จักรวาล อันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มีอะไรอีกมากมายที่รอ ให้มนุษย์ได้ค้นพบ ล่าสุด แม้ไม่ไช่เรื่องสิ่งแปลกใหม่ แต่น่าทึ่ง ในความใหญ่ของวงแหวน ต่างจากที่เราเคยได้พบเห็น รูปของดาวเสาร์
ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ มีวงแหวนใหญ่กว่าของดาวเสาร์ 200 เท่า นับรวมได้ 30 วง อยู่ห่างจากโลก 430 ปีแสง
อีริก มามาเจก อาจารย์สอนฟิสิกส์และดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ บอกว่า ดาวเคราะห์ ชื่อ J1407b มีขนาดใหญ่กว่า ดาวพฤหัสบดีหรือดาวเสาร์มาก
ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ มีวงแหวนใหญ่กว่าของดาวเสาร์ 200 เท่า นับรวมได้ 30 วง อยู่ห่างจากโลก 430 ปีแสง
อีริก มามาเจก อาจารย์สอนฟิสิกส์และดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ บอกว่า ดาวเคราะห์ ชื่อ J1407b มีขนาดใหญ่กว่า ดาวพฤหัสบดีหรือดาวเสาร์มาก
วงแหวนของมันใหญ่กว่าของดาวเสาร์ประมาณ 200 เท่า “มันคือ โคตรดาวเสาร์”
ทีมวิจัยรายงานว่า ดาวเคราะห์ J1407b มีวงแหวนกว่า 30 วง แต่ละวงมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างหลายสิบล้านกิโลเมตร
นักดาราศาสตร์ค้นพบเจ1407บีเมื่อปี 2555 แต่เพิ่งศึกษาในรายละเอียด และตีพิมพ์ในวารสาร Astrophysical Journal
ดาวเคราะห์ดวงนี้โคจรรอบดาวฤกษ์อายุน้อย ชื่อ J1407 ซึ่งอยู่ห่างจากระบบสุริยะของเราประมาณ 430 ปีแสง นักดาราศาสตร์คำนวณว่า ดาวเคราะห์ดังกล่าวมีมวลมากกว่าดาวพฤหัสบดีราว 40 เท่า วงแหวนของมันมีมวลเท่ากับโลกของเรา
นักวิจัยไม่สามารถมองเห็นวงแหวนได้โดยตรงเนื่องจากความห่างไกล แต่อาศัยเทคนิคตรวจจับปริมาณแสงที่ผันแปรเมื่อดาวเคราะห์โคจรผ่านหน้าดาวฤกษ์เมื่อเรามองมันจากโลก
ทีมวิจัยชักชวนนักดาราศาสตร์ให้ช่วยกันเก็บข้อมูลของดาวเคราะห์ดวงนี้ ซึ่งเชื่อว่ามีดาวจันทร์บริวารอยู่ด้วย.
ที่มา : hxxp://news.voicetv.co.th/world/159885.html
____________________
ทีมวิจัยรายงานว่า ดาวเคราะห์ J1407b มีวงแหวนกว่า 30 วง แต่ละวงมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างหลายสิบล้านกิโลเมตร
นักดาราศาสตร์ค้นพบเจ1407บีเมื่อปี 2555 แต่เพิ่งศึกษาในรายละเอียด และตีพิมพ์ในวารสาร Astrophysical Journal
ดาวเคราะห์ดวงนี้โคจรรอบดาวฤกษ์อายุน้อย ชื่อ J1407 ซึ่งอยู่ห่างจากระบบสุริยะของเราประมาณ 430 ปีแสง นักดาราศาสตร์คำนวณว่า ดาวเคราะห์ดังกล่าวมีมวลมากกว่าดาวพฤหัสบดีราว 40 เท่า วงแหวนของมันมีมวลเท่ากับโลกของเรา
นักวิจัยไม่สามารถมองเห็นวงแหวนได้โดยตรงเนื่องจากความห่างไกล แต่อาศัยเทคนิคตรวจจับปริมาณแสงที่ผันแปรเมื่อดาวเคราะห์โคจรผ่านหน้าดาวฤกษ์เมื่อเรามองมันจากโลก
ทีมวิจัยชักชวนนักดาราศาสตร์ให้ช่วยกันเก็บข้อมูลของดาวเคราะห์ดวงนี้ ซึ่งเชื่อว่ามีดาวจันทร์บริวารอยู่ด้วย.
