ทุกๆคนมักจะเคยเห็น ลำแสง ที่ปล่อย ออกมาจาก ยานอวกาศ หรือ UFO ผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น ในภาพยนตร์ เรามักจะฉันลำแสงนั้น ดึงร่างของมนุษย์ หรือ สิ่งอื่นๆ ขึ้นไปบนตัวยาน
อย่างเช่น ในภาพยนตร์ “Star Trek” หรือในนิยาย sci-fi หลายต่อหลายเรื่อง มักจะมีการนำเสนอลำแสงแปลกๆ ที่สามารถส่งผ่านไปยังวัตถุใดๆก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็น ยานอวกาศ อุกาบาต หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตก็ว่ากันไป
หลักการทำงานของเจ้าลำแสงแปลกประหลาดนี้คือ เมื่อมันพุ่งกระทบกับอะไรก็ตาม มันจะทำให้วัตถุนั้นถูก “ผลักหรือดึงดูด” ให้เคลื่อนที่ไปตามทิศทางของลำแสง ได้ดั่งใจนึก โดยมีชื่อเรียกว่า “tractor beam”
ในโลกความเป็นจริงนั้น ลำแสง tractor beam กำลังถูกพัฒนาขึ้นโดย เหล่านักวิทยาศาสตร์อังกฤษจากมหาวิทยาลัย Bristol และ Sussex พวกเขาได้พัฒนาต้นแบบลำแสงลากดึงวัตถุด้วย “เสียง”
ที่สามารถใช้งานได้จริงเป็นครั้งแรกในโลก โดยงานต้นแบบนี้ อาศัยลำโพงขนาดเล็กจิ๋ว 64 ตัว ที่สามารถสร้างคลื่นเสียงแบบ “Ultrasonic” (คลื่นเสียงที่มีความถี่สูงกว่า 20 KHz ขึ้นไป
โดยจะสูงขึ้นจนถึงเท่าใดนั้น ไม่ได้ระบุจำกัดเอาไว้ ซึ่งเป็นความถี่ที่สูงเกินกว่าที่ประสาทหูมนุษย์จะได้ยิน และโดยทั่วไปหูของมนุษย์จะได้ยินเสียงความถี่สูงเฉลี่ยเพียงแค่ประมาณ 15 KHz)
โดยเมื่อจัดเรียงให้ลำโพงคลื่นเสียง Ultrasonic ทั้ง 64 ตัว หันในมุมที่เหมาะสมกัน ก็จะเกิดเป็น “acoustic hologram” หรือสนามพลังเสียง ที่มีความสามารถในการหนีบวัตถุให้ลอยไปมาตามทิศทางที่ต้องการ คือการบังคับ บน ล่าง ซ้าย ขวา ได้หมด
และจากการทดลองตัวต้นแบบของ Tractor Beam ในภาพนั้น มันสามารถยกวัตถุขนาดเท่าเม็ดถั่วให้ลอยไปมาบนแผงลำโพงได้ ซึ่งสามารถควบคุมวัตถุจากระยะ 30 – 40 ซม.
ให้สามารถเคลื่อนที่ตามต้องการได้ ต่อจากนี้ทีมพัฒนาหวังว่าจะสามารถพัฒนา Tractor Beam จนสามารถนำไปใช้งานได้จริง ซึ่งมันจะมีประโยชน์อย่างมากหากว่าสามารถเคลื่อนย้ายวัติถุหนักๆได้
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านอุตสาหกรรม การขนส่ง เทคโนโลยีทางอวกาศหรือระบบขนย้ายวัตถุอันตราย เป็นต้น
ตัวอย่าง ต้นแบบ
ที่มา :hxxp://www.flagfrog.com/watch-scientists-develop-a-real-life-tractor-beam-using-sound-waves/
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ซูเปอร์มูน (Super Moon) 14/11/2016 วันลอยกระทง
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เมื่อวันที่ 10 พ.ย. เอเอฟพีรายงานว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศของสหรัฐอเมริกา หรือนาซา เผยแพร่ข้อมูลปรากกฏการณ์พระจันทร์เต็มดวงขนาดใหญ่กว่าปกติ หรือซูเปอร์มูน จากการที่ดวงจันทร์โคจรใกล้โลกมากที่สุด หรือจุดโคจรเพริจี ว่าจะเกิดขึ้นเต็มที่ในเวลา 13.52 น. ในวันจันทร์ที่ 14 พ.ย.นี้ ตามเวลามาตรฐานสากล (หรือตรงกับคืนเทศกาลลอยกระทง เวลา 20.52 น. ตามเวลาประเทศไทย)
นับเป็นการโคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุดในรอบ 68 ปี มีระยะห่างไปจากโลกเพียง 356,509 กิโลเมตร ถือเป็นระยะทางที่น้อยที่สุดจากโลกนับตั้งแต่ปี 2491
ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาราว 2 ชั่วโมง ดวงจันทร์จะมีขนาดใหญ่กว่าปกติราวร้อยละ 14 และสว่างกว่าปกติราวร้อยละ 30 เมื่อสังเกตด้วยตาเปล่า เนื่องจากตำแหน่งโคจรของโลก (และดวงจันทร์) อยู่ในช่วงขาเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ซึ่งจะใกล้ที่สุดในวันที่ 4 ม.ค. 2560
นอกจากนี้ นักดาราศาสตร์ระบุว่า หากช่วงเวลาที่เกิดขึ้นของซูเปอร์มูนตรงกับเส้นขอบฟ้าในบางประเทศ ก็จะยิ่งทำให้ดวงจันทร์แลดูมีขนาดใหญ่มากขึ้นไปอีก เนื่องจากปรากฏการณ์ภาพลวงตา หรือออพติคัลอิลูชั่น
ที่มา :
____________________
เครดิต : https://www.khaosod.co.th/sci-tech/news_94172
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เคยอยากลองควบคุมความฝันของตัวเองเหมือนกับในหนังเรื่อง Inception กันบ้างหรือเปล่า? เชื่อว่าใครหลายคนคงอยากหลับตาลงแล้วโลดแล่นไปกับประสบการณ์ Lucid Dreams สักครั้ง ซึ่งเคยมีเสียงเล่าลือกันมาว่าจริงๆ แล้วการควบคุมความฝันไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่ต้องมีสติระหว่างฝันก็เท่านั้นเอง แต่ดูเหมือนว่าวิธีการด้านต้นอาจใช้ไม่ได้กับทุกคน แถมบางครั้งเราดันเผลอตื่นกลางความฝันเมื่อรู้ตัวว่าฝันอยู่ซะอีก แต่ในวันนี้เราอาจจะได้สัมผัสประสบการณ์โลกความฝันที่ควบคุมได้ดั่งใจนึกด้วยอุปกรณ์เสริมบางอย่างกันแล้วครับ
เมื่อไม่นานมานี้เกิดโปรเจ็กต์หนึ่งบนเว็บไซต์ Kickstarter ซึ่งได้ทำการนำเสนอสายรัดหัวรุ่นหนึ่งภายใต้ชื่อ iBand+ ที่ทางผู้พัฒนาระบุว่าสามารถตรวจจับคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ได้แม่นยำระดับเดียวกับการทดลองในห้องแล็ปเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งเซ็นเซอร์แบบพิเศษที่จะช่วยตรวจจับสุขภาพเพื่อวัดการเคลื่อนไหวของร่างกาย, อัตราการเต้นของหัวใจ และอุณหภูมิภายใน นอกจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสมองและร่างกายต่อหนึ่งรอบการนอนด้วยอัลกอริทึมซอฟท์แวร์ที่เรียนรู้ได้เอง และจะปรับแต่งคลื่นเสียงให้เหมาะสมเพื่อให้เราสามารถเข้าสู่ระยะการนอนหลับได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือสามารถ เร่งให้เกิดปฏิกริยา Lucid Dream หรือฝันที่ควบคุมได้อีกด้วย
โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ความฝันจะเกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ในสภาวะ REM Sleep (Rapid Eye Movement Sleep) ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายมีเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการทำงานขึ้นและมีการกรอกลูกตาไปมาอย่างรวดเร็ว ในระหว่างที่เราอยู่ภายใต้ระยะ REM นี้ ผู้พัฒนาระบุว่า ร่างกายส่วนมากจะขาดการติดต่อกับสมองส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่สามารถเคลื่อนไหวต่อไปได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงไม่สามารถควบคุมความฝันตามใจนึกได้นั่นเอง แต่ iBand+ สามารถช่วยเราให้คุมความฝันได้ ด้วยความพิเศษในการตรวจจับคลื่นสมองซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเข้าสู่สภาวะ Lucid Dream
iBand+ เริ่มวางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ Kickstarter แหล่งรวมโปรเจ็กต์สำหรับนักพัฒนาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยหากสนับสนุนผู้พัฒนาเป็นจำนวนเงินเริ่มต้นที่ 129 ยูโร หรือราว 4,900 บาท ก็จะได้รับเซ็ต iBand+ ไปแบบครบชุดโดยทันที โดยจะสามารถเริ่มส่งสินค้าถึงมือเราได้ทุกที่บนโลกได้ภายในช่วงเดือนกรกฎาคมปีหน้าที่กำลังจะถึงนี้ สำหรับใครที่สนใจอยากทดลองเล่นจริงๆ คงต้องรีบหน่อยเพราะทางผู้พัฒนาเองก็ใกล้ปิดรับเงินระดมทุน ซึ่งหากไม่ทันรอบนี้คงต้องอดใจรอรอบหน้ากันอีกครั้ง อย่างไรก็ตามสินค้าที่วางจำหน่ายด้านต้นก็ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าจะใช้ได้จริงหรือไม่ ซึ่งผู้ใช้งานบางส่วนที่ร่วมสนับสนุนและสั่งจองก็มีความเห็นไปในทางสงสัย รวมถึงความกังวลต่อปัญหาบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นหากควบคุมความฝันได้ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดต่อธรรมชาติ
REM-Dreamer |
โดยก่อนหน้านี้ก็เคยมีสินค้าในลักษณะเดียวกันวางจำหน่ายผ่าน Amazon ในชื่อ REM-Dreamer ซึ่งผู้ใช้ที่ได้ทำการซื้อไปได้กลับมารีวิวว่า บางครั้งหน้ากากที่สวมใส่ขณะนอนหลับก็ไม่ได้สามารถช่วยให้ควบคุมความฝันได้เสมอไปและอาจต้องมีเทคนิคบางอย่างเพื่อให้เข้าสู่สภาวะ Lucid Dream อีกด้วย ส่วน iBand+ จะช่วยให้เราควบคุมความฝันได้ต่างจากอุปกรณ์ชนิดอื่นได้หรือไม่นั้น คงต้องรอการยืนยันจากผู้ใช้งานอีกครั้ง สำหรับใครที่สนใจ iBand+ และต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่ลิงก์เว็บไซต์ด้านล่างครับ
ที่มา : http://www.techmoblog.com/iband-eeg-headband-helps-you-experience-lucid-dream/
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง : KICKSTARTER
________________________________
ช็อกสะท้านวงการ !! นักวิทย์ฯผวา จับสัญญาณประหลาดจากต่างดาว 234 ดวง!! ยิ่งรู้ที่มา..ถึงกับอึ้งยกทีม!! ปริศนา "สิ่งมีชีวิตนอกโลก" ใกล้ถูกเปิดเผย !!!?
วันนี้ (31 ต.ค. 2559) เกิดเรื่องสะเทือนวงการดาราศาสตร์จนกลายเป็นกระแสฮือฮาไปทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อ เออร์แมนโน บอร์รา และอีริค ทร็อตเทียร์ นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลาวาล ในประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการสำรวจท้องฟ้าด้วยกล้องสโลน ดิจิทัล สกาย เซอร์เวย์ (Sloan Digital Sky Survey - SDSS)
เผยว่า มีการตรวจพบแสงลึกลับ ลักษณะคล้ายแสงแฟลชจากดาว 234 ดวง ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาวที่พยายามติดต่อกับโลก
ซึ่งหลังจากพบสัญญาณดังกล่าว เหล่านักดาราศาสตร์ได้วิเคราะห์สัญญาณจากดาวทั้งหมด 2.5 ล้านดวง และพบว่ามาจากดาว 234 ดวงที่กล่าวมาข้างต้น คาดว่าเป็นสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาวที่พยายามติดต่อสื่อสารกับโลก ก่อนจะสรุปและตีพิมพ์การค้นคว้าของตนลงในนิตยสารฟิสิกส์ต่อไป โดยนักดาราศาสตร์ยืนยันว่า
อย่างไรก็ตาม เออร์แมนโน และอีริค ยังระบุด้วยว่า แม้สัญญาณดังกล่าวจะใกล้เคียงกับสิ่งที่พวกตนสงสัย ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารจากต่างดาว แต่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เนื่องจากยังมีคำอธิบายเหตุผลของความเป็นไปได้อื่นๆด้วย เช่น อาจเป็นไปได้ว่าสัญญาณเหล่านี้เกิดจากการหมุนของโมเลกุล หรือเกิดจากการตกกระทบกันอย่างรวดเร็วในอวกาศ ซึ่งการพบค้นพบดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการยืนยันในขั้นตอนสุดท้ายที่ทุกๆคนต่างลุ้นระทึกไปพร้อมๆกันถึงความจริงที่กำลังจะปรากฏชัดออกมา
ที่มา : hxxp://inter.news-lifestyle.com/contents/160120/
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
Sloan Digital Sky Survey - SDSS |
ซึ่งหลังจากพบสัญญาณดังกล่าว เหล่านักดาราศาสตร์ได้วิเคราะห์สัญญาณจากดาวทั้งหมด 2.5 ล้านดวง และพบว่ามาจากดาว 234 ดวงที่กล่าวมาข้างต้น คาดว่าเป็นสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาวที่พยายามติดต่อสื่อสารกับโลก ก่อนจะสรุปและตีพิมพ์การค้นคว้าของตนลงในนิตยสารฟิสิกส์ต่อไป โดยนักดาราศาสตร์ยืนยันว่า
"จากการเปรียบเทียบสัญญาณดังกล่าวของดาว 234 ดวง กับดวงอาทิตย์ พบว่าเป็นไปได้ว่าสัญญาณเหล่านั้นจะมาจากมนุษย์ต่างดาว"
อย่างไรก็ตาม เออร์แมนโน และอีริค ยังระบุด้วยว่า แม้สัญญาณดังกล่าวจะใกล้เคียงกับสิ่งที่พวกตนสงสัย ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารจากต่างดาว แต่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เนื่องจากยังมีคำอธิบายเหตุผลของความเป็นไปได้อื่นๆด้วย เช่น อาจเป็นไปได้ว่าสัญญาณเหล่านี้เกิดจากการหมุนของโมเลกุล หรือเกิดจากการตกกระทบกันอย่างรวดเร็วในอวกาศ ซึ่งการพบค้นพบดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการยืนยันในขั้นตอนสุดท้ายที่ทุกๆคนต่างลุ้นระทึกไปพร้อมๆกันถึงความจริงที่กำลังจะปรากฏชัดออกมา
ที่มา : hxxp://inter.news-lifestyle.com/contents/160120/
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
นายอิกอร์ อาเชอร์เบย์ลี หัวหน้าศูนย์วิจัยอวกาศนานาชาติในกรุงเวียนนาของออสเตรีย แถลงการก่อตั้งประเทศใหม่ในอวกาศที่มีชื่อว่า “แอสการ์เดีย” ที่กรุงปารีสของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมาโดยหวังว่าจะรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ป้องกันการก่อสงครามในอวกาศ และปกป้องมวลมนุษยชาติจากอันตรายนอกโลกเช่น เศษหินและการชนของดาวเคราะห์น้อย ถือเป็นก้าวแรกในการสร้างอวกาศยุคใหม่ โดยจะเริ่มต้นด้วยการส่งจรวดขึ้นสู่ห้วงอวกาศในปี 2560
“แอสการ์เดีย” จะกลายเป็นประตูสู่อวกาศเพื่อการค้า วิทยาศาสตร์ และเพื่อผู้คนจากทุกประเทศบนโลก ส่วนชื่อ “แอสการ์เดีย” มาจากชื่อเมืองลอยฟ้าที่ปกครองโดยโอดินแห่งวังวัลฮาลา ตามนิทานปรัมปราเทพเจ้านอร์ส
ประเทศนอกโลกใหม่นี้ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนคนใดก็ได้ที่อยู่บนโลกนี้เข้าเป็นพลเมืองที่นี่ โดยเข้าไปคลิกในเว็บไซต์ แอสการ์เดียดอทสเปซ (asgardia.space) และกรอกข้อมูลชื่อ นามสกุล อีเมล และประเทศของตัวเอง
ทีมผู้ก่อตั้งโครงการนี้หวังว่า “แอสการ์เดีย” จะเปลี่ยนแปลงแนวคิดของรัฐชาติใหม่ทั้งหมด โดยจะสร้างกรอบการทำงานแบบใหม่สำหรับการกำกับดูแลและเป็นเจ้าของกิจกรรมต่าง ๆ ในอวกาศ รวมถึงผู้ที่รับผิดชอบในการบริหารและวิธีการปกครองประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่าห้วงอวกาศมีความสงบสุข และทำเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติอย่างแท้จริง มากกว่าที่จะไปตั้งถิ่นฐานใหม่ตามส่วนต่าง ๆ ของอวกาศ และก่อสงครามเหมือนที่เกิดขึ้นบนโลก
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/723010
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่าได้ตรวจสอบพบ ลูกไฟ ขนาดมหึมาเคลื่อนที่ฝ่าอวกาศด้วยความเร็วสูงบริเวณใกล้กับดาวฤกษ์ที่กำลังจะตายดวงหนึ่งห่างออกไป 1,200 ปีแสงจากโลก นักวิทยาศาสตร์นาซายอมรับว่าที่มาของลูกไฟขนาดใหญ่ดังกล่าวนี้ยังเป็นปริศนาอยู่จนถึงขณะนี้
ลูกไฟพลาสมา (สสารที่อยู่ในสถานะก๊าซ) ที่แต่ละลูกมีขนาดเป็นสองเท่าของดาวอังคาร และมีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ถึง 2 เท่าตัว ถูกตรวจสอบพบขณะเคลื่อนที่ผ่านอวกาศด้วยความเร็วสูงมาก ชนิดที่สามารถเคลื่อนที่จากโลกไปยังดวงจันทร์ (ระยะทาง 384,472 กิโลเมตร) ได้ภายในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ของนาซาประจำห้องปฏิบัติการ เจ็ท โพรพัลชั่น ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ชี้ว่าลูกไฟเหล่านี้จะปรากฏออกมาในทุกๆ 8.5 ปี ตลอดระยะเวลาอย่างน้อย 4 ศตวรรษที่ผ่านมา
ลูกไฟที่เป็นดวงก๊าซถูกสังเกตพบบริเวณใกล้กับดาวแดงยักษ์ชื่อ “วีไฮเดร” ซึ่งอยู่ห่างจากโลกราว 1,200 ปีแสง ดาวแดงยักษ์ เป็นดาวฤกษ์ที่กำลังพัฒนาการอยู่ในวาระสุดท้ายซึ่งเกือบหมดพลังแล้วและตัวดวงดาวเริ่มต้นบวมและขยายตัวออก กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ตรวจสอบพบลูกไฟเหล่านี้ขณะที่เคลื่อนตัวผ่านด้านหน้าของ วีไฮเดร (เมื่อมองจากโลก) ทั้งนี้จากการศึกษาข้อมูลที่ได้จากฮับเบิลล่าสุด ทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำเจ็ท โพรพัลชั่น ชี้ว่าลูกไฟเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวดาววีไฮเดร แต่จากผลการศึกษาครั้งล่าสุดเป็นไปได้ว่าลูกไฟเหล่านี้อาจมีที่มาจากดาวฤกษ์อีกดวงที่เป็นดาวคู่กับวีไฮเดร แต่ไม่เคยมีการพบเห็นกันมาก่อน
ถ้อยแถลงของเจ็ท โพรพัลชั่นระบุว่า ตามทฤษฎีใหม่ที่ได้จากการศึกษาครั้งล่าสุดนี้ ดาวคู่ของวีไฮเดรดังกล่าวอาจมีวงโคจรเป็นรูปวงรีที่ทำให้ดาวคู่ดวงนี้โคจรเข้ามาในระยะใกล้กับบรรยากาศของวีไฮเดรในทุกๆ 8.5 ปี เมื่อโคจรผ่านเข้ามาในบรรยากาศรอบนอกของวีไฮเดรก็สามารถกวาดเอาวัสดุต่างๆ จากชั้นบรรยากาศด้านนอกสุดไปด้วย วัสดุต่างๆ เหล่านี้จะไปลงเอยแผ่เป็นรูปจานอยู่โดยรอบดาวคู่ดังกล่าวและกลายเป็นที่มาของลูกไฟมหึมาเหล่านี้นั่นเอง
ถ้าหากนักสามารถรู้ได้แน่ชัดว่า ลูกไฟเหล่านี้มีที่มาที่แน่นอนจากที่ไหนกันแน่ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถอธิบายปรากฏการณ์ประหลาดอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในบริเวณกลุ่มเมฆที่เกิดขึ้นโดยรอบดาวฤกษ์ที่กำลังจะถึงวาระสุดท้ายทั้งหลายซึ่งบางกรณีก็เป็นเรื่องที่ยากอธิบายได้เช่นเดียวกัน
ราฟเวนดรา ซาไฮ หนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์ของเจ็ท โพรพัลชั่น นาซาเคยศึกษาข้อมูลจากการเฝ้าสังเกตวีไฮเดรระหว่างปี 2002 เรื่อยมาจนถึงปี 2004 และในปี 2011 กับปี 2013 แต่ครั้งล่าสุดนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ทีมวิจัยสามารถเห็นกระบวนการขณะกำลังเกิดลูกไฟ จนได้ทฤษฎีที่ว่าสภาวะบวมพองและกลายเป็นก๊าซซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปลายของชีวิตดวงดาวช่วยให้เกิดปรากฏการณ์รูปร่างประหลาดทั้งหลายที่พบเห็นในเนบิวลาดาวเคราะห์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นลูกไฟเหมือนในกรณีนี้และเป็นกลุ่มก๊าซที่พันกันเป็นปมเชือกที่พบเห็นกันก่อนหน้านี้
ซาไฮเชื่อว่าทฤษฎีของการเกิดลูกไฟจากจานวัสดุรอบดาวคู่ซึ่งยังไม่มีใครพบนั้นเป็นคำอธิบายที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว
ที่มา : http://www.matichon.co.th/news/321941
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ไม่น่าเชื่อว่า จะมีการจับภาพได้ชัดเจนที่สุดในรอบประวัติศาสตร์ สำหรับยานบินลึกลับนอกโลกที่เพิ่งผ่านดวงอาทิตย์ไปได้ไม่นานในวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งทางนาซ่าได้ปิดเงียบมาตลอดเพื่อเฝ้าดูสังเกตการณ์ถึงสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นว่าจะส่งผลมาถึงโลกหรือไม่
โดยวัตถุประหลาดคล้ายยานอวกาศนั้น มีรูปทรงที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงมันได้เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่มีพลังงานความร้อนสูงถึงล้านๆๆองศาเซลเซียส ซึ่งทั้งนี้ก็ได้มีการเรียกร้องจากวงในให้มีการเปิดเผยสื่อต่อสาธารณะชนได้รู้ ว่าในที่สุด เรื่องราวของยานมนุษย์ต่างดาวไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป
โดยยานดังกล่าวได้บินจอดอยู่บริเวณเส้นถ่ายโอนพลังงานความร้อนของดวงอาทิตย์ ระยะทางห่างจากโลก 150 ล้านกิโลเมตร คาดว่าน่าจะจอดเติมพลังงานหรือกำลังศึกษาอะไรบางอย่าง ทำให้กล้องจากยานสำรวจอวกาศ SOHO จับภาพได้ในเวลาต่อมา เมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลบางส่วนให้ได้เห็น ก็สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากในโลกออนไลน์ รวมถึงสื่อบางเจ้าได้ตีแผ่ถึงเรื่องยานแม่ของมนุษย์ต่างดาวว่าจะมาทำลายโลกหรือไม่?
เพราะดูจากขนาดของยานที่เทียบตรงกับดวงอาทิตย์แล้ว น่าจะมีความใหญ่โตมากกว่าทวีปยุโรปถึง 2 เท่า และดูเหมือนการจะมาเยือนโลกมนุษย์ไม่ใช่เรื่องยาก
อย่างไรก็ตาม นี่ถือว่าเป็นการบีบคั้นนาซ่าให้เปิดเผยถึงสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมาก โดยแต่ก่อนก็ได้ปิดบังความจริงจากการแผ่ขยายรังสีของดวงอาทิตย์ และมีวัตถุลึกลับดังกล่าวเข้าไปเติมพลังงาน แต่นาซ่ากลับใช้วิธีปิดบังด้วยการถมดำเป็นรูปสี่เหลี่ยม เพื่อดึงดูดคล้ายกับเป็นการกุเรื่องโกหกขึ้นมา ทำให้ผู้คนไม่สนใจและลืมไปเอง แต่ความจริงแล้ว ภายใต้รูปสีดำที่เรามองข้าม กลับกลายเป็นยานแม่จากดาวดวงอื่นกำลังบินอยู่เหนือชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์อยู่ โดยไม่มีทีท่าว่าจะละลายหรือพัง แถมยังดูกลืนพลังงานรังสีจากดวงอาทิตย์เอาไปเป็นเชื้อเพลิงได้อีกด้วย ยังไงเราก็มาดูกันต่อไปว่าต่อจากนี้จะมีข่าวอะไรจากนาซ่าเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ เพราะอีกไม่นานก็คงจะมีความคืบหน้าเผยแพร่ออกมาอย่างแน่นอน
ที่มา : hxxp://www.flagfrog.com/
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ไม่น่าเชื่อว่า จะมีการจับภาพได้ชัดเจนที่สุดในรอบประวัติศาสตร์ สำหรับยานบินลึกลับนอกโลกที่เพิ่งผ่านดวงอาทิตย์ไปได้ไม่นานในวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งทางนาซ่าได้ปิดเงียบมาตลอดเพื่อเฝ้าดูสังเกตการณ์ถึงสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นว่าจะส่งผลมาถึงโลกหรือไม่
โดยวัตถุประหลาดคล้ายยานอวกาศนั้น มีรูปทรงที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงมันได้เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่มีพลังงานความร้อนสูงถึงล้านๆๆองศาเซลเซียส ซึ่งทั้งนี้ก็ได้มีการเรียกร้องจากวงในให้มีการเปิดเผยสื่อต่อสาธารณะชนได้รู้ ว่าในที่สุด เรื่องราวของยานมนุษย์ต่างดาวไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป
โดยยานดังกล่าวได้บินจอดอยู่บริเวณเส้นถ่ายโอนพลังงานความร้อนของดวงอาทิตย์ ระยะทางห่างจากโลก 150 ล้านกิโลเมตร คาดว่าน่าจะจอดเติมพลังงานหรือกำลังศึกษาอะไรบางอย่าง ทำให้กล้องจากยานสำรวจอวกาศ SOHO จับภาพได้ในเวลาต่อมา เมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลบางส่วนให้ได้เห็น ก็สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากในโลกออนไลน์ รวมถึงสื่อบางเจ้าได้ตีแผ่ถึงเรื่องยานแม่ของมนุษย์ต่างดาวว่าจะมาทำลายโลกหรือไม่?
เพราะดูจากขนาดของยานที่เทียบตรงกับดวงอาทิตย์แล้ว น่าจะมีความใหญ่โตมากกว่าทวีปยุโรปถึง 2 เท่า และดูเหมือนการจะมาเยือนโลกมนุษย์ไม่ใช่เรื่องยาก
อย่างไรก็ตาม นี่ถือว่าเป็นการบีบคั้นนาซ่าให้เปิดเผยถึงสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมาก โดยแต่ก่อนก็ได้ปิดบังความจริงจากการแผ่ขยายรังสีของดวงอาทิตย์ และมีวัตถุลึกลับดังกล่าวเข้าไปเติมพลังงาน แต่นาซ่ากลับใช้วิธีปิดบังด้วยการถมดำเป็นรูปสี่เหลี่ยม เพื่อดึงดูดคล้ายกับเป็นการกุเรื่องโกหกขึ้นมา ทำให้ผู้คนไม่สนใจและลืมไปเอง แต่ความจริงแล้ว ภายใต้รูปสีดำที่เรามองข้าม กลับกลายเป็นยานแม่จากดาวดวงอื่นกำลังบินอยู่เหนือชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์อยู่ โดยไม่มีทีท่าว่าจะละลายหรือพัง แถมยังดูกลืนพลังงานรังสีจากดวงอาทิตย์เอาไปเป็นเชื้อเพลิงได้อีกด้วย ยังไงเราก็มาดูกันต่อไปว่าต่อจากนี้จะมีข่าวอะไรจากนาซ่าเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ เพราะอีกไม่นานก็คงจะมีความคืบหน้าเผยแพร่ออกมาอย่างแน่นอน
ที่มา : hxxp://www.flagfrog.com/
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
“มนุษย์ต่างดาว” หนึ่งในความลี้ลับของจักรวาลที่รอการไขปริศนา ความน่าสนใจของการมีอยู่ และวิวัฒนาการอันก้าวหน้าของพวกเขามีอยู่จริงหรือไม่?
ท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล เหล่ามวลมนุษยชาติหลายคนต่างมีความเชื่อว่า ไม่ได้มีแต่เพียงโลก และมนุษย์เท่านั้น ที่เป็นสิ่งมีชีวิตและพัฒนาตนเองจนกลายเป็นสังคมโลก แต่ยังมีสถานที่อีกมากมายที่อยู่ไกลโพ้น มีสิ่งมีชีวิตและลักษณะสังคมที่พัฒนาไปในทางเดียวกัน หรือที่หลายคนเรียกว่า “มนุษย์ต่างดาว” เรื่องราวที่เราจะทำการนำเสนอต่อไปนี้ เป็นการหยิบยกเอาตัวอย่างความลี้ลับมาเล่าสู่กันฟัง 12bet ชวนกันมาช่วยคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ จะเป็นสิ่งที่ช่วยพิสูจน์การมีอยู่จริงของมนุษย์ต่างดาวได้หรือไม่
เรื่องเล่าของเบ็ทตี้และบาร์นี่ย์ เกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะพวกเขากำลังขับรถกลับจากวันหยุดยาวในประเทศแคนาดา ผ่านหุบเขาที่เต็มไปด้วยความมืด ทั้งสองได้มองเห็นวัตถุที่คล้ายกับดาวตก จึงตัดสินใจหยุดรถและลงไปดูด้วยความสงสัย และแล้วทั้ง 2 ก็ได้พบกับวัตถุที่ดูคล้ายกับยูเอฟโอ ที่เปลี่ยนทิศทางไปทันทีทันใดเมื่อมันรู้ว่าถูกทั้งสองจ้องมอง นอกจากนี้เบ็ทตี้และบาร์นี่ย์ยังเล่าว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาเหมือนกับถูกสะกดจิต เพราะเหตุการณ์นี้กินเวลาถึง 2 ชั่วโมง
ความลี้ลับของมนุษย์ต่างดาว ต่างได้รับการยืนยันจากผู้คนอย่างต่อเนื่อง เราคงได้แต่รอความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ที่จะสามารถเข้าถึงและพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่า สิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับมนุษย์ แต่อาศัยอยู่ในดาวที่ไกลออกไปมีอยู่จริง และมีวิวัฒนาการล้ำหน้า จนสามารถเดินทางมาเยือนโลกของเราจริงหรือไม่
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เรื่องราวน่าสะพรึงของเบ็ทตี้และบาร์นี่ย์ ผู้ที่พบเจอและถูกมนุษย์ต่างดาวสะกดจิตอย่างจัง
ท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล เหล่ามวลมนุษยชาติหลายคนต่างมีความเชื่อว่า ไม่ได้มีแต่เพียงโลก และมนุษย์เท่านั้น ที่เป็นสิ่งมีชีวิตและพัฒนาตนเองจนกลายเป็นสังคมโลก แต่ยังมีสถานที่อีกมากมายที่อยู่ไกลโพ้น มีสิ่งมีชีวิตและลักษณะสังคมที่พัฒนาไปในทางเดียวกัน หรือที่หลายคนเรียกว่า “มนุษย์ต่างดาว” เรื่องราวที่เราจะทำการนำเสนอต่อไปนี้ เป็นการหยิบยกเอาตัวอย่างความลี้ลับมาเล่าสู่กันฟัง 12bet ชวนกันมาช่วยคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ จะเป็นสิ่งที่ช่วยพิสูจน์การมีอยู่จริงของมนุษย์ต่างดาวได้หรือไม่
เรื่องเล่าของเบ็ทตี้และบาร์นี่ย์ เกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะพวกเขากำลังขับรถกลับจากวันหยุดยาวในประเทศแคนาดา ผ่านหุบเขาที่เต็มไปด้วยความมืด ทั้งสองได้มองเห็นวัตถุที่คล้ายกับดาวตก จึงตัดสินใจหยุดรถและลงไปดูด้วยความสงสัย และแล้วทั้ง 2 ก็ได้พบกับวัตถุที่ดูคล้ายกับยูเอฟโอ ที่เปลี่ยนทิศทางไปทันทีทันใดเมื่อมันรู้ว่าถูกทั้งสองจ้องมอง นอกจากนี้เบ็ทตี้และบาร์นี่ย์ยังเล่าว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาเหมือนกับถูกสะกดจิต เพราะเหตุการณ์นี้กินเวลาถึง 2 ชั่วโมง
ความลี้ลับของมนุษย์ต่างดาว ต่างได้รับการยืนยันจากผู้คนอย่างต่อเนื่อง เราคงได้แต่รอความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ที่จะสามารถเข้าถึงและพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่า สิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับมนุษย์ แต่อาศัยอยู่ในดาวที่ไกลออกไปมีอยู่จริง และมีวิวัฒนาการล้ำหน้า จนสามารถเดินทางมาเยือนโลกของเราจริงหรือไม่
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
กลายเป็นที่ฮือฮาในต่างประเทศขณะนี้ สำหรับคลิปวิดีที่เผยภาพวัตถุต้องสงสัยคาดว่าจะเป็นเอเลี่ยนจากต่างดาว คลิปนี้ถูกโพสต์ผ่านผู้ใช้ยูทูบชื่อว่า Anthony Choy หรือ นายอันโทนี โชว์ นักวิเคราะห์ศึกษาเกี่ยวกับยูเอฟโอ เป็นคลิปจากกล้องวงจรปิดที่อยู่ภายในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในประเทศเปรู อ้างว่า สามารถจับภาพวัตถุประหลาดเรืองแสงสีฟ้าๆ เปลี่ยนสีเองได้ ขนาดราวๆ ความสูงประมาณ 1 เมตร กำลังพยายามข้ามถนนฟ่าการจราจรคับคั่งไปยังอีกฟากถนน
ซึ่งหลังจากที่คลิปนี้ได้เผยแพร่ออกไป ก็มีผู้เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก บางส่วนเชื่อว่า คลิปดังกล่าวเป็นของจริง เนื่องจากมีคลิปจากมุมมองอื่นๆ ที่ทำให้เชื่อได้ว่า วัตถุดังกล่าวนั้น อาจจะเป็นสิ่งลี้ลับจากนอกโลก ขณะที่บางส่วนมองว่า คลิปดังกล่าวอาจจะเป็นการตัดต่อ หรืออาจจะเป็นโดรนก็เป็นได้ จนล่าสุดมีผู้เข้าชมคลิปนี้กว่า 600,000 ครั้งแล้ว
ที่มา : hxxp://www.thairath.co.th/content/714785
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เหล่านักสำรวจฉงน ค้นพบ The Eye เกาะประหลาดในอาร์เจนตินา รูปทรงกลมดิกจนเหลือเชื่อหากเป็นฝีมือธรรมชาติ แถมหมุนเคลื่อนที่เองได้อย่างน่าประหลาด ขณะนักล่ายูเอฟโอชี้ สิ่งนี้อาจเป็นฐานลับเอเลี่ยน
โลกเราใบนี้ยังมีสิ่งลี้ลับอีกมากมายรอให้ถูกค้นพบ แต่เมื่อค้นพบแล้ว มนุษย์จะหาคำตอบได้หรือไม่ว่ามันคืออะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทีมสำรวจของ เซอร์จิโอ นิวสปิลเลิร์ม ผู้ผลิตและผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอาร์เจนตินา กำลังพยายามไขปริศนา หลังเขาได้พบเกาะเล็ก ๆ อันแปลกประหลาด ที่เขาตั้งชื่อให้ว่า The Eye หรือ ดวงตา นี้โดยบังเอิญขณะสำรวจหาเซตติ้งการถ่ายทำหนังเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และปริศนาอันน่าฉงนของมัน ก็ทำให้เขาแทบลืมจุดประสงค์หลังของตัวเองไปในทันที
โดยจากปากคำบอกเล่าจากชาวบ้านยังทำให้เขาได้ทราบว่า แถบพื้นที่บริเวณนี้มีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นมากมาย แต่ยังไม่เคยมีใครได้เข้าไปสำรวจอย่างจริงจังเลย
เว็บไซต์มิเรอร์ เปิดเผยเรื่องราวเกาะประหลาดของเซอร์จิโอไว้ในรายงานในที่ 30 สิงหาคม 2559 เกาะที่โค้งกลมสมบูรณ์แบบนี้ตั้งอยู่บนสามเหลี่ยมพารานา ระหว่างเมืองแคมปานาและซาราเต ของนครบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา มันเป็นเกาะกลมเล็ก ๆ อยู่ในบึงรูปทรงกลมดิกพอ ๆ กัน เส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 118 เมตรเท่านั้นเอง ความกลมดิกของทั้งเกาะและบึง ช่างเพอร์เฟคท์เสียจนไม่อยากจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ
สำหรับจุดที่ตั้งของ The Eye นั้น หากมองจาก Google Maps จะอยู่ที่โลเคชั่น 34°15'07.8"S 58°49'47.4"W โดยภาพแรกสุดของมันที่ถูกมองเห็นได้ผ่าน Google Maps คือเมื่อเดือนกรกฎาคม 2547 ซึ่งนั่นทำให้เซอร์จิโอได้ค้นพบเรื่องราวอันแปลกประหลาด เพราะเมื่อเขาไล่เรียงดูภาพ The Eye ตามช่วงเวลาต่าง ๆ ก็ได้พบว่า เกาะกลม ๆ นี้หมุนเคลื่อนที่ได้ราวกับมีแกนของตัวเอง มันเป็นไปได้อย่างไรกัน !?
ในที่สุด เซอร์จิโอพร้อมทีมสำรวจก็ได้บุกลงสำรวจพื้นที่ที่ตั้งจริง ๆ ของ The Eye จากการเดินเท้าถึง 8 ชั่วโมง ฝ่าฟันกลางป่าเข้าไปพวกเขาก็ได้พบบึงและเกาะกลมรูปดวงตานั้นสมใจ และได้พบว่าน้ำในบึงที่ล้อมรอบเกาะ The Eye นั้น ทั้งใสและเย็นอย่างเหลื่อเชื่อ ไม่เหมือนสภาพแวดล้อมโดยรอบ หนำซ้ำดินในบึงก็แข็ง ช่างตรงกันข้ามกับสภาพแอ่งหนองบึงรอบ ๆ ส่วนเกาะที่อยู่ตรงกลาง มันลอยอยู่บนอะไรสักอย่างที่พวกเขาก็ไม่อาจตอบได้เหมือนกัน
ความแปลกประหลาดยากอธิบายของ The Eye ยังดึงดูดความสนใจของนักล่ายูเอฟโออย่าง สก็อต ซี วาร์ริ่ง ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ UFO Sightings Daily สก็อตเชื่อว่าสิ่งนี้คือประตูสู่ที่ตั้งฐานลับเอเลี่ยน ดูจากรูปทรงของ The Eye เอง ก็เห็นได้ว่าใหญ่พอจะให้ยานอวกาศขนาด 100 เมตร เข้าไปได้อย่างพอเหมาะพอเจาะเลยทีเดียว และมนุษย์อาจได้คำตอบอะไรมากกว่านี้ หากสามารถลงไปสำรวจในน้ำซึ่งเกาะประหลาดนี้ลอยอยู่ได้
ทางด้านเซอร์จิโอเอง ก็กระหายใคร่รู้ที่จะไขปริศนาของเกาะแห่งนี้ให้ได้ไม่ต่างกัน ทั้งว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้ว เคลื่อนที่เองได้อย่างไร ฯลฯ ซึ่งในตอนนี้ทีมของเขาจึงได้ตั้งขอรับระดมทุนขึ้นในเว็บไซต์ kickstarter เพื่อรวบรวมเงินสำหรับการสำรวจและวิจัยขั้นต่อไป โดยเซอร์จิโอวางแผนจะนำนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ยูเอฟโอ รวมไปถึงผู้มีความสามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสพิเศษลงไปสำรวจ The Eye ด้วยกัน
ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/141579
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เว็บไซต์มิเรอร์ เปิดเผยเรื่องราวเกาะประหลาดของเซอร์จิโอไว้ในรายงานในที่ 30 สิงหาคม 2559 เกาะที่โค้งกลมสมบูรณ์แบบนี้ตั้งอยู่บนสามเหลี่ยมพารานา ระหว่างเมืองแคมปานาและซาราเต ของนครบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา มันเป็นเกาะกลมเล็ก ๆ อยู่ในบึงรูปทรงกลมดิกพอ ๆ กัน เส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 118 เมตรเท่านั้นเอง ความกลมดิกของทั้งเกาะและบึง ช่างเพอร์เฟคท์เสียจนไม่อยากจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ
สำหรับจุดที่ตั้งของ The Eye นั้น หากมองจาก Google Maps จะอยู่ที่โลเคชั่น 34°15'07.8"S 58°49'47.4"W โดยภาพแรกสุดของมันที่ถูกมองเห็นได้ผ่าน Google Maps คือเมื่อเดือนกรกฎาคม 2547 ซึ่งนั่นทำให้เซอร์จิโอได้ค้นพบเรื่องราวอันแปลกประหลาด เพราะเมื่อเขาไล่เรียงดูภาพ The Eye ตามช่วงเวลาต่าง ๆ ก็ได้พบว่า เกาะกลม ๆ นี้หมุนเคลื่อนที่ได้ราวกับมีแกนของตัวเอง มันเป็นไปได้อย่างไรกัน !?
ในที่สุด เซอร์จิโอพร้อมทีมสำรวจก็ได้บุกลงสำรวจพื้นที่ที่ตั้งจริง ๆ ของ The Eye จากการเดินเท้าถึง 8 ชั่วโมง ฝ่าฟันกลางป่าเข้าไปพวกเขาก็ได้พบบึงและเกาะกลมรูปดวงตานั้นสมใจ และได้พบว่าน้ำในบึงที่ล้อมรอบเกาะ The Eye นั้น ทั้งใสและเย็นอย่างเหลื่อเชื่อ ไม่เหมือนสภาพแวดล้อมโดยรอบ หนำซ้ำดินในบึงก็แข็ง ช่างตรงกันข้ามกับสภาพแอ่งหนองบึงรอบ ๆ ส่วนเกาะที่อยู่ตรงกลาง มันลอยอยู่บนอะไรสักอย่างที่พวกเขาก็ไม่อาจตอบได้เหมือนกัน
ความแปลกประหลาดยากอธิบายของ The Eye ยังดึงดูดความสนใจของนักล่ายูเอฟโออย่าง สก็อต ซี วาร์ริ่ง ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ UFO Sightings Daily สก็อตเชื่อว่าสิ่งนี้คือประตูสู่ที่ตั้งฐานลับเอเลี่ยน ดูจากรูปทรงของ The Eye เอง ก็เห็นได้ว่าใหญ่พอจะให้ยานอวกาศขนาด 100 เมตร เข้าไปได้อย่างพอเหมาะพอเจาะเลยทีเดียว และมนุษย์อาจได้คำตอบอะไรมากกว่านี้ หากสามารถลงไปสำรวจในน้ำซึ่งเกาะประหลาดนี้ลอยอยู่ได้
ทางด้านเซอร์จิโอเอง ก็กระหายใคร่รู้ที่จะไขปริศนาของเกาะแห่งนี้ให้ได้ไม่ต่างกัน ทั้งว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้ว เคลื่อนที่เองได้อย่างไร ฯลฯ ซึ่งในตอนนี้ทีมของเขาจึงได้ตั้งขอรับระดมทุนขึ้นในเว็บไซต์ kickstarter เพื่อรวบรวมเงินสำหรับการสำรวจและวิจัยขั้นต่อไป โดยเซอร์จิโอวางแผนจะนำนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ยูเอฟโอ รวมไปถึงผู้มีความสามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสพิเศษลงไปสำรวจ The Eye ด้วยกัน
ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/141579
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
พิพิธภัณฑสถานแห่งอียิปต์ ในกรุงไคโร กำลังจัดแสดงปูมบันทึกด้วยตัวอักษรเฮียโรกลิฟิค (อักษรภาพ) บนกระดาษปาปิรัส ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบกันมาในอียิปต์ มีอายุถึง 4,500 ปี ที่สำคัญก็คือ ปูมบันทึกดังกล่าวนี้ยังบันทึกรายละเอียดบางส่วนของการสร้างมหาปิรามิดแห่งกิซา ไว้อีกด้วย
มหาปิรามิดแห่งกิซา สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ฟาโรห์ คุฟู ซึ่งครองบัลลังก์ระหว่าง 2,551 ปีก่อนคริสตกาลเรื่อยมาจนกระทั่งถึง 2,528 ปีก่อนคริสตกาล ที่ได้ชื่อว่ามหาปิรามิด เนื่องจากเป็นปิรามิดขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาปิรามิดทั้งสามบนที่ราบกิซา
ในปูมบันทึกเก่าแก่ดังกล่าวระบุเอาไว้ว่า “สิ่งมหัศจรรย์ของโลก” นี้เมื่อแรกสร้างเสร็จนั้นสูง 146 เมตร ในปัจจุบันมหาปิรามิดสูงเพียง 138 เมตรเท่านั้น
ปูมบันทึกอายุ 4,500 ปีดังกล่าวถูกค้นพบโดยปิแอร์ ทัลเลต์ นักอียิปต์วิทยาจากมหาวิทยาลัยปารีส-ซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส กับ เกรกอรี มารูอาร์ด นักโบราณคดีจากสถาบันโอเรียทัล ของมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2013 บริเวณแหล่งขุดค้นริมทะเลแดง ที่เมือง วาดี-อัล-จาร์ฟ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุดของอียิปต์ เก่าแก่กว่าท่าเรืออื่นๆ ที่เคยมีการค้นพบไม่ต่ำกว่า 1,000 ปี
ในรายงานรายละเอียดการค้นพบทางโบราณคดีของนักวิชาการทั้งสองซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 2014 ระบุว่า ค้นพบปูมบันทึกดังกล่าวในตัวอาคารซึ่งเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของคลังเก็บของของท่าเรือดังกล่าว ที่อยู่ห่างเข้ามาจากริมทะเลเพียง 200 เมตร ม้วนกระดาษปาปิรัสที่พบมีจำนวนหลายร้อยชิ้น แต่ที่มีสภาพดีเกือบสมบูรณ์มีอยู่เพียง 10 ชิ้น
ในแหล่งเดียวกันนี้ ยังค้นพบเศษซากเรือเก่า สมอเรือยุคโบราณ และปมเชือกที่ใช้กันอยู่ในยุคนั้น
ส่วนหนึ่งของบันทึกเก่าแก่ พูดถึงการที่ส่วนกลางจัดส่งอาหาร ซึ่งหลักๆ แล้วเป็น “ขนมปังและเบียร์” มายังท่าเรือแห่งนี้สำหรับคนงานซึ่งจะออกเรือต่อไป แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นบันทึกเกี่ยวกับรายละเอียดของการสร้างมหาปิรามิด ซึ่งเนื้อหาบ่งบอกว่าเขียนไว้โดย เมอเรอร์ ผู้ทำหน้าที่เป็น “ผู้ตรวจการณ์” ซึ่ง “รับหน้าที่ดูแลทีมงานประกอบด้วยคนราว 200 คน” ในการก่อสร้างดังกล่าว
ปูมบันทึกดังกล่าวเขียนไว้เป็นเหมือนการบันทึกเหตุการณ์ตามตารางเวลา โดยใช้อักษรเฮียโรกลิฟิคสองแถวต่อการบันทึกเหตุการณ์หนึ่งวัน ซึ่งศาสตราจารย์ทัลเลต์ระบุว่า ช่วยให้สามารถติดตามความคืบหน้าในการก่อสร้างได้ต่อเนื่องไปนานราว 3 เดือน
เนื้อหาเป็นการบันทึกถึงกิจกรรมหลายๆ อย่างที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้างมหาปิรามิด รวมถึงงานที่ทำในเหมืองหินปูน ที่อยู่ในอีกฟากหนึ่งของลำน้ำไนล์
ตามปูมบันทึกของเมอเรอร์ ระบุเวลาเอาไว้ว่าเป็นปีที่ 27 ในรัชสมัยของฟาโรห์คุฟู และบอกว่ามหาปิรามิดกำลังใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว งานที่เหลือส่วนใหญ่จะอยู่ที่การทำ “เคสซิง สโตน” หรือแท่งหินปูนขนาดใหญ่ที่ด้านหนึ่งเรียบอีกด้านลาดเอียง สำหรับใช้ปิดคลุมด้านนอกของปิรามิด
ตามข้อมูลในปูมบันทึก แท่งหินปูนสีขาวที่ใช้เป็น “เคสซิง สโตน” นี้ จัดทำขึ้นที่เหมืองในเมืองทูรา ซึ่งปัจจุบันอยู่ใกล้กับกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ จากนั้นก็นำขึ้นเรือล่องมาตามลำน้ำไนล์ และคลองสาขา ในปูมยังบอกไว้ด้วยว่า เรือขนแท่งหินดังกล่าวจากทูรามายังจุดก่อสร้างมหาปิรามิดนั้นใช้เวลา 4 วัน
ในบันทึกกล่าวไว้ด้วยว่าการก่อสร้างในปีที่ 27 ในรัชสมัยฟาโรห์คุฟูนั้น งานก่อสร้างทั้งหมดกำกับดูแลโดยวิเซียร์ อันคาฟ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของฟาโรห์ (วิเซียร์ เป็นตำแหน่งข้าราชสำนักระดับสูง รับใช้องค์ฟาโรห์โดยเฉพาะ)
อย่างไรก็ตามนักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า ในยุคเริ่มแรกของการก่อสร้างมหาปิรามิดนั้น ผู้ควบคุมการก่อสร้างทั้งหมดนั้นน่าจะเป็นบุคคลอื่น เป็นไปได้ว่าจะเป็นวิเซียร์ อีกรายที่ชื่อ เฮมิอูนู
ศาสตราจารย์ทัลเลต์ ชี้ว่า ปูมบันทึกของเมอเรอร์นี้ ถือเป็นบันทึกแรกที่ทำให้ผู้คนยุคหลังได้รับรู้ถึงรายละเอียดของการก่อสร้างมหาปิรามิดแห่งกิซานี้
ที่มา : http://www.matichon.co.th/news/226103
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
นาซาเผย พบดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็ก กำลังโคจรรอบโลก และโคจรรอบดวงอาทิตย์ไปพร้อมๆ กับโลกของเรา มานานกว่า 50 ปีแล้ว...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กดวงหนึ่งชื่อว่า '2016 HO3' กำลังโคจรรอบโลก และเป็นเพื่อนร่วมทางกับโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ไปพร้อมๆ กัน โดยมันอยู่แบบนี้มากนานกว่า 50 ปีแล้ว และเชื่อว่ามันโคจรรอบโลกต่อเนื่องไปอีกหลายร้อยปี
ศ.พอล โคดาส ผู้บริหารศูนย์เพื่อการศึกษาวัตถุใกล้โลก (CNEOS) ของ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ระบุว่า "การคำนวณของเราประเมินว่า 2016 HO3 โคจรรอบโลกในลักษณะเหมือนดาวเทียมมานานเกือบศตวรรษแล้ว และมันจะโคจรตามรูปแบบนี้ในฐานะผู้ร่วมทางกับโลกไปอีกหลายศตวรรษ"
ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ถูกพบโดยกล้องโทรทรรศน์สังเกตการณ์ดาวเคราะห์น้อย 'Pan-STARRS 1' บนภูเขา ฮาเลอากาลา ในรัฐฮาวาย ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2016 มีเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 37-91 เมตร
ศ.โคดาส ยืนยันด้วยว่า ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะไม่มีวันพุ่งชนโลก เพราะมันไม่เคยเข้าใกล้โลกเกินระยะ 14 ล้านกิโลเมตร แต่ด้วยระยะห่างที่มาก ทำให้มันไม่ถูกจัดเป็นดวงจันทร์ตามธรรมชาติ หรือ ดาวบริวารของโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เรียกดาวเคราะห์ดวงนี้ว่า ดาวกึ่งบริวาร (quasi-satellite)
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/640560
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
หากกฎระเบียบสังคมที่ไม่เพียงจะละเอียดยิบย่อยในทุกเรื่องๆ แต่ยังมีแนวทางปฏิบัติแตกต่างกันไปนับไม่ถ้วน ยังไม่ทำให้ระบบการจำของคุณรวนล่ะก็
เรามีข้อปฏิบัติแปลกๆ แต่มีอยู่จริงมาได้รู้จักกัน นั่นคือสนธิสัญญาอวกาศ 11 ข้อ(United Nations Outer Space Treaty) ที่จัดทำขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1967 เพื่อเป็นระเบียบบังคับใช้สำหรับมนุษยชาติทุกคนที่มีโอกาสเดินทางไปนอกโลก ให้รู้ตัวว่าต้องปฏิบัติตนอย่างไรและยังบังคับให้ทำตามอย่างเคร่งครัดอีกด้วย
1. อวกาศก็ไม่ต่างจากพื้นโลก ดังนั้นทุกคนมีสิทธิ์ที่จะสำรวจมันได้ – พูดง่ายก็คือว่าจะเป็นนาซ่าหรือตาสีตาสาที่ไหน ก็สามารถเป็นสำรวจอวกาศได้
2. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการสำรวจที่ว่าต้องเป็นอย่างสันติ – ในสนธิสัญญาระบุว่า…ดวงจันทร์และวัตถุอื่นๆ ในอวกาศจะต้องถูกสำรวจและใช้งานอย่างสันติ
3. ห้ามใช้ดวงดาวหรือวัตถุในอวกาศเป็นที่ตั้งกองทัพ – ไม่ว่าจะเป็นคนหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่สามารถเอาไปไว้ในอวกาศ ได้…จินตนาการ Star Wars จบลงตรงนี้แหละ
4. ไม่มีใครสามารถอ้างสิทธิ์เหนือดวงดาวในอวกาศได้
5. รวมทั้งไม่อนุญาตให้บุคคล องค์กร หน่วยงาน หรือชาติใดก็ตามบนโลกครอบครองวัตถุในอวกาศ
6. อุปกรณ์ใดก็ตามที่ถูกส่งออกไปในอวกาศจะต้องถูกจดทะเบียน
7. ถ้าอุปกรณ์เหล่านั้นเกิดอุบัติเหตุต่อกัน และไม่ว่าจะเป็นผลงานเหล่านั้นจะเป็นของรัฐบาลหรือไม่ รัฐบาลประเทศเจ้าของอุปกรณ์เหล่านั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
8. และจากข้อเมื่อกี้ จึงทำให้เกิดสนธิสัญญาเกี่ยวกับหนี้ในอวกาศด้วย
9. ห้ามผู้ใดทำให้อวกาศปนเปื้อน…ยานสำรวจกับดาวเทียมนี่ไม่นับใช่มั๊ย!?
10. เพราะการเดินทางในอวกาศมีความเสี่ยงมาก จึงมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลจะต้องให้ความช่วยเหลือคนของตนเองอย่างสุดความสามารถ
11. ถึงจะมีระเบียบว่ามิให้ผู้ใดครอบครองชิ้นส่วนต่างๆ จากอวกาศได้ แต่ในปี ค.ศ. 2015 พลเมืองอเมริกาสามารถครอบครอง ขนส่ง ใช้งาน จำหน่ายวัตถุเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ที่มา :https://www.yaklai.com/lifestyle/special-article/11-space-laws/
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
1. อวกาศก็ไม่ต่างจากพื้นโลก ดังนั้นทุกคนมีสิทธิ์ที่จะสำรวจมันได้ – พูดง่ายก็คือว่าจะเป็นนาซ่าหรือตาสีตาสาที่ไหน ก็สามารถเป็นสำรวจอวกาศได้
2. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการสำรวจที่ว่าต้องเป็นอย่างสันติ – ในสนธิสัญญาระบุว่า…ดวงจันทร์และวัตถุอื่นๆ ในอวกาศจะต้องถูกสำรวจและใช้งานอย่างสันติ
3. ห้ามใช้ดวงดาวหรือวัตถุในอวกาศเป็นที่ตั้งกองทัพ – ไม่ว่าจะเป็นคนหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่สามารถเอาไปไว้ในอวกาศ ได้…จินตนาการ Star Wars จบลงตรงนี้แหละ
4. ไม่มีใครสามารถอ้างสิทธิ์เหนือดวงดาวในอวกาศได้
5. รวมทั้งไม่อนุญาตให้บุคคล องค์กร หน่วยงาน หรือชาติใดก็ตามบนโลกครอบครองวัตถุในอวกาศ
6. อุปกรณ์ใดก็ตามที่ถูกส่งออกไปในอวกาศจะต้องถูกจดทะเบียน
7. ถ้าอุปกรณ์เหล่านั้นเกิดอุบัติเหตุต่อกัน และไม่ว่าจะเป็นผลงานเหล่านั้นจะเป็นของรัฐบาลหรือไม่ รัฐบาลประเทศเจ้าของอุปกรณ์เหล่านั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
8. และจากข้อเมื่อกี้ จึงทำให้เกิดสนธิสัญญาเกี่ยวกับหนี้ในอวกาศด้วย
9. ห้ามผู้ใดทำให้อวกาศปนเปื้อน…ยานสำรวจกับดาวเทียมนี่ไม่นับใช่มั๊ย!?
10. เพราะการเดินทางในอวกาศมีความเสี่ยงมาก จึงมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลจะต้องให้ความช่วยเหลือคนของตนเองอย่างสุดความสามารถ
11. ถึงจะมีระเบียบว่ามิให้ผู้ใดครอบครองชิ้นส่วนต่างๆ จากอวกาศได้ แต่ในปี ค.ศ. 2015 พลเมืองอเมริกาสามารถครอบครอง ขนส่ง ใช้งาน จำหน่ายวัตถุเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ที่มา :https://www.yaklai.com/lifestyle/special-article/11-space-laws/
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
สุดยอดสารคดี การกลับมาของมนุษย์ต่างดาว
สุดยอดสารคดี มนุษย์ต่างดาว เหล่าทวยเทพและวีรบุรุษ
โลกหลากมิติ เจาะอดีตลับจากต่างดาว ตอน ผู้มาเยือนใต้พิภพ
อย่างแรกคือ มนุษย์จะพัฒนาศักยภาพด้านความคิดไปเรื่อยจนเป็น Super Human-Human ที่มีขนาดสมองเท่ากับรถยนต์ขนาดเล็ก
และอีกทางคือ การพัฒนาด้านร่างกายและความแข็งแกร่งขนเป็น Superman-like อย่างไรก็ตามนักวิชาการบางคนบอกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะอีกต่อไปเพราะมีเทคโนโลยีเข้ามาหยุดยั้งความสามารถในการเอาตัวรอดทางธรรมชาติไปแล้ว
เช่นเดิม คำตอบก็ยังไม่เป็นที่ยืนยัน แต่ไม่ต้องสงสัยเลย ลักษณะของมุนษย์จะเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา จากการค้นคว้าในปี 2009 ของมหาวิทยาลัยPennsylvaniaพบว่า ภายในปี ค.ศ. 2409
แล้วอะไรคือคำตอบที่แท้จริง
เช่นเดิม คำตอบก็ยังไม่เป็นที่ยืนยัน แต่ไม่ต้องสงสัยเลย ลักษณะของมุนษย์จะเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา จากการค้นคว้าในปี 2009 ของมหาวิทยาลัยPennsylvaniaพบว่า ภายในปี ค.ศ. 2409
ผู้หญิงจะเตี้ยลงโดยเฉลี่ย 2 เซนติเมตรและหนักขึ้นกว่าเดิม 2 กิโลกรัม แน่นอนว่านักวิทยาศาสตร์ผู้ทำโครงการยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถหยุดยั้งโดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร แต่นี่จะหมายความว่ารูปร่างของมนุษย์อาจจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยใช่ไหม
คำตอบคือ ไม่ มันจะเปลี่ยนแต่ก็ยากที่จะคาดการณ์ได้ทั้งรูปร่างและเวลาที่จะเปลี่ยน เพราะการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลาและความเจ็บปวด ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานว่ารูปร่างของมนุษย์ยังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
คำตอบคือ ไม่ มันจะเปลี่ยนแต่ก็ยากที่จะคาดการณ์ได้ทั้งรูปร่างและเวลาที่จะเปลี่ยน เพราะการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลาและความเจ็บปวด ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานว่ารูปร่างของมนุษย์ยังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ก็ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงยังไงกันแน่ วิทยาการณ์แขนงใหม่ๆจะเป็นตัวการหลักที่ยับยั้งการหยุดการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติของเราเพื่อให้พวกเราเป็นผู้เลือกเอง
แต่ในขณะเดียวกัน โรคระบาด ภัยธรรมชาติ และวิกฤติวันสิ้นโลก (อุกกาบาตชนโลก) ก็ยังเป็นตัวแปรสำคัญของการเลือกทางธรรมชาติเช่นกัน แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือ ถ้าอยากรู้ว่าในอนาคตมนุษย์จะมีรูปร่างอย่างไร พวกเราก็ต้องสามารถรู้อนาคตที่แน่นอนให้ได้เสียก่อน (ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้)
เพราะว่ามนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้โดยโดดเดี่ยว การผสมข้ามสายพันธุ์จะเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อเอาตัวรอด ซึ่งหลายๆคนก็เห็นว่านี่แหล่ะ คือภาวะที่โลกเป็นอยู่ตอนนี้ เนื่องจากมนุษย์ในปัจจุบันสามารถเดินทางไปได้ทั่วโลกและมีบุตรหลานกับคนจากต่างเชื้อ ชาติ ศาสนา หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเราสามารถทำได้ด้วยการควบคุมการสืบพันธุ์นั่นเอง
มนุษย์สามารถเลือกได้ว่าจะเลือกใครเป็นคู่ครอง และส่วนมากวัฒนธรรมเป็นตัวการสำคัญ ตัวอย่างเช่น เราตีค่าบุคคลที่ฉลาด มีรูปร่างดี ว่าเหมาะสมกับเราเสมอ ดังนั้นถ้าหากค่านิยมนี้ยังคงคงที่ต่อไป สิ่งนี้ก็จะเป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ พวกเราจะฉลาดขึ้นและแข็งแรงกว่าเดิม ในปัจจุบันมนุษย์ยังสามารถตรวจเช็ตทารกที่อยู่ในครรภ์ได้ด้วยเครื่องมือการแพทย์ และสามารถตัดสินใจเอาเด็กที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์ออก
เป็นไปได้ว่าเราจะสามารถเอาชนะเหนือกฏของร่างกายและเทคโนโลยีทั้งมวลและเปลี่ยนเป็นระบบชีวภาพในร่างกายเรา พวกเราจะกลายเป็น transhuman เช่น ไซบอร์ก (ครึ่งคนครึ่งหุ่นยนต์) เราอาจจะสามารถสแกนสมองตัวเองและเปลี่ยนลงไปในเครื่องจักร บิค บอสตรอม ผู้อำนวยการของสถาบัน the Future of Humanity Institute จากอ็อกฟอร์ดกล่าวว่า เราจะสามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงโดยการเปลี่ยนตัวเองเป็นข้อมูล บางทีก็อาจจะดาวโหลดข้อมูลลงหุ่นยนต์เพื่อไปเดินเที่ยวเวลาว่างๆ ใช้ความคิดได้เร็วกว่าเดิมด้วยระบบปฏิบัติการขั้นสูงสุด และบางทีอาจจะไม่ต้องกินอาหารเพื่อพลังงานอีกเลย
หากว่าเราสามารถหาที่อยู่ใหม่นอกโลกได้ พวกเราจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้นๆ เพราะที่โลกใหม่นั้นอาจจะมีแรงโน้มถ่วงไม่เท่ากับเรา กล้ามเนื้อในตัวเราจะเปลี่ยน โลกพวกนั้นจะร้อนไม่ก็หนาวกว่าโลกของเรา และมีรังสีที่โลกเราไม่มี ดังนั้นเมลานินในผิวเราก็จะเปลี่ยนไปและสีผิวของเราก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของเราจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงของโลกขนานใหญ่ และพวกเราก็คงแทบจะไม่รู้ตัวถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงนั้น จอห์น ฮอคค์ นักมานุษวิทยากล่าวว่า ตั้งแต่ที่คนกลุ่มแรกย้ายถิ่นมาที่อเมริกาเมื่อ 14,000 ปีก่อน จนถึงตอนนี้ รูปร่างของมนุษย์เราก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย
ที่มา : http://www.nextsteptv.com/mysci/?p=3224
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
แต่ถ้าจะพิจารณาถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ทฤษฏีต่างๆที่เคยปรากฏมีดังนี้
ทฤษฏีที่ 1 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ
เพราะว่ามนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้โดยโดดเดี่ยว การผสมข้ามสายพันธุ์จะเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อเอาตัวรอด ซึ่งหลายๆคนก็เห็นว่านี่แหล่ะ คือภาวะที่โลกเป็นอยู่ตอนนี้ เนื่องจากมนุษย์ในปัจจุบันสามารถเดินทางไปได้ทั่วโลกและมีบุตรหลานกับคนจากต่างเชื้อ ชาติ ศาสนา หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเราสามารถทำได้ด้วยการควบคุมการสืบพันธุ์นั่นเอง
ทฤษฏีที่ 2 เราจะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามแรงขับเคลื่อนของรูปแบบวัฒนธรรม
มนุษย์สามารถเลือกได้ว่าจะเลือกใครเป็นคู่ครอง และส่วนมากวัฒนธรรมเป็นตัวการสำคัญ ตัวอย่างเช่น เราตีค่าบุคคลที่ฉลาด มีรูปร่างดี ว่าเหมาะสมกับเราเสมอ ดังนั้นถ้าหากค่านิยมนี้ยังคงคงที่ต่อไป สิ่งนี้ก็จะเป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ พวกเราจะฉลาดขึ้นและแข็งแรงกว่าเดิม ในปัจจุบันมนุษย์ยังสามารถตรวจเช็ตทารกที่อยู่ในครรภ์ได้ด้วยเครื่องมือการแพทย์ และสามารถตัดสินใจเอาเด็กที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์ออก
ทฤษฏีที่ 3 การพัฒนาจะไปตามเครื่องมืออิเล็กทรอนิค
เป็นไปได้ว่าเราจะสามารถเอาชนะเหนือกฏของร่างกายและเทคโนโลยีทั้งมวลและเปลี่ยนเป็นระบบชีวภาพในร่างกายเรา พวกเราจะกลายเป็น transhuman เช่น ไซบอร์ก (ครึ่งคนครึ่งหุ่นยนต์) เราอาจจะสามารถสแกนสมองตัวเองและเปลี่ยนลงไปในเครื่องจักร บิค บอสตรอม ผู้อำนวยการของสถาบัน the Future of Humanity Institute จากอ็อกฟอร์ดกล่าวว่า เราจะสามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงโดยการเปลี่ยนตัวเองเป็นข้อมูล บางทีก็อาจจะดาวโหลดข้อมูลลงหุ่นยนต์เพื่อไปเดินเที่ยวเวลาว่างๆ ใช้ความคิดได้เร็วกว่าเดิมด้วยระบบปฏิบัติการขั้นสูงสุด และบางทีอาจจะไม่ต้องกินอาหารเพื่อพลังงานอีกเลย
ทฤษฏีที่ 4 มนุษย์ต่างดาวคือตัวแปร
หากว่าเราสามารถหาที่อยู่ใหม่นอกโลกได้ พวกเราจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้นๆ เพราะที่โลกใหม่นั้นอาจจะมีแรงโน้มถ่วงไม่เท่ากับเรา กล้ามเนื้อในตัวเราจะเปลี่ยน โลกพวกนั้นจะร้อนไม่ก็หนาวกว่าโลกของเรา และมีรังสีที่โลกเราไม่มี ดังนั้นเมลานินในผิวเราก็จะเปลี่ยนไปและสีผิวของเราก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของเราจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงของโลกขนานใหญ่ และพวกเราก็คงแทบจะไม่รู้ตัวถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงนั้น จอห์น ฮอคค์ นักมานุษวิทยากล่าวว่า ตั้งแต่ที่คนกลุ่มแรกย้ายถิ่นมาที่อเมริกาเมื่อ 14,000 ปีก่อน จนถึงตอนนี้ รูปร่างของมนุษย์เราก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย
ที่มา : http://www.nextsteptv.com/mysci/?p=3224
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง The Matrix คงจะจำกันได้ว่าพระเอกของเราสามารถเรียนรู้กังฟูได้ในเวลาชั่วพริบตาด้วยการโหลดเอาความรู้วิชากังฟูเข้าสู่สมอง ถึงแม้วิธีดังกล่าวจะฟังดูแฟนตาซีเกินจริงอยู่มาก แต่ในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบวิธีที่ใกล้เคียงกับในหนังแล้ว
นักวิจัยจากห้องทดลอง HRL ในแคลิฟอร์เนียกล่าวว่าพวกเขาได้ค้นพบวิธีที่จะทำให้การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆรวดเร็วขึ้น พวกเขาได้ทำการศึกษาคลื่นไฟฟ้าในสมองของนักบินฝึกหัดที่กำลังเรียนรู้การขับเครื่องบินผ่านโปรแกรมจำลองการบิน หลังจากนั้นก็ป้อนข้อมูลเข้าไปในสมองของพวกเขา ผลปรากฎว่านักบินฝึกหัดที่ได้รับการกระตุ้นด้วยวิธีดังกล่าวสามารถเรียนรู้การขับเครื่องบินได้ดีขึ้น 33% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการกระตุ้น ภายในระยะเวลาเดียวกัน
วิธีการป้อนข้อมูลดังกล่าวนี้จะเริ่มจากการศึกษาคลื่นไฟฟ้าในสมองของนักบินมืออาชีพเวลาขับเครื่องบิน หลังจากนั้นทำการเลียนแบบคลื่นไฟฟ้าในสมองของนักบินฝึกหัดให้เหมือนกับนักบินมืออาชีพ ผลของการกระทำดังกล่าวจะทำให้นักบินฝึกหัดเรียนรู้การขับเครื่องบินได้เร็วขึ้น
แม้ในปัจจุบัน การทดลองดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่ ดร. Matthews ผู้ทำการวิจัยเชื่อว่าในอนาคตวิธีการกระตุ้นสมองเช่นนี้จะพัฒนาไปจนถึงระดับที่สามารถทำให้มนุษย์เรียนรู้ทักษะต่างๆ เช่น การขับรถ การเรียนภาษา ได้ในระยะเวลาอันสั้น ใกล้เคียงกับที่เราเห็นในหนัง
ที่มา : https://www.advice.co.th/it-news/1435
____________________
เครดิต : http://www.aripfan.com/matrix-style-learning/
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ นักโบราณคดี จากสำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช ได้ลงพื้นที่สำรวจโบราณสถานในเขตเขาชัยบุรี อ.เมืองเก่า จ.พัทลุง ซึ่งอยู่ในพื้นที่วนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี จ.พัทลุง
โดยนายบำรุงรัตน์ พลอยดำ นักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ หัวหน้าวนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี พบแนวอิฐซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานอย่างชัดเจน ขณะกำลังปรับไถหน้าดินบริเวณพื้นที่สำหรับใช้ก่อสร้างอาคารทรงไทย จึงหยุดดำเนินการ และแจ้งนักโบราณคดี จากสำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช เข้าตรวจสอบ
จากการตรวจสอบในเบื้องต้น หลักฐานที่พบบริเวณที่คาดว่าจะเป็นวัดในยอ (ร้าง) นั้น เพราะร่องรอยที่พบส่วนใหญ่จะเป็นก้อนอิฐ โดยปรากฏทั้งแบบสมบูรณ์ และหักพัง อิฐบางก้อนยังพบเศษคราบปูนเกาะทับ และยังพบใบเสมา ที่ยังคงