอบล่าสุดกลับพบว่าหลุมศพของเจ้าหญิง
ไลฟ์ไซน์รายงานว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมานักโบราณคดีได้ขุดพบหลุมศพที่ยังไม่มีใครเคยพบ ซึ่งบรรจุร่างที่คล้ายเจ้าชายอีทรูเรียโบราณ (Etruscan) ที่ถือหอก ข้างๆ เถ้าพระชายาของพระองค์ ซึ่งสื่อหลายสำนักได้รายงานการค้นพบพระศพเจ้าชายนักรบอายุกว่า 2,600 ปีนี้ ทว่าจากการวิเคราะห์กระดูก จูดิธ ไวน์การ์เทน (Judith Weingarten) ศิษย์เก่าบริติชสคูล (British School) ในเอเธนส์ เขียนอธิบายในบล็อกส่วนตัวว่า แท้จริงแล้วพระศพเจ้าชายนักรบนั้นคือเจ้าหญิง
หลุมศพที่เจาะเข้าไปในช่องหิน มีเตียงวางโครงกระดูก 2 เตียง (ไลฟ์ไซน์/ Mandolesi) |
หลุมศพใหม่นี้ถูกขุดพบโดยนักโบราณคดีในทัสกานี อิตาลี อยู่ในสุสานชาวอิทรูเรียโบราณที่ตารควินิอา (Tarquinia) แหล่งมรดกโลกของยูเนสโก (UNESCO) ซึ่งมีหลุมศพที่ตัดหินเป็นส่วนๆ กว่า 6,000 หลุม ซึ่งไลฟ์ไซน์ระบุว่านักประวัติศาสตร์มีความรู้ค่อนข้างน้อยเกี่ยวกับวัฒนธรรมชาวอีทรูเรียที่เคยรุ่งเรืองในดินแดนของอิตาลีในอดีต จนกระทั่งถูกดูดกลืนเป็นพลเมืองโรมันเมื่อ 400 ปีก่อนคริสตศักราช
แหล่งขุดหลุมศพในสุสานที่เป้นมรดกโลก (ไลฟ์ไซน์/ Mandolesi)
ชาวอีทรูเรียโบราณไม่มีเอกสารประวัติศาสตร์หลงเหลือเหมือนชาวกรีกโบราณและชาวโรมัน ดังนั้น หลุมศพของพวกเขาจึงเป็นช่องทางเดียวให้เราส่องไปถึงวัฒนธรรมของพวกเขา
อะเลสซันโดร มันโดเลซี (Alessandro Mandolesi) นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยตูริน (University of Turin) อิตาลี ผู้ขุดค้นบริเวณสุสานดังกล่าว อธิบายแก่ไลฟ์ไซน์ว่า โถงใต้ดินมีอายุย้อนไปถึง 6 ศตวรรษก่อนปีคริสตศักราช และมีช่องขุดเข้าไปในหินเป็นที่นอนสำหรับฌาปนกิจ 2 เตียง
สิ่งของในหลุมศพ (ไลฟ์ไซน์/ Mandolesi) |
เมื่อทีมขุดเคลื่อนย้ายแผ่นวัสดุปิดผนึกออกจากหลุมศพ พวกเขาก็พบฐานขนาดใหญ่ 2 ฐาน โดยบนฐานหนึ่งมีโครงกระดูกที่ถือหอก ส่วนอีกฐานเป็นโครงกระดูกที่ถูกเผาเป็นขี้เถ้า และทีมสำรวจยังพบชิ้นส่วนอัญมณีจำนวนหนึ่ง และกล่องถาดทองแดง ซึ่งอาจจะเป็นสมบัติของผู้หญิง และมันโดเลซีระบุด้วยว่า ผนังด้านในหลุมศพยังมีคนโทอารีบอลลอส (aryballos) ซึ่งระบายสีน้ำมันตามสไตล์กรีก-คอรินเธียน (Greek-Corinthian)
เบื้องต้นหอกเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าโครงกระดูกบนฐานที่กว้างกว่าเป็นของนักรบชาย ซึ่งอาจจะเป็นเจ้าชายชาวอีทรูเรีย ส่วนอัญมณีน่าจะเป็นของศพที่สอง ซึ่งน่าจะเป็นพระชายาของเจ้าชายนักรบ แต่การวิเคราะห์กระดูกพบว่า เจ้าชายที่ถือหอกนั้นแท้จริงแล้วคือผู้หญิงอายุประมาณ 35-40 ปี ขณะที่กระดูกโครงที่สองกลับเป็นของผู้ชาย
สำหรับหอกนั้นมันโดเลซีให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นสัญลักษณ์ความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผู้ตายทั้งสอง แต่ไวน์การ์เทนไม่เชื่อในคำอธิบายว่าหอกเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นหนึ่งเดียว แต่เธอเชื่อว่าหอกนั้นน่าจะแสดงถึงสถานะชั้นสูงของผู้หญิง และใช้คำแสดงความหมายว่าหอกเป็นตัวแทนผู้หญิง
กล่องแผ่นทองแดงในหลุมศพ (ไลฟ์ไซน์/ Mandolesi)
ทางด้านไวน์การ์เทนกล่าวว่า แทนที่จะตีความจากสิ่งที่พบในหลุมศพ นักโบราณคดีควรอิงการวิเคราะห์กระดูก หรือการตรวจสอบอื่นที่เชื่อถือได้ ก่อนจะด่วนสรุป ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ในบางประเทศก็ยังคงระบุเพศในแหล่งโบราณคดีโดยอิงจากสิ่งของที่อยู่ในหลุมศพ ซึ่งมักจะถูกตัดสินจากความคิดอคติที่เชื่อก่อนจะได้พิสูจน์ ดังตัวอย่างอัญมณีเครื่องประดับที่เรามักเชื่อมโยงกับผู้หญิง
“มันไม่มีเหตุผลมากนักสำหรับโลกโบราณ หนุ่มๆ ก็ชอบของวิบๆ วับเหมือนกัน” ไวน์การ์เทนกล่าว
คนโทที่ประดับในหลุมศพ (ไลฟ์ไซน์/ Mandolesi)
เจ้าหน้าที่ช่วยกันขุดหลุมศพ (ไลฟ์ไซน์/ Mandolesi)
แผ่นปิดหลุมศพอายุกว่า 2,600 ปีที่ยังไม่เคยมีใครแตะต้อง (ไลฟ์ไซน์/ Mandolesi)
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000131473
____________________
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลิมา ประเทศเปรู เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ว่า กองทัพอากาศเปรูได้รื้อฟื้นหน่วยงานสอบสวนวัตถุบินลึกลับ(จานบินผีหรือยูเอฟโอ) น.อ.ฮูลิโอ วูเซทิช เปิดเผยว่า หน่วยสอบสวนดังกล่าวที่มีชื่อว่า ดีไอเอฟเอเอ จะประกอบด้วยนักสังคมวิทยา,นักโบราณคดีและนักดาราศาสตร์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศเปรู จะช่วยกันวิเคราะห์ปรากฎการณ์เกี่ยวกับจานบินผีที่มีผู้พบเห็น ทั้งนี้ หน่วยงานสอบสวนจานบินผีก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2544 แต่ปิดไปเมื่อ5 ปีก่อน เนื่องจากมีปัญหาด้านการบริหาร นอกจากเปรูที่มีหน่วยงานดังกล่าวแล้ว บราซิล อาร์เจนติน่า และชิลี ก็มีหน่วยงานตรวจสอบยูเอฟโอเช่นกัน น.อ.วูเซทิชบอกว่า หน่วยสอบสวนยูเอฟโอเปิดทำการอีกครั้ง เพราะมีการพบเห็นจานบินผีในเปรูมากขึ้น และประชาชนรายงานให้สื่อได้ทราบ ล่าสุดมีข่าวว่า ประชาชนหลายคนในเมืองมาราบัมบา แถบเทือกเขาแอนดีสเห็นวัตถุบินแปลกประหลาดในท้องฟ้าอย่างชัดเจนเมื่อหลายวันก่อน
ที่มา : http://www.dailynews.co.th/world/241830
เมื่อวันที่ 19 ต.ค. เวลา 18.49 น. ที่บริเวณริมแม่น้ำโขงด้านหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย บรรยากาศการรอชมบั้งไฟพญานาคที่ริมแม่น้ำโขง เป็นไปอย่างคึกคัก โดยขณะที่มีพิธีบวงสรวงพญานาคบนริมฝั่ง มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นเมื่อนักท่องเที่ยวที่ไปรอชมแม่น้ำโขงสามารถบันทึกภาพวัตถุคล้ายพญานาคยาวประมาณ 4 เมตร ว่ายน้ำในแม่น้ำโขงใกล้กับสถานที่ประกอบพิธี เป็นเวลาประมาณ 15 วินาที แล้วค่อย ๆ หายไป
นายปราโมทย์ เทพพิทักษ์ อายุ 63 ปี ชาว จ.ลำปาง เป็นผู้บันทึกภาพไว้ได้และมีผู้ที่เห็นพร้อมกันเป็นชาวอำเภอเชียงแสนอีกจำนวน 4 คน ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าเห็นวัตถุคล้ายพญานาค
ที่มา : http://news.mthai.com/general-news/278239.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นักดาราศาสตร์ ค้นพบดาวเคราะห์แปลกประหลาดดูเหมือนทำด้วยเพชรทั้งดวง โคจรพล่านอยู่รอบดาวฤกษ์จิ๋วดวงหนึ่ง
ดาวนั้นมีความหนาแน่นยิ่งกว่าดาวดวงใด ประกอบด้วยคาร์บอนเป็นส่วนใหญ่มีความแน่นหนาสูง นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า คาร์บอนที่มีอยู่จะต้องอยู่ในรูปของผลึกเท่ากับว่าส่วนใหญ่ของโลกประหลาดดวงนี้เป็นเพชรนั่นเอง
นักวิจัยแมทธิว เบลส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสวินเบิร์น ของออสเตรเลีย กล่าวว่า “จากประวัติการวิวัฒนาการและความหนาแน่นอย่างน่าประหลาดใจส่อให้รู้ว่า มันประกอบด้วยคาร์บอน มันเป็นเหมือนกับก้อนเพชรยักษ์โคจรรอบๆ ดาวนิวตรอนทุกๆ 2 ชม. ในวงโคจรแคบๆ ที่แทบจะบรรจุไว้ในดวงอาทิตย์ของเราได้”
มันอยู่ไกลจากโลกประมาณ 4 พันปีแสง หรือประมาณ 1 ใน 8 ของระยะทางจากศูนย์กลางของทางช้างเผือกมายังโลก.
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/edu/198099
____________________
นักดำน้ำกู้อุกกาบาตกว่าครึ่งตัน ที่ตกในรัสเซียเมื่อต้นปี ขึ้นจากทะเลสาบแล้ว นักวิทยาศาสตร์ระบุเป็นหนึ่งในซากอุกกาบาตชิ้นใหญ่ที่สุดที่เคยพบ
รายงานข่าวบีบีซีนิวส์ระบุว่า นักดำน้ำหลายคนได้กู้อุกกาบาตหนักครึ่งตันที่ตกในรัสเซีย เมื่อ 15 ก.พ.2013 ที่ผ่านมา ขึ้นจากทะเลสาบเชบาร์กูล (Lake Chebarkul) ตอนกลางของรัสเซียแล้ว
การพุ่งลงทะเลสาบของอุกกาบาตครั้งนั้น ทำให้เกิดหลุมกว้าง 6 เมตรบนแผ่นน้ำแข็ง มีคนกว่า 1,000 คนได้รับบาดเจ็บ เมื่อหินอวกาศกว้าง 17 เมตร และหนัก 10,000 ตัน ระเบิดเหนือใจกลางรัสเซีย และทำให้กระจกอาคารแตก และยังทำให้อาคารสั่นสะเทือน
ซากอุกกาบาตยาว 1.5 เมตรที่อยู่ในวัสดุคลุมพิเศษ และวางบนแผ่นโลหะขณะยังอยู่ใต้น้ำ ถูกดึงขึ้นจากทะเลสาบ มายังชายฝั่ง และถูกชั่งน้ำหนักได้ราว 570 กิโลกรัม
ด้าน ดร.คาโรลีน สมิธ (Dr.Caroline Smith) ภัณฑรักษ์ด้านอุกกาบาตจากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา (Natural History Museum) ในลอนดอน อังกฤษ ยืนยันว่าวัตถุดังกล่าวคืออุกกาบาต จากลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า “เปลือกหลอม” (fusion crust) และรอยยุบเรกแมกลิปต์ส (regmaglypts) ที่ผิวอุกกาบาต ซึ่งปรากฏภาพอย่างชัดเจน
ทางด้าน เซอร์กีย์ ซามอซดรา (Sergey Zamozdra) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชลยาบินส์ก (Chelyabinsk State University) รัสเซีย เผยแก่สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น เผยว่าหินดังกล่าวคือชิ้นส่วนจากอุกกาบาตเชลยาบินส์ก และน่าจะเป็นหนึ่งใน 10 ชิ้นส่วนอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยพบ
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000130193
________________________________
พบในรัฐควีนแลดน์ ประเทศออสเตรเลีย พบว่าเป็นสัตว์ทะเลที่แปลก เหมือนมนุษย์ต่างดาว พบบนชายหาด
ระหว่างที่ถ่ายวีดีโอ พบเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ขยับตัวได้ ผมก็ตะลึงมากแล้ววางกล้องลง เพื่อที่จะสำรวจดู แล้วมันก็เริ่มร้องเสียงครวญครางเหมือนร้องไห้และช๊อคหมดสติไป ผมก็เลยเมตตาสงเคราะห์นำเขาไปปล่อยสู่ทะเล ที่เขาจะได้ฟื้นฟูชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
เครดิต : http://www.youtube.com/user/42253800?feature=watch
________________________________
ระหว่างที่ถ่ายวีดีโอ พบเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ขยับตัวได้ ผมก็ตะลึงมากแล้ววางกล้องลง เพื่อที่จะสำรวจดู แล้วมันก็เริ่มร้องเสียงครวญครางเหมือนร้องไห้และช๊อคหมดสติไป ผมก็เลยเมตตาสงเคราะห์นำเขาไปปล่อยสู่ทะเล ที่เขาจะได้ฟื้นฟูชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
เครดิต : http://www.youtube.com/user/42253800?feature=watch
________________________________
นักวิจัยเสนอว่า ดาวเสาร์และดาวพฤหัสน่าจะมีฝนตกเป็นเพชร (บีบีซีนิวส์)
ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์เพื่อนบ้านนี้ เป็นข้อมูลจากรายงานของบีบีซีนิวส์ที่เผยว่าทีมวิจัยได้นำเสนอภายในงานประชุมวิชาการของสาขาวิทยาการดาวเคราะห์ในสมาคมดาราศาสตร์อเมริกัน
ทั้งนี้ บรรยากาศที่อุดมด้วยคาร์บอนของดาวก๊าซยักษ์ในวงนอกของระบบสุริยะนั้น ให้เกิดผลึกเพชรเป็นประกาย เมื่อเกิดพายุฟ้าคะนอง ทำให้ก๊าซมีเทนกลายเป็นเขม่าที่เป็นคาร์บอนรูปหนึ่ง จากนั้นจะแข็งเป็นก้อนกราไฟต์ แล้วเปลี่ยนเป็นเพชรขณะตกสู่เบื้องล่าง
ขนาดใหญ่สุดของเพชรเหล่านั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซ็นติเมตร ทว่าเพชรเหล่านั้นก็เป็นเพียงลูกเห็บที่ละลายลงสู่ทะเลของเหลวในใจกลางอันร้อนจัดของดาวเคราะห์
ดร.เควิน เบนส์ (Dr. Kevin Baines) จากมหาวิทยาลัยวิสคันซิน-เมดิสัน (University of Wisconsin-Madison) และห้องปฏิบัติการจรวดขับเคลื่อนความดัน (Jet Propulsion Laboratory) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) เน้นว่า แต่ละปีมีเพชรตกบนดาวเสาร์กว่า 1,000 ตัน
"คนมักถามผมว่า ผมจะบอกได้แน่ๆ อย่างไร เพราะไม่มีทางที่ผมจะไปถึงที่นั่นและสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างมันเป็นเคมี ซึ่งเราเชื่อว่าเราค่อนข้างมั่นใจ" ดร.เบนส์กล่าว โดยเขายังศึกษาเรื่องนี้ร่วมกับ โมนา เดลิตสกี (Mona Delitsky) แผนกวิศวกรชำนาญพิเศษแคลิฟอร์เนีย
เรื่องแนวคิดว่ายูเรนัสและเนปจูนเป็นที่ซ่อนของอัญมณีไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สำหรับดาวเสาร์และดาวพฤหัสบดีแล้วเชื่อกันว่าไม่น่าจะมีบรรยากาศที่เหมาะสม แต่ ดร.เบนส์และเดลิตสกีได้วิเคราะห์อุณหภูมิล่าสุดและคาดการณ์ความดันสำหรับภายในดาวเคราะห์ รวมถึงข้อมูลใหม่เกี่ยวกับพฤติกรรมของคาร์บอนในสภาพต่างๆ และได้ข้อสรุปว่าผลึกเพชรคงตัวจะตกเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะบนดาวเสาร์
ดร.เบนส์อธิบายว่า ทุกอย่างเริ่มต้นที่บรรยากาศชั้นบน ในชั้นที่ฟ้าผ่าได้เปลี่ยนมีเทนให้กลายเป็นเขม่า และเมื่อเขม่าตกลงความดันที่กระทำต่อเขม่าเหล่านั้นก็เพิ่มขึ้น จนตกไปได้ราว 1,600 กิโลเมตร เขม่าจะเป็นแผ่นกราไฟต์ซึ่งเป็นรูปแบบของคาร์บอนที่พบในดินสอ
และเมื่อลงลึกไปถึง 6,000 กิโลเมตร กราไฟต์เหล่านั้นก็อัดแน่นกลายเป็นเพชรที่ทั้งแข็งและไม่ทำปฏิกิริยาใดๆ เพชรเหล่าจะตกไปเรื่อยๆ อีก 30,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 2 เท่าครึ่งของความกว้างของโลก
"เมื่อลงไปลึกมากขนาดนั้น ทั้งอุณหภูมิและความดันราวกับนรก ไม่มีทางที่เพชรจะยังคงเป็นของแข็งได้ แต่ยังไม่แน่ชัดว่า อะไรเกิดขึ้นกับคาร์บอนข้างล่างนั่น" ดร.เบนส์กล่าว
แต่เป็นไปได้ว่าอาจมีทะเลคาร์บอนเหลวก่อตัวขึ้น โดยเพชรที่ดาวเสาร์และดาวพฤหัสไม่อาจคงตัวได้ แต่ที่ดาวยูเรนัสและเนปจูนยังมีเพชรที่คงตัวอยู่เพราะมีแกนกลางที่เย็นกว่า
สำหรับรายงานนี้ยังไม่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านดาวเคราะห์ให้ความเห็นแก่ทางบีบีซีนิวส์ว่า ความเป็นไปได้ที่จะเกิด "ฝนเพชร" เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้าม
ศ.เรย์มอนด์ ฌ็องลอซ (Raymond Jeanloz) หนึ่งในทีมแรกที่ทำนายว่ามีฝนเพชรบนยูเรนัสและเนปจูน กล่าวว่าแนวคิดเกี่ยวกับความลึกของบรรยากาศบนดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ที่มากพอจะทำให้เกิดเพชรที่คงรูปอยู่ได้นั้นค่อนข้างมีเหตุผล แต่เมื่อคำนึงถึงขนาดของดาวเคราะห์เหล่านั้น ปริมาณคาร์บอนที่กลายเป็นเพชรนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่มีความหมายนัก
ขณะที่ ดร.นาดีน เนตเทิลมานน์ (Dr. Nadine Nettelmann) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานตาครูซ (University of California, Santa Cruz) สหรัฐฯ กล่าวว่ายังต้องศึกษาอีกว่า คาร์บอนจะกลายเป็นเพชรในบรรยากาศที่อุดมไฮโดรเจนและฮีเลียมอย่างดาวเสาร์ได้อย่างไร
เธออธิบายว่า เยนส์และเดลิตสกีพิจารณาจากข้อมูลคาร์บอนบริสุทธิ์ แทนที่จะพิจารณาส่วนผสมระหว่างคาร์บอน ไฮโดรเจนและฮีเลียม แม้ว่าไม่อาจตัดสมมติฐานเกี่ยวกับฝนเพชรบนดาวเสาร์และดาวพฤหัสบดีได้ แต่เราก็ไม่มีข้อมูลก๊าซผวมบนดาวเคราะห์ทั้งสอง ดังนั้นเราจึงไม่มีทางรู้ว่ามีการก่อตัวเป็นเพชรเกิดขึ้น
ดาวเคราะห์ 55 แคนครี-อี ที่เชื่อว่าเป็นดาวเคราะห์อุดมเพชร อาจไม่มีอัญมณีมากอย่างที่คิด
นอกจากนี้ ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่เคยเชื่อว่าเลอค่าไปด้วยเพชรปริมาณมหาศาลที่ชื่อ 55 แคนครี-อี (55 Cancri e) ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ที่อยู่ไกลจะระบบสุริยะของเราออกไป 40 ปีแสงนั้น ก็ไม่น่าจะมีอัญมณีส่องประกาย
จากการศึกษาเมื่อปี 2010 ชี้ว่าดาวเคราะห์หินดังกล่าวมีพื้นผิวกราไฟต์ที่รายรอบไปด้วยชั้นเพชรหนาๆ แทนที่จะเป็นน้ำและหินแกรนิตเหมือนบนโลก แต่งานวิจัยล่าสุดที่เพิ่งตีพิมพ์ลงวารสารแอสโทรฟิสิคัลเจอร์นัล ก็ตั้งคำถามต่อข้อสรุปดังกล่าว โดยปรากฏว่าคาร์บอนที่มีอยู่บนดาวแม่ของดาวเคราะห์ดังกล่าวน้อยกว่าที่คิด โดยสัมพันธ์กับออกซิเจนบนดาวแม่ และดาวเคราะห์เองอาจจะมีคาร์บอนอยู่น้อยด้วย
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000129526
“อย่าได้กลัวการมีชีวิต แต่จงเชื่อว่าชีวิตคู่ควรที่จะอยู่ต่อไป
แล้วความเชื่ออันนั้นของคุณ จะช่วยให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้”
WILLIAM JAMES
ดร. Bruce Lipton เป็นนักวิทยาศาสตร์หัวรั้นคนหนึ่ง เขาทุ่มเทชีวิตของเขา
ให้กับการทำความเข้าใจชีววิทยาและพฤติกรรมของมนุษย์ เขาได้รับปริญญาเอก
จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ที่ Charlottesville แล้วจากนั้นเขาก็ไปศึกษาต่อที่
the University of Wisconsin School of Medicine จนได้เป็น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านกายวิภาคศาสตร์
จากภาพรวมของประวัติและผลงานที่ผ่านมาแบบนี้ ทำไมบางคนถึงมองว่าเขา
เป็นคนที่ชอบทำให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นอีกหละ? ทำไมเขาถึงก้าวลงมาจากการสอนนักศึกษาแพทย์
แล้วหันมาทำอาชีพอื่นที่น้อยคนนักจะทำหละ? เขาตอบง่ายๆว่า ..
เขาพบว่าสิ่งต่างๆมันไม่ได้เป็นอย่างที่มันดูเหมือนว่าจะเป็น
และมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเคยสอนในโรงเรียนแพทย์ด้วย
และมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราถูกสอนให้เชื่ออีกด้วย
“สุขภาพร่างกายของเราไม่ได้ถูกควบคุมโดยพันธุกรรม”
ดร.Bruce Lipton นักอีพิเจเนติกส์
“การแพทย์แผนปัจจุบันนี้ กำลังปฏิบัติการอยู่บนมุมมองที่ล้าสมัยแล้ว
ที่มองว่าพวกเราถูกควบคุมโดยยีน ซึ่งตรงนี้เป็นการเข้าใจธรรมชาติการทำงานของชีววิทยาผิดไป”
ผู้เชียวชาญด้านการแพทย์จากทั่วโลกอาจจะเบ้ปากและส่งเสียงคำรามกันใหญ่
แต่ผลงานวิจัยของ ดร. Lipton และรวมถึงหลักฐานต่างๆที่ได้จากการศึกษา
และการทดลองของเพื่อนร่วมงานของเขา ก็กำลังเป็นแรงผลักดันในเรื่องนี้อยู่อย่างมาก
จนทำให้หลักสูตรการเรียนการสอนทางการแพทย์ต่างๆกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่ในขณะนี้
เดี๋ยวเราลองมาหยุดพักกันซักครู่ เพื่อฟังคำอธิบายแบบไม่เป็นวิทยาศาสตร์แต่น่าฟังมากๆ
เกี่ยวกับตรรกะของ ดร.Lipton ที่จะทำให้ความคิดของเราเปิดกว้างขึ้น
และเกี่ยวกับสิ่งที่รู้จักกันในนามของ Epigenetic
อีพิเจเนติกส์ คือ การศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่ได้รับสืบทอดมา
ในเชิง phenotype หรือการแสดงออกของยีน ที่มีสาเหตุมาจากกลไกต่างๆ
ที่นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงลำดับของ DNA ที่สำคัญๆ
เขาพูดว่า “การแพทย์ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมากมาย
แต่ว่า มันก็จำกัดอยู่เฉพาะกับความเจ็บป่วยเท่านั้น
เพราะว่าวิถีทางของ AMA นี้ จะมองร่างกายของเรา
เหมือนเป็นเครื่องจักรตัวหนึ่ง แบบเดียวกับรถยนต์นั่นแหละ
ดังนั้น เมื่อใดที่มีชิ้นส่วนใดชำรุดเสียหาย คุณก็แค่เปลี่ยนมันใหม่เสีย
ซึ่งก็คือการปลูกถ่ายอวัยวะ, การใส่ข้อต่อสังเคราะห์ และอื่นๆ
เหล่านี้แหละคือปาฏิหาริย์ทางการแพทย์หละ”
“แต่ปัญหาก็คือ พวกเขาเข้าใจว่า ถ้ากลไกใดมันไม่ทำงาน
ก็แสดงว่ามันเกิดความผิดปกติขึ้นกับยานพาหนะคันนั้น
พวกเขาก็จะไปโทษเจ้ายานพาหนะคันนั้น และพวกเขาก็เชื่อว่า
เจ้ายานพาหนะคันนั้น ซึ่งในที่นี้หมายถึงร่างกายของเรา ถูกควบคุมโดยยีนอยู่”
“ลองเดาซิว่ามันจะเป็นยังไง? พวกเขาก็จะไม่เคยคิดเลยว่า
จริงๆแล้วมันมีคนขับรถอยู่ในรถยนต์คันนั้นด้วย
แต่วิทยาศาสตร์แขนงใหม่ ที่เรียกว่า Epigenetics นี้
ได้เปิดเผยให้เราทราบว่า เจ้ายานพาหนะลำนั้น หรือ ยีนเอง
ไม่ได้เป็นสาเหตุของการชำรุดเสียหายที่ว่านั้นเลย
แต่เป็นคนขับรถต่างหากหละ!”
ประเด็นสำคัญก็คือ ถ้าคุณขับรถไม่เป็น คุณก็จะไปทำให้ยานพาหนะของตัวเองเสียหายได้
หรือแปลความหมายให้เข้าใจง่ายที่สุดก็คือ พวกเราสามารถเห็นพ้องต้องกันได้ว่า
รูปแบบการใช้ชีวิตของเรา
คือกุญแจสำคัญในการดูแลรักษาตัวเราเอง
ดังนั้น ถ้าคุณคิดดี, รับประทานอาหารที่ดี
และออกกำลังกายอยู่เสมอ
ก็จะทำให้ร่างกายของคุณไม่เกิดการชำรุดเสียหาย
และก็จะไม่ต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ด้วย
ดร.Lipton อ้างถึงผลงานของ ดร.Dean Ornish เพื่อขยายความต่อไปอีกว่า
“ดร.Ornish ได้นำเอาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจแบบทั่วไปมาจำนวนหนึ่ง
แล้วทำให้พวกเขามีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับวิถีการใช้ชีวิตที่สำคัญๆบางอย่าง
(เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่ดีขึ้น, เทคนิกการลดความเครียด เป็นต้น)
และโดยที่ไม่ได้ใช้ยาเลย โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจที่ว่านั้น กลับหายได้อย่างไม่น่าเชื่อ"
ดร.Ornish ได้เล่าว่า ถ้าเขาสามารถได้ผลลัพธ์ของการรักษาแบบเดียวกันนี้
จากการใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งหละก็ ป่านนี้แพทย์ทุกๆคนก็คงจะกำลังสั่งยาตัวนั้นให้กับคนไข้อยู่แล้วหละ
“นั่นเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ, เบาหวาน,หรือโรคอ้วน
แต่ว่า.แล้วผู้ป่วยโรคมะเร็งหละ?”
แม้แต่การเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตแบบเข้มงวดที่สุด
ก็ยังไม่สามารถที่จะรักษาโรคมะเร็งให้หายได้ในทุกคนเลย
แล้วแนวโน้มทางพันธุกรรมที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคนั้นหละ?
ดร.Lipton ยอมรับว่า “พวกเราเคยคิดว่าการผ่าเหล่าของยีนคือสาเหตุของการเกิดโร
ผลงานวิจัยชี้ว่าความคิดสามารถส่งผลกระทบต่อยีน (gene) ได้
ได้เปิดเผยถึงวิทยาศาสตร์ด้านอีพิเจเนติกส์อย่างไรบ้าง
“ผมใส่ stem cell เซลหนึ่งเข้าไปในจานเพาะเชื้อ
ซึ่งมันก็จะแบ่งตัวทุกๆ 10 ชั่วโมง แล้วหลังจากนั้น 2 สัปดาห์
ผมก็จะได้ stem cell จำนวนหลายพันเซลในจานเพาะเชื้อจานนั้น
ซึ่งสเต็มเซลทั้งหมดนั้น จะมีรหัสทางพันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ
เพราะว่ามันแบ่งตัวออกมาจากเซลต้นตอเดียวกัน
แล้วจากนั้น ผมก็แยกเซลเหล่านั้น
ออกไปเพาะเลี้ยงในอาหารเลี้ยงเชื้อ 3 ชนิด”
“และต่อมา ผมก็จัดการเปลี่ยนแปลง
อาหารเลี้ยงเชื้อในแต่ละจานให้มีความเหมาะสม
ซึ่งอาหารเลี้ยงเชื้อเหล่านี้ ก็คือสิ่งแวดล้อมของเซลเหล่านี้นั่นเอง
“ในจานที่ 1 เซลเหล่านั้น โตขึ้นมากลายเป็นกระดูก,
จานที่ 2 กลายเป็นกล้ามเนื้อ
และจานที่ 3 กลายเป็นไขมัน
ซึ่งผลการทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า
“ยีน” ไม่ได้เป็นตัวกำหนดโชคชะตาให้กับเซลเหล่านี้เลย
เพราะว่าพวกมันล้วนมียีนเดียวกันทั้งสิ้น
แต่สิ่งแวดล้อมต่างหากหละ
ที่เป็นตัวกำหนดโชคชะตาของเซลเหล่านี้
ไม่ใช่รูปแบบทางพันธุกรรมเลย
ดังนั้น ถ้าเซลเหล่านี้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสุขภาวะที่ดี
พวกมันก็จะมีสุขภาพที่ดีด้วย
แต่ถ้าพวกมันอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี พวกมันก็จะป่วย”
จากนั้น ดร.Lipton ก็กล่าวต่อไป
โดยย้อนมาถึงคำถามของเราเกี่ยวกับมะเร็งว่า
“นี่คือจุดเชื่อมต่อ: ในร่างกายของเรามีเซลอยู่ราวๆ 50 ล้านล้านเซล
ซึ่งร่างกายของมนุษย์ ก็เปรียบเสมือนกับจานอาหารเลี้ยงเชื้อ
ที่มีผิวหนังห่อหุ้มอยู่ และการย้ายร่างกายของคุณ
จากสิ่งแวดล้อมหนึ่งไปยังอีกสิ่งแวดล้อมหนึ่ง
ก็จะทำให้องค์ประกอบของ “อาหารเลี้ยงเชื้อ”
ซึ่งในที่นี้ก็คือ “เลือด” ของคุณ เปลี่ยนแปลงไปด้วย
และองค์ประกอบทางเคมี
ของอาหารเลี้ยงเชื้อที่อยู่ในร่างกายของคุณ
ก็คือตัวกำหนดธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม
ที่อยู่ภายในตัวคุณเอง
และองค์ประกอบทางเคมีของเลือดนี้
ก็จะได้รับอิทธิพลมาจากสารเคมี
ที่หลั่งมาจากสมองของคุณอย่างมาก
และสารเคมีจากสมองของคุณ
ก็จะไปปรับเปลี่ยนองค์ประกอบทางเคมีในเลือดของคุณ
โดยขึ้นอยู่กับการรับรู้/ความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของคุณเอง
(your perceptions of life) เป็นหลัก”
“ดังนั้น นี่จึงหมายความว่า การรับรู้/ความเข้าใจ
(perception) เกี่ยวกับสิ่งต่างๆของคุณ ณ.ช่วงเวลานั้นๆ
จะไปส่งผลกระทบต่อการหลั่งสารเคมีของสมองของคุณเอง
ซึ่งมันก็จะย้อนกลับไปส่งผลกระทบ
ต่อสิ่งแวดล้อมที่เซลทั้งหลายอาศัยอยู่อีกต่อหนึ่ง
และก็จะเป็นตัวควบคุมโชคชะตาของเซลเหล่านั้นด้วย
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ความคิดของคุณ และ การรับรู้/ความเข้าใจของคุณ
มีผลกระทบโดยตรง
และ มีผลกระทบอย่างมากมายมหาศาล
ต่อเซลในร่างกายของคุณนั่นเอง”
ซึ่งจากมุมมองที่เป็นวิทยาศาสตร์มากๆนี้
สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เหล่าผู้บำบัดทางจิตวิญญาณ
และเหล่าผู้ทรงญาณหยั่งรู้ทั้งหลาย
ได้พูดเอาไว้ตรงกันมานานหลายปีแล้วว่า:
ความคิด/จิตใจของคุณสามารถทำให้คุณเจ็บป่วยก็ได้
และสามารถทำให้คุณหายป่วยก็ได้ด้วย
ไม่ว่าจะด้วยโรคอะไรก็ตามแต่ รวมถึงโรคมะเร็งด้วย
ซึ่งนอกจาก “ความคิด/จิตใจ” (mind) แล้ว
ปัจจัยอื่นๆที่สำคัญอีก 2 ปัจจัย
ที่มีผลกระทบต่อโชคชะตาของเซล
ตามที่ ดร.Lipton บอกก็คือ
“สารพิษ” (toxin) และ “การบาดเจ็บ” (trauma)
และทั้ง 3 ปัจจัยนี้ ก็ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง
กับการก่อตัวของโรคมะเร็งด้วยกันทั้งสิ้น
และเพราะองค์ความรู้อันนี้ จึงทำให้มีข่าวดีตามมา
เพราะ ดร.Lipton บอกว่า กิจกรรมของยีน
สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน
ถ้าสิ่งที่จิตใจของคุณ รับรู้/เข้าใจ มา
จะไปสะท้อนอยู่ในสารเคมีในร่างกายของคุณเองแล้วหละก็
และถ้าระบบประสาทของคุณ
อ่านและแปลผลสิ่งแวดล้อมของคุณ
แล้วเอาไปควบคุมองค์ประกอบทางเคมีในเลือดของคุณแล้วหละก็
คุณก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
ของเซลในร่างกายของตัวเองได้อย่างแท้จริง
โดยการเปลี่ยนแปลงความคิดของคุณเอง
อันที่จริงแล้ว งานวิจัยของ ดร.Lipton ได้อธิบายว่า
โดยการเปลี่ยนการรับรู้/ความเข้าใจ (perception) ของคุณ
ความคิด/จิตใจ (mind) ของคุณ
ก็จะสามารถไปเปลี่ยนแปลงกิจกรรมต่างๆของยีนได้
และสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆขึ้นมาจากแต่ละยีนได้
มากกว่า 3 หมื่นผลิตภัณฑ์เลยทีเดียว
เขาให้รายละเอียดเพิ่มเติมอีกว่า โปรแกรมของยีน
บรรจุอยู่ในนิวเคลียสของแต่ละเซล
และคุณก็สามารถที่จะเขียนโปรแกรม
ด้านพันธุกรรมเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ได้ด้วย
โดยการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีในเลือดของคุณเอง
หรือพูดง่ายๆก็คือ เราจะต้องเปลี่ยนวิธีการคิดของเรา
ถ้าเราอยากจะหายจากโรคมะเร็ง
ดร.Lipton กล่าวว่า “หน้าที่ของจิตใจก็คือ
การสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง “ความเชื่อของเรา”
กับ “โลกแห่งความเป็นจริงที่เรากำลังมีประสบการณ์อยู่
ซึ่งนั่นหมายความว่า จิตใจของคุณ
จะปรับเปลี่ยนชีววิทยาและพฤติกรรมของร่างกายของคุณ
ให้สอดคล้องกับความเชื่อทั้งหลายของคุณ
ดังนั้น ถ้าคุณได้ฟังมาว่าคุณจะต้องตายภายใน 6 เดือน
และจิตใจของคุณก็เชื่อเช่นนั้นจริงๆหละก็
ก็เป็นไปได้มากว่าคุณจะตายภายใน 6 เดือนจริงๆ
ซึ่งปรากฎการณ์นี้เรียกว่า necebo effect
หรือผลกระทบจากความคิดด้านลบ
ซึ่งตรงข้ามกับ placebo effect
ซึ่งเป็นการหายจากโรคภัยไข้เจ็บ
เพราะผลกระทบจากความคิดด้านบวก”
ที่มา : http://board.palungjit.org
____________________
เครดิต : Chayutt
________________________________
อ้างอิง : http://www.embracehealingcancer.com/excerpt-Lipton.pdf
________________________________
เป็นเรื่องฮืฮาสำหรับประเทศจีนอีกครั้ง เมื่อนักท่องเที่ยวรายหนึ่งได้โพสต์ภาพ รูปปั้นตุ๊กตาโดเรมอน ตัวการ์ตูนชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งซื้อจากร้านค้าวัตถุโบราณ โดยเจ้าของร้านกล่าวยืนยันว่ารูปปั้นโดเรมอนชิ้นนี้เป็นงานแกะสลักเก่าแก่ ของแท้ สมัยราชวงศ์ฉิน
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ต่างให้คนสนใจ รูปปั้นตุ๊กตาโดเรมอนชิ้นนี้ เพราะเนื้อปูนดูเก่าแก่สมคำกล่าวอ้าง แต่ก็ยังเกิดความคลางแคลงใจจนต้องถ่ายภาพมาโพสต์ลงเว็บบอร์ดชื่อดังอย่าง เหว่ยโป เพื่อให้คนอื่นเข้ามาแสดงความเห็น วิเคราะห์หาความเป็นไปได้ที่ว่า รูปปั้นตุ๊กตาโดเรมอน เป็นของโบราณในยุคราชวงศ์ฉินจริงๆ
ที่มา : MThai News
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
Curse of Tippecanoe หรือที่รู้จักกันในชื่อ คำสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือจะอีกมากมายหลายชื่อ เช่น
คำสาปของเทคุมเซ่ (Tecumseh's curse) เนื่อง จากเป็นคำสาปที่หัวหน้าเผ่าเผ่าชอว์นี ที่ชื่อว่า เทคุมเซ่ (Tecumseh) ได้ทำการสาปแช่ง คนขาวที่มาบุกรุก แย่งชิง ฆ่าฟัน ชาวอินเดียแดง ซึ่งเป็นเจ้าของผืนแผ่นดิน ของพวกเขาไปด้วยความเหี้ยมโหด
คำสาปปีที่ลงท้ายด้วยศูนย์ ( zero-year curse ) เนื่องจาก คำสาปนี้จะส่งผลต่อ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับเลือกตั้งมาในปีที่ลงท้ายด้วยศูนย์ จะต้องมีอันเป็นไปในระหว่างดำรงณ์ตำแหน่ง ที่จะกล่าวถึงต่อไป
คำสาปยี่สิบปี ( The twenty-year curse ) เนื่องจาก ทุกๆยี่สิบปี ที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจะต้องมีอันเป็นไป
รูปหัวหน้าเผ่าชอว์นี ( Shawnee ) ที่ชื่อว่า เทคุมเซ่ ( Tecumseh ) ที่ได้ทำการสาปแช่งให้ประธานาธิบดีสหรัฐจงมีอันเป็นไป
อนุสรณ์สถานบริเวณในพื้นสนามรบที่ เทคุมเซ่ ถูกยิงตาย ในการรบในสงครามที่เรียกว่า Thames War ในแคนนาดาเหนือ มีข่าวลือว่า เขาถูกยิงตายโดยปืนไรเฟิล ของ พันเอกริชาร์ด เมนเตอร์ จอห์นสัน ( Col. Richard Mentor Johnson ) และผลงานจากการนำทัพในการรบครั้งนี้ผลักดันให้ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ก้าวสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 9 ส่วนศพของ เทคุมเซ่ ได้มีการขุดขึ้นมา เพื่อนำไปฝังใหม่โดยสถานที่อันเป็นความลับสูงสุดของชนเผ่าชอว์นี
ซึ่งคำสาปนี้ได้ส่งผลให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอันเป็นไปตั้งแต่ปี 1840 เรื่อยมาจนถึงปี 1960 เป็นเวลากว่า 120 ปี นำมาซึ่งความหวาดกลัวให้แก่ผู้นำประเทศมหาอำนาจของโลก อย่างสหรัฐอเมริกา แต่คำสาปนี้ก็เริ่มเสื่อมคลายอำนาจลง ในสมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ( Ronald Reagan ) ที่ได้รับการเลือกตั้งมาในปี 1980 ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ถูกลอบยิงในเดือนมีนาคม 1981 ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาก็รอดชีวิตมาได้ คาดว่านั้นเป็นเหตุให้คำสาปเสื่อมลง
ผู้เริ่มเปิดเผย ความลับแห่งคำสาปทมิฬ
First widely คำสาปนี้ถูกเปิดประเด็น และได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือ ริปลีย์ เชื่อหรือไม่ ( Ripley's Believe It or Not ) ในปี 1931 โดยมีจุดเริ่มต้นคำสาปมาจาก ประธานาธิปดี วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ที่ได้รับเลือกตั้งมาในปี 1840 และเสียชีวิตลงในปี 1841 และคำสาปนี้ก็แสดงให้เห็นถึง ว่ามันเป็นจริงเรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง
จุดเริ่มต้น แห่งความแค้น สุดสยอง และคำสาป
Began of Curse จุดกำเนิดของคำสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นี้เกิดขึ้นเมื่อสงครามปีค.ศ.1811 ( 1811 Bettle ) ระหว่างกองกำลังของรัฐบาล กับชาวอินเดียแดง เนื่องจาก นโยบายของ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ที่ขณะนั้นดำรงณ์ตำแหน่งผู้ว่าการรัฐอินเดียน่า เข้ามายึดครองพื้นที่ดินทำกินของชนเผ่าอินเดียแดงโดยมิชอบธรรม โดยการกลวิธีเพียงนำเหล้าวิสกี้ ( Whiskey ) ไปมอมเมาเท่านั้นเพื่อให้บรรดาหัวหน้าเผ่านำที่ดินมาแลก และเข้ายึดครองดินแดนศักดิ์ของบรรพชนของชนเผ่าชอว์นี ซึ่งนั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่หัวหน้าเผ่าชอว์นี ( Shawnee ) ที่ชื่อว่า เทคุมเซ่ ( Tecumseh ) ซึ่งเป็นเผ่าอินเดียแดงที่ยิ่งใหญ่ และเข้มแข็งที่สุด
ภาพ การเจรจาระหว่าง หัวหน้าเทคุมเซ่ กับ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน แต่ผลการเจรจาล้มเหลว
แต่ละการเจรจาระหว่าง เทคุมเซ่ กับ วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ล้มเหลวเมื่อ แฮรร์สัน ปฏิเสธคืนดินแดนให้ ทำให้เกิดการสู้รบกันในปี 1811 แต่ไหนเลย หอก ธนู จะสู้ ปืนได้ ปีเดียวกันนั้นเอง กองทัพแฮรร์สันได้เข้าโจมตีที่มั่นสุดท้ายของชนเผ่าชอว์นี บริเวณแม่น้ำ Tippecanoe จนแตกพ่ายแพ้ย่อยยับลง เทคุมเซ่ ( Tecumseh ) ผู้ที่ภายในจิตใจมีแต่ ความโกรษแค้นอาฆาต ได้ทำพิธีสาปแช่ง วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน และประธานาธิปดีสหรัฐฯ ทุกผู้ทุกคนที่มีที่มาเหมือนดังเช่น วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน จงมีอันเป็นไปทุกผู้ทุกคน ตราบนานเท่านาน
ตาราง เหล่าประธานาธิปดีที่ คาดว่าพบกับ คำสาป สุดสยอง ที่ต่างมีอันเป็นไปต่างๆนานา
รูป | ได้รับการเลือกตั้งในปี | ชื่อประธานาธิบดี | เหตุของการเสียชีวิต | วันที่เสียชีวิต |
1840 | วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน (William Henry Harrison) | โรคปอดบวม | 4 เมษายน 1841 | |
1860 | อัลบราฮัม ลินคอล์น ( Abraham Lincoln) | ถูกลอบสังหาร | 15 เมษายน 1865 | |
1880 | เจมส์ เอ. การ์ฟิลด์ ( James A. Garfield ) | ถูกลอบสังหาร | 19 กันยายน 1881 | |
1900 | วิลเลียม แม็กคินลีย์ ( William McKinley ) | ถูกลอบสังหาร | 14 กันยายน 1901 | |
1920 | วอร์เรน จี. ฮาร์ดิงก์ ( Warren G. Harding ) | หัวใจล้มเหลว หรือ ถูกลอบวางยาพิษ | 2 สิงหาคม 1923 | |
1940 | แฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ ( Franklin D. Roosevelt ) | เส้นเลือดในสมองแตก | 12 เมษายน 1945 | |
1960 | จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ( John F. Kennedy ) | ถูกลอบสังหาร | 22 พฤศจิกายน 1963 | |
1980 | โรนัลด์ เรแกน ( Ronald Reagan) | ถูกลอบสังหาร ได้รับบาดเจ็บ สาหัญแต่รอดชีวิต | 5 มิถุนายน 2004 | |
2000 | จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ( George W. Bush ) | เคยถูกลอบสังหาร | ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ |
ที่มา : http://wowboom.blogspot.jp/2009/08/curse-of-tippecanoe.html
____________________