ที่มา : hxxp://news.voicetv.co.th/world/159885.html
____________________
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ว่า ชาวเมืองชิลีต่างตื่นผวากับสิ่งที่เชื่อว่าเป็น'ตัวดูดเลือดแพะ' หรือ ชูปาคาบรา (Chupacabra)
ขณะที่รายงานระบุว่า ตัว 'chupacabra' ที่มีผิวหนังสีเทาหลังโค้ง มีหางยาว 4 ฟุต และเดินเหมือนจิงโจ้ ขณะที่ชาวบ้านท้องถิ่นอื่น ๆ บอกว่า ตอนนี้ชีวิตพวกเราอาจกำลังถูกคุกคาม เพราะเรามีอาชีพเลี้ยงแพะเป็นหลัก แต่กลับมีตัวดูดเลือดแพะปรากฎขึ้น และแม้ว่าตามความเชื่อจะบอกว่า มันกินแต่เฉพาะสัตว์ แต่ใครจะเชื่อมั่นได้ว่า มันจะไม่ทำร้ายพวกลูก ๆ ของเรา
หลังจากมี การพบซากกระดูกของตัวประหลาดนี้ จากกลุ่มเกษตรกรที่เห็นตัวประหลาดนี้
รายงานระบุว่า ซากตัวประหลาดดังกล่าวถูกพบกลุ่มเกษตรกรกลุ่มหนึ่ง ในเมืองมอนเต้ ปาเตรีย ในประเทศชิลี และสร้าวความหวาดผวาให้แก่พวกเขา รวมทั้งเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน
รายงานระบุว่า ซากตัวประหลาดดังกล่าวถูกพบกลุ่มเกษตรกรกลุ่มหนึ่ง ในเมืองมอนเต้ ปาเตรีย ในประเทศชิลี และสร้าวความหวาดผวาให้แก่พวกเขา รวมทั้งเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน
โดยนายฮาเวียร์ โปรเฮนส์ หนึ่งในเกษตรกรเลี้ยงแพะบอกว่า เขากำลังกินอาหารอยู่กับเพื่อน ๆ ก่อนที่เพื่อนรายหนึ่งจะวิ่งหน้าตั้งมาหาเขา ซึ่งเขาเชื่อว่า ตัวประหลาดนี้จะเป็นสัตว์ดูดเลือดในตำนาน
โดยตอนแรกพวกเขาคิดว่า ตัวประหลาดนี้เป็นค้างคาว แต่เมื่อดูใกล้ ๆ กลับพบว่า หัวของมันใหญ่กว่าค้างคาวมาก และดูเหมือนเป็นสัตว์ลึกลับ หรืออาจเป็นตัวดูดเลือดแพะ ชูปาคาบรา ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนาน
ไลฟ์ สตรีม ของสถานีอวกาศ ISS จับภาพ UFO ได้อีกครั้ง ทำให้เชื่อว่า ISS อาจกำลังถูกจับตาจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก
5 พ.ย.57 ระบบไลฟ์ สตรีมมิ่ง หรือ การถ่ายทอดสดผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจากสถานีอวกาศนานาชาติ หรือ ISS สามารถจับภาพวัตถุบินลึกลับ หรือ UFO ในระยะใกล้ได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว โดยวิดีโอที่ถูกอัพโหลดลงเว็บไซต์ยูทูบ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน โดยเว็บไซต์ UFO ไซทิ่ง เดลี่ ที่ติดตามการเคลื่อนไหวของ UFO ได้แสดงให้เห็นว่า UFO ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะหายไปตอนที่กล้องถ่ายทอดสดของ ISS หันไปทางโลก
ภาพในวิดีโอ เผยให้เห็น UFO ปรากฎอยู่เหนือเงาของโลกนาน 70 วินาที และไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน ก่อนที่ไลฟ์ สตรีม จะตัดภาพไปที่บลูสกรีนและข้อความที่ระบุว่า ไลฟ์ สตรีม ถูกระงับชั่วคราว เนื่องจากมีการเปลี่ยนกล้องหรือสัญญาณขัดข้อง
การพบ UFO ครั้งล่าสุดนี้ มีขึ้นหลังมีการพบ UFO หลายครั้งใกล้กับ ISS ในเดือนตุลาคม จนนำไปสู่คำถามที่ว่า ISS กำลังถูกมนุษย์ต่างดาว หรือ เอเลียน จับตามองอยู่หรือไม่
สก็อตต์ แวริ่ง จากเว็บไซท์ UFO ไซทิ่ง เดลี่ ได้โพสต์ข้อความประกอบการโพสต์วิดีโอ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน อธิบายว่า เหตุใดเขาจึงเชื่อว่า สิ่งที่เห็นเป็น UFO ไม่ใช่ดวงจันทร์ และมันกำลังจับตา ISS อยู่
UFO ที่พบเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน มีรูปทรงกลมและมีหลายสี ตอนที่ปรากฎเป็นแสงวูบวาบ และการที่มันปรากฎเพียง 70 วินาที ทำให้แวริ่งมั่นใจว่ามันไม่ใช่ดวงจันทร์ ซึ่งจะต้องใช้เวลานานกว่านี้ กว่าที่แสงวูบวาบจะหายไป ขณะที่ไลฟ์ สตรีม เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ได้เผยให้เห็นดวงจันทร์เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เหนือขอบโลก และมีลักษณะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ UFO เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน
นอกจากนี้ ยังพบว่า มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับไลฟ สตรีม 2 ครั้ง คือวันที่ 6 และ 21 ตุลาคม ที่พบว่า มี UFP รูปร่างเหมือนกระสวย อยู่ไกล้กับ ISS ต่อมาในวันที่ 22 และ 25 ตุลาคม ก็พบ UFO รูปทรงกลม ทำให้ยิ่งเชื่อว่า UFO ทั้งสองชนิดนี้ กำลังจับตาการเคลื่อนไหวของ ISS และถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง ก็จะทำให้เกิดคำถามตามว่า UFO เหล่านี้มาจากไหน เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะเป็นยานของรัฐบาลต่างชาติ ที่ไม่ได้เข้าร่วมภารกิจของ ISS เช่น จีน ที่กำลังจับตาการเคลื่อนไหวของ ISS แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จีนหรือชาติอื่นๆ จะเข้าถึงเทคโนโลยีที่สามารถเข้าไปสังเกตการเคลื่อนไหวของ ISS ในระยะที่สามารถถูกจับได้ด้วยไลฟ์ สตรีม ขณะที่ทางเลือกอื่นก็เหลือเพียงว่า อาจเป็นสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่มีความศิวิไลซ์กว่า อาจกำลังจับตา ISS และยอมให้ยานของพวกเขาถูกจับภาพด้วย
ที่มา : http://www.komchadluek.net/detail/20141105/195372.html
____________________
อ้างอิง : http://www.dailymail.co.uk/
________________________________
5 พ.ย.57 ระบบไลฟ์ สตรีมมิ่ง หรือ การถ่ายทอดสดผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจากสถานีอวกาศนานาชาติ หรือ ISS สามารถจับภาพวัตถุบินลึกลับ หรือ UFO ในระยะใกล้ได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว โดยวิดีโอที่ถูกอัพโหลดลงเว็บไซต์ยูทูบ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน โดยเว็บไซต์ UFO ไซทิ่ง เดลี่ ที่ติดตามการเคลื่อนไหวของ UFO ได้แสดงให้เห็นว่า UFO ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะหายไปตอนที่กล้องถ่ายทอดสดของ ISS หันไปทางโลก
ภาพในวิดีโอ เผยให้เห็น UFO ปรากฎอยู่เหนือเงาของโลกนาน 70 วินาที และไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน ก่อนที่ไลฟ์ สตรีม จะตัดภาพไปที่บลูสกรีนและข้อความที่ระบุว่า ไลฟ์ สตรีม ถูกระงับชั่วคราว เนื่องจากมีการเปลี่ยนกล้องหรือสัญญาณขัดข้อง
การพบ UFO ครั้งล่าสุดนี้ มีขึ้นหลังมีการพบ UFO หลายครั้งใกล้กับ ISS ในเดือนตุลาคม จนนำไปสู่คำถามที่ว่า ISS กำลังถูกมนุษย์ต่างดาว หรือ เอเลียน จับตามองอยู่หรือไม่
สก็อตต์ แวริ่ง จากเว็บไซท์ UFO ไซทิ่ง เดลี่ ได้โพสต์ข้อความประกอบการโพสต์วิดีโอ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน อธิบายว่า เหตุใดเขาจึงเชื่อว่า สิ่งที่เห็นเป็น UFO ไม่ใช่ดวงจันทร์ และมันกำลังจับตา ISS อยู่
UFO ที่พบเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน มีรูปทรงกลมและมีหลายสี ตอนที่ปรากฎเป็นแสงวูบวาบ และการที่มันปรากฎเพียง 70 วินาที ทำให้แวริ่งมั่นใจว่ามันไม่ใช่ดวงจันทร์ ซึ่งจะต้องใช้เวลานานกว่านี้ กว่าที่แสงวูบวาบจะหายไป ขณะที่ไลฟ์ สตรีม เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ได้เผยให้เห็นดวงจันทร์เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เหนือขอบโลก และมีลักษณะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ UFO เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน
นอกจากนี้ ยังพบว่า มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับไลฟ สตรีม 2 ครั้ง คือวันที่ 6 และ 21 ตุลาคม ที่พบว่า มี UFP รูปร่างเหมือนกระสวย อยู่ไกล้กับ ISS ต่อมาในวันที่ 22 และ 25 ตุลาคม ก็พบ UFO รูปทรงกลม ทำให้ยิ่งเชื่อว่า UFO ทั้งสองชนิดนี้ กำลังจับตาการเคลื่อนไหวของ ISS และถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง ก็จะทำให้เกิดคำถามตามว่า UFO เหล่านี้มาจากไหน เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะเป็นยานของรัฐบาลต่างชาติ ที่ไม่ได้เข้าร่วมภารกิจของ ISS เช่น จีน ที่กำลังจับตาการเคลื่อนไหวของ ISS แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จีนหรือชาติอื่นๆ จะเข้าถึงเทคโนโลยีที่สามารถเข้าไปสังเกตการเคลื่อนไหวของ ISS ในระยะที่สามารถถูกจับได้ด้วยไลฟ์ สตรีม ขณะที่ทางเลือกอื่นก็เหลือเพียงว่า อาจเป็นสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่มีความศิวิไลซ์กว่า อาจกำลังจับตา ISS และยอมให้ยานของพวกเขาถูกจับภาพด้วย
ที่มา : http://www.komchadluek.net/detail/20141105/195372.html
____________________
อ้างอิง : http://www.dailymail.co.uk/
________________________________
ชาวประมงออสเตรเลีย สุดฉงน พบ’ฟอลซิลมีชีวิต’ ซึ่งเป็นสัตว์น้ำโบราณหายาก ในน่านน้ำรัฐวิกตอเรีย
วันนี้ (21 ม.ค.)สำนักข่าวต่างประเทศ เผยแพร่ภาพ ปลาฉลามโบราณ สัตว์น้ำชนิดหายาก และมีรูปร่างอันแปลกประหลาด และถูกขนานนามว่า ‘ฟอสซิลมีชีวิต’ มีความยาวราว 2 เมตร และที่น่าสยดสยองคือ ฉลามโบราณตัวนี้ มีฟันมากถึง 300 ซี่ ถูกพบโดยชาวประมง ในเมืองกิ๊ปส์แลนด์ ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐวิกตอเรียทางใต้ของรัฐนิวเซาธ์เวลส์ เป็นรัฐที่เล็กที่สุดเป็นอันดับสองของออสเตรเลีย
ที่มา : http://news.mthai.com/world-news/413919.html
____________________
วันนี้ (21 ม.ค.)สำนักข่าวต่างประเทศ เผยแพร่ภาพ ปลาฉลามโบราณ สัตว์น้ำชนิดหายาก และมีรูปร่างอันแปลกประหลาด และถูกขนานนามว่า ‘ฟอสซิลมีชีวิต’ มีความยาวราว 2 เมตร และที่น่าสยดสยองคือ ฉลามโบราณตัวนี้ มีฟันมากถึง 300 ซี่ ถูกพบโดยชาวประมง ในเมืองกิ๊ปส์แลนด์ ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐวิกตอเรียทางใต้ของรัฐนิวเซาธ์เวลส์ เป็นรัฐที่เล็กที่สุดเป็นอันดับสองของออสเตรเลีย
ที่มา : http://news.mthai.com/world-news/413919.html
____________________
บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมณี สร้างปรากฏการณ์สะเทือนวงการรถยนต์และพลังงาน ด้วยรถยนต์ที่มาพร้อมกับระบบผลิตพลังงานจากน้ำเกลือ
“Quant e-Sportlimousine” รถลีมูซีนสัญชาติเยอรมณี ถูกออกแบบให้ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าแบบ flow-cell ตามชื่อของบริษัทผู้ผลิต “NanoFlowcell”
โดยการทำงานของระบบ “flow-cell” หรือ “flow batteries” จะใช้เซลล์ไฟฟ้าเคมี ซึ่งอาศัยความสามารถของอิเลคโทรไลท์ หรือสารที่มีสถานะเป็นของเหลวมาเป็นตัวนำไฟฟ้าหรือนำน้ำเกลือมาใช้
โดยรถพลังงานน้ำเกลือนี้มาพร้อมขุมกำลัง 920 แรงม้า อัตราเร่ง 0-62 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 2.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 217.5 ไมล์ต่อชั่วโมง ทั้งนี้ทางโฆษกของ“NanoFlowcell” กล่าวว่า ศักยภาพของเทคโนโลยีนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ ในแง่ของการใช้พลังงานในประเทศ เช่น อุตสาหกรรมการเดินเรือ รถไฟ หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีการบิน อีกทั้ง “NanoFlowcell” ยังให้ประโยชน์ทั้งในด้านต้นทุน การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมรวมถึงการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืนอีกด้วย
ที่มา :http://www.energysavingmedia.com/news/page.php?a=10&n=144&cno=6179
____________________
อดีตพ่อค้าไม้ เผยมีช้างน้ำชาวกะเหรี่ยงจับได้ตายแล้ว มอบให้ตั้งแต่ปี 2544 เปิดภาพเอ็กซ์เรย์ รพ.พบพระ พบมีกระดูก วอนนักวิชาการช่วยพิสูจน์
ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก ร.ต.พงษ์ศักดิ์ เทพเทียน ผู้บังคับหมวดฐานปฏิบัติการบ้านวาเล่ย์ ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ ตาก ว่า ในการปฏิบัติงานลงพื้นที่ได้พบกับชาวบ้านใน ต.วาเล่ย ชื่อนายชูยศ (ไม่ทราบนามสกุล) อดีตพ่อค้าไม้เคยไปรับซื้อไม้ในฝั่งพม่า ปัจจุบันประกอบาชีพทำสวนมะละกอและไร่ข้าวโพดในเขตต.วาเล่ย์
นายชูยศ ได้แจ้งกับ ร.ต.พงษ์ศักดิ์ว่า มีช้างน้ำไว้ในครอบครอง 1 ตัว ได้มาจากชาวกะเหรี่ยงในฝั่งพม่าที่ไปทอดแหในแม่น้ำกลางป่าลึก แล้วสามารถจับช้างน้ำไว้ได้ จากนั้นช้างน้ำได้ตายลง ชาวกะเหรี่ยงได้นำช้างน้ำตัวดังกล่าวมาให้นายชูยศเมื่อพ.ศ.2544
ร.ต.พงษ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า เมื่อตนมาปฏิบัติงานในพื้นที่ได้พบกับนายชูยศ นายชูยศได้นำช้างน้ำมาให้ตนดู โดยใส่กรอบกระจกไว้ ช้างน้ำ มีตัวยาวประมาณ 7 เซนติเมตร ที่หัวมีงาลักษณะเหมือนงาช้าง มีงวง มีหางยาว ที่เท้ามีลักษณะเหมือนพังผืด
จากความสงสัยมานานที่มีกระแสข่าวพบช้างน้ำจากหลายที่ แต่พิสูจน์แล้วก็เป็นของปลอม นายชูยศจึงได้นำช้างน้ำที่มีอยู่ไปเอ็กซเรย์ ร.พ.พะวอ และอีกหลายแห่ง พบว่ามีโครงกระดูกอยู่ภายใน จึงเก็บไว้ในบ้านกระทั่งปัจจุบัน กระทั่งพบตน จึงให้ไปดู นายชูยศบอกว่า อยากพิสูจน์ว่าเป็นของจริงหรือไม่ อยากให้นักวิชาการหรือผู้ที่สนใจไปพิสูจน์
ทั้งนี้ ร.ต.พงษ์ศักดิ์ ได้ส่งภาพถ่ายช้างน้ำ พร้อมภาพถ่ายฟิล์มเอ็กซเรย์ช้างน้ำจำนวน 6 รูป มาทางอีเมลให้ผู้สื่อข่าวได้พิสูจน์ด้วย เป็นภาพถ่ายช้างน้ำลักษณะนอนตัวเอียง มีงาและองค์ประกอบแขนขาชัดเจน ส่วนภาพในฟิล์มเอ็กซเรย์นั้น ก็เห็นโครงสร้างลักษณะกระดูกอยู่ภายใน
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/
____________________
นักดาราศาสตร์พบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของเราเพิ่มอีก 8 ดวง นาซาเผยสองดวงส่อลักษณะคล้ายโลก คาดอาจมีน้ำ หรือกระทั่งสิ่งมีชีวิต
เมื่อวันอังคาร เฟอร์กัล มัลลัลลี แห่งสถาบันเคปเลอร์ นำเสนอรายงานต่อที่ประชุมประจำปีของสมาคมดาราศาสตร์อเมริกัน ในเมืองซีแอตเติล มลรัฐวอชิงตัน ว่า ดาวเคราะห์สองในแปดดวงที่เพิ่งค้นพบ โคจรห่างจากดาวฤกษ์ศูนย์กลางในระยะห่างที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
@ ภาพวาดแสดงดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ
สองดวงนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับโลกมากกว่าดาวเคราะห์นอกระบบดวงใดๆ คาดว่ามีพื้นผิวเป็นหินแข็ง ลอยดวงใน “เขตโกลดิล็อก” ทำให้ทั้งสองดวงมีอุณหภูมิไม่ร้อนจัดหรือเย็นจัด จึงเป็นไปได้ว่าจะมีน้ำ และอาจมีสิ่งมีชีวิต
“เราเข้าใกล้การค้นพบฝาแฝดของโลกเข้าไปทุกทีแล้ว ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะสองดวงนี้นับว่ามีลักษณะคล้ายโลกมากที่สุดเท่าที่เคยพบ”
ดาวเคราะห์นอกระบบแปดดวงล่าสุดนี้ ค้นพบด้วยกล้องโทรทรรศน์เคปเลอร์ นับแต่ปล่อยขึ้นสู่อวกาศเมื่อปี 2552 กล้องเคปเลอร์ได้ส่องมองดาวฤกษ์แล้วกว่า 150,000 ดวง เพื่อค้นหาดาวเคราะห์อื่นๆนอกระบบสุริยะของเรา
ล่าสุด กล้องเคปเลอร์พบวัตถุที่รอการตรวจพิสูจน์ว่าเป็นดาวเคราะห์รวม 4,175 ดวง หลังจากเพิ่งยืนยันการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่ 1,000 ไปเมื่อเร็วๆนี้
@ นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของเรา 8 ดวง ในจำนวนนี้ มี 2 ดวงคล้ายกับโลก
นาซาแถลงว่า ดาวเคราะห์ที่เพิ่งค้นพบเหล่านี้ มีสามดวงโคจรห่างจากดาวฤกษ์ในระยะที่เอื้อต่อการมีน้ำในสภาพของเหลวบนพื้นผิว โดยเฉพาะสองดวงนั้นมีเนื้อสารเป็นหินเหมือนกับโลก
ดวงแรกมีชื่อว่า เคปเลอร์-438บี อยู่ห่างจากโลก 470 ปีแสง โคจรรอบดาวฤกษ์ทุกๆ 35 วัน มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าโลก 12% มีโอกาส 70% ที่จะมีเนื้อเป็นหิน
ดวงที่สอง เรียกว่า เคปเลอร์-442บี อยู่ห่างออกไป 1,100 ปีแสง มีคาบการโคจร 112 วัน มีขนาดใหญ่กว่าโลกราวหนึ่งในสาม และมีโอกาสสามในห้าที่จะมีมวลเป็นหิน
เดวิด คิปปิง นักวิจัยร่วม ศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ฮาร์วาร์ด-สมิธโซเนียน บอกว่า ด้วยเหตุที่ดาวเคราะห์เหล่านี้อยู่ห่างไกล จึงยากที่จะยืนยันได้ชัดเจนแน่นอนว่า ดาวเคราะห์ทั้งสองมีสภาพเอื้อต่อสิ่งมีชีวิตหรือไม่ แต่พูดได้ว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นเช่นนั้น.
ที่มา :http://news.voicetv.co.th/world/151986.html
____________________
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทำการวิเคราะห์อุกกาบาตจากน้ำแข็งทวีปแอนตาร์ติกเมื่อ 30 ปีก่อน ก็ได้ทราบถึงประวัติของสภาพอากาศของดาวอังคารเมื่อหลายพันล้านปีก่อน นับเป็นยุคที่น่าจะมีน้ำอยู่ที่พื้นผิวและอาจจะมีสิ่งมีชีวิตก่อตัวขึ้นในยุคนั้นก็เป็นได้
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก และจากสถาบันสมิธโซเนียน องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐฯ หรือนาซา รายงานข้อมูลการวัดแร่ธาตุที่พบในอุกกาบาต ในวารสารวิชาการ Proceedings of the National Academy of Sciences สัปดาห์นี้
"แร่ธาตุภายในอุกกาบาตเหล่านี้ได้เก็บบันทึกทางเคมีของยุคโบราณของดาวเคราะห์นี้เอาไว้ ว่ามีอันตรกิริยาระหว่างน้ำกับบรรยากาศอย่างไร" โรบินา ชาฮีน นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก เผย
หินรูปร่างประหลาดนี้ตกสู่พื้นผิวโลกเมื่อ 13,000 ปีก่อน มีหน้าตาคล้ายกับมันฝรั่งและมีประวัติศาสตร์อยู่ภายใน นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อว่า ALH84001 นับเป็นอุกกาบาตจากดาวอังคารที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์เคยพบมา น่าจะมาจากการแข็งตัวของแม็กม่าจากภูเขาไฟบนดาวอังคารที่ระเบิดขึ้นเมื่อราวๆ 4 พันล้านปีก่อน หลังจากนั้น สิ่งที่ดูคล้ายของเหลวซึ่งน่าจะเป็นน้ำได้ซึมเข้าไปตามรูของหิน ก้อนคาร์บอเนต และแร่ธาตุอื่นๆ
คาร์บอเนตดังกล่าวมีลักษณะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของอะตอมของคาร์บอนและออกซิเจน คาร์บอนและออกซิเจนก็อยู่ในรูปของไอโซโทป คืออะตอมที่หนักกว่าหรือเบากว่าปกติ การมีอยู่ของไอโซโทปจำนวนมากทำให้เกิด"ร่องรอยทางเคมี"ที่ถ้าวิเคราะห์และวัดดีๆแล้วจะนำไปสู่การค้นพบร่องรอยทางเคมีนั้นได้
ชั้นบรรยากาศของดาวอังคารอุดมไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นแก๊สโอโซน ไอโซโทปของออกซิเจนในโอโซนนั้นมีความสมดุลอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่มีไอโซโทปหนักจำนวนมากที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางเคมีฟิสิกส์ที่มาร์ค ธีเมนส์ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันเดียวกันได้อธิบายไว้เมื่อ 25 ปีก่อน
ต่อมา ชาฮีนได้ศึกษากระบวนการแลกเปลี่ยนไอโซโทปของออกซิเจน และพบว่า "เมื่อโอโซนทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ มันจะส่งผ่านความแปลกของไอโซโทปไปสู่โมเลกุลตัวใหม่" ชาฮีนเผย
แต่ถ้าหากว่า คาร์บอนไดออกไซด์น่าจะทำปฏิกิริยากับน้ำจึงได้เกิดเป็นคาร์บอเนตขึ้นมา และทำให้ร่องรอยไอโซโทปยังคงถูกรักษาต่อไป
ระดับของ"ความแปลก"ของไอโซโทปในคาร์บอเนตนั้นสะท้อนว่าน้ำและโอโซนมีมากน้อยเพียงใดเมื่อคาร์บอเนตนั้นก่อตัวขึ้นมา ดังนั้น คาร์บอเนตนี้เองที่เป็นตัวบันทึกประวัติศาสตร์ 3.9 พันล้านปีก่อนที่ถูกขังเอาไว้ในแร่ธาตุที่เสถียร นั่นคือ ยิ่งมีน้ำมากเพียงใด ความแปลกประหลาดในโอโซนก็จะพบน้อยเท่านั้น
ทีมวิจัยได้ทำการวัดร่องรอยในโอโซนในคาร์บอเนตที่พบในอุกกาบาตชิ้นนี้และได้เบาะแสว่า ดาวอังคารน่าจะมีน้ำ แต่อาจจะไม่ได้มีเยอะเป็นมหาสมุทร ในดาวอังคารช่วงแรกๆอาจจะมีทะเลแห่งเล็กๆเกิดขึ้นอยู่เสียมากกว่า
"สิ่งใหม่ในการทดลองนี้คือวิธีการวัดไอโซโทปของคาร์บอนหลายๆตัวอย่างพร้อมๆกัน การผสมกันของไอโซโทปคาร์บอนบอกเราว่า แร่ธาตุหลายๆตัวในอุกกาบาตต่างก็มีจุดเริ่มต้นไม่เหมือนกัน มันบอกเราว่าโครงสร้างทางเคมีและไอโซโทปของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศของดาวอังคารเป็นอย่างไร"
ALH84001 มีช่องของคาร์บอเนตเล็กๆที่นักวิทยาศาสตร์บางคนมองว่าอาจจะบ่งบอกร่องรอยของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กได้แม้จะยังไม่ทราบโครงสร้างเริ่มต้นของโมเลกุลเหล่านี้ นอกจากนี้ วันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา นาซาก็ได้ประกาศว่าเริ่มได้กลิ่นร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารจากการได้กลิ่นมีเทนของยานสำรวจคิวริออสซิตี้บนดาวอังคาร
คาร์บอเนตอาจจะสะสมได้ตามร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่พยายามกินแร่เธาตุเหล่านี้เข้าไปเพื่อสร้างโครงสร้างร่างกาย แต่นักวิทยาศาสตร์ทีมนี้ก็ยืนยันว่าแร่ธาตุที่พบไม่ได้มาจากกรณีนี้
"คาร์บอเนตที่เราเห็นไม่ได้มาจากสิ่งมีชีวิต มันเป็นไอโซโทปของออกซิเจนที่ไม่ปกติที่บอกเราว่าคาร์บอเนตตัวนี้เป็นสิ่งไม่มีชีวิต"
หลังจากการวัดไอโซโทปด้วยหลากหลายวิธีแล้ว นักเคมีก็พบว่าคาร์บอเนตนี้ไม่ค่อยมี คาร์บอน-13 แต่อุดมไปด้วย ออกซิเจน-18 นั่นคือ บรรยากาศของดาวอังคารในยุคนี้หรือยุคที่มีการพุ่งชนของอุกกาบาตมากๆน่าจะมี คาร์บอน-13 น้อยกว่าทุกวันนี้มาก
การเปลี่ยนแปลงของปริมาณไอโซโทปของคาร์บอนและออกซิเจนอาจจะเกิดขึ้นจากการสูญเสียบรรยากาศไปเป็นจำนวนมากของดาวอังคาร และการจะมีน้ำในสถานะของเหลวที่ไหลอยู่ตามพื้นผิวดาวที่อุณหภูมิต่ำนั้นจำเป็นจะต้องมีความดันบรรยากาศที่สูง
"ตอนนี้เราได้ภาพที่ลึกและเจาะจงมากๆว่า ระบบออกซิเจนกับน้ำในช่วงยุคแรกของระบบสุริยะเป็นอย่างไร คำถามที่เหลืออยู่คือว่าเมื่อไหร่ที่โลกและดาวอังคารมีน้ำขึ้นมา อย่างไรกรณีของดาวอังคาร คำถามคือ แล้วน้ำไปไหนหมด ตอนนี้เราเดินทางมาได้ไกลแล้ว แต่ปริศนานี้ก็ยังคงอยู่" ธีเมนส์เผย
ที่มา : http://www.vcharkarn.com/vnews/501453
____________________
อ้างอิง : University of California - San Diego. (2014, December 22). Tales from a Martian rock: New chemical analysis of ancient Martian meteorite provides clues to planet's history of habitability. ScienceDaily. Retrieved December 28, 2014 from www.sciencedaily.com/releases/2014/12/141222165037.htm
________________________________
มนุษย์ต่างดาวเผ่าพันธุ์ที่ชาญฉลาด ทำลายสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร
Dr John Brandenburg คิดว่า ทฤษฎีการระเบิดรุนแรงบนดาวอังคาร
ในอดีตดาวอังคารถูกทำลายโดยระเบิดนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ และต่อไปคุณเอเลี่ยนจะทำลายโลกเราเนื่องจาก 'too noisy'
Dr John บอกว่าดาวอังคารเคยมีสภาพภูมิอากาศคล้ายกับโลกและมีบ้านที่ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ - ชีวิตที่ชาญฉลาดจะได้รับเกี่ยวกับการเป็นขั้นสูงเป็นชาวอียิปต์โบราณ
..เขาเตือนโลกมีโอกาสโดนโจมตีคล้ายกับดาวองคาร - และแนะนำให้เราเดินทางไปยังดาวอังคารเพื่อการวิจัย
เครดิต : In & Outside World
________________________________
อ้างอิง : http://www.mirror.co.uk/news/technology-science/science/aliens-destroy-earth-nuclear-attack-4698001#rlabs=10
________________________________
เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากทราบข่าวว่ามีชาวบ้านขุดพบซากมนุษย์โบราณและเครื่องใช้ นำไปมอบให้สำนักสงฆ์ถ้ำระฆังทอง เก็บไว้ จึงรุดไปตรวจสอบที่สำนักสงฆ์ดังกล่าวในพื้นที่ ม.5 ต.ปาล์มพัฒนา อ.มะนัง จ.สตูล พร้อมด้วย พ.ต.อ.ประสิทธิ์ ดำกระบี่ ผกก.สภ.มะนัง จ.สตูล และคณะเดินทางไปตรวจสอบ
เมื่อไปถึงพบเป็นโครงกระดูกมนุษย์ มีกระดูกขา และชิ้นส่วน หัวกะโหลก และกรามมนุษย์ และเครื่องใช้เป็นวัตถุเหล็ก ลักษณะเหมือนหอก หรือ ลูกดอกธนู
พระสมจิต สะมะจิตโต ซึ่งจำวัดอยู่ที่สำนักสงฆ์ถ้ำระฆังทอง เล่าว่า เมื่อประมาณ 10 กว่าวันที่ผ่านมา มีชาวบ้านในพื้นที่ ม.4 ต.ปาล์มพัฒนา อ.มะนัง จ.สตูล เข้ามาขุดพบ ที่เพิงหิน ม.5 ต.ปาล์มพัฒนา อ.มะนัง จ.สตูล โดยใช้จอบขุด เพื่อจะทำที่พักในสวนที่เพิงหินดังกล่าว โดยใช้จอบขุดไปเจอโครงกระดูกมนุษย์โบราณและวัตถุเป็นเหล็ก เครื่องใช้ของมนุษย์โบราณ ซึ่งน่าแปลกว่าก่อนขุดพบได้ฝันว่ามีเด็กมาไกวเปลให้ และมีผู้ใหญ่อีก 3 คนมาเข้าฝันด้วย
เมื่อไปขุดพบโครงกระดูกดังกล่าว แต่ไม่ชำนาญในการขุดเลยทำให้โครงกระดูกแตก จึงนำมาเก็บรวมกันไว้ ซึ่งเรื่องนี้ทางสำนักศิลปากรที่ 13 สงขลา
นางศิริพร สังข์หิรัญ นักโบราณคดีชำนาญการและเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ เผยว่า เป็นโครงกระดูกมนุษย์โบราณอายุราว 2,000 ปี หลังจากยุคหิน เพราะมีการพบเครื่องมือเป็นเหล็กติดปลายศร และอื่นๆ
โดยโครงกระดูกและชิ้นส่วนต่างๆ พร้อมทั้งเครื่องมือที่ขุดพบนั้น ทางสำนักสงฆ์จะเก็บไว้ให้ลูกหลานและประชาชนมาศึกษาต่อไป
ที่มา :http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReU1EVXhOekk0TXc9PQ%3D
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เมื่อไปถึงพบเป็นโครงกระดูกมนุษย์ มีกระดูกขา และชิ้นส่วน หัวกะโหลก และกรามมนุษย์ และเครื่องใช้เป็นวัตถุเหล็ก ลักษณะเหมือนหอก หรือ ลูกดอกธนู
พระสมจิต สะมะจิตโต ซึ่งจำวัดอยู่ที่สำนักสงฆ์ถ้ำระฆังทอง เล่าว่า เมื่อประมาณ 10 กว่าวันที่ผ่านมา มีชาวบ้านในพื้นที่ ม.4 ต.ปาล์มพัฒนา อ.มะนัง จ.สตูล เข้ามาขุดพบ ที่เพิงหิน ม.5 ต.ปาล์มพัฒนา อ.มะนัง จ.สตูล โดยใช้จอบขุด เพื่อจะทำที่พักในสวนที่เพิงหินดังกล่าว โดยใช้จอบขุดไปเจอโครงกระดูกมนุษย์โบราณและวัตถุเป็นเหล็ก เครื่องใช้ของมนุษย์โบราณ ซึ่งน่าแปลกว่าก่อนขุดพบได้ฝันว่ามีเด็กมาไกวเปลให้ และมีผู้ใหญ่อีก 3 คนมาเข้าฝันด้วย
เมื่อไปขุดพบโครงกระดูกดังกล่าว แต่ไม่ชำนาญในการขุดเลยทำให้โครงกระดูกแตก จึงนำมาเก็บรวมกันไว้ ซึ่งเรื่องนี้ทางสำนักศิลปากรที่ 13 สงขลา
นางศิริพร สังข์หิรัญ นักโบราณคดีชำนาญการและเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ เผยว่า เป็นโครงกระดูกมนุษย์โบราณอายุราว 2,000 ปี หลังจากยุคหิน เพราะมีการพบเครื่องมือเป็นเหล็กติดปลายศร และอื่นๆ
โดยโครงกระดูกและชิ้นส่วนต่างๆ พร้อมทั้งเครื่องมือที่ขุดพบนั้น ทางสำนักสงฆ์จะเก็บไว้ให้ลูกหลานและประชาชนมาศึกษาต่อไป
ที่มา :http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReU1EVXhOekk0TXc9PQ%3D
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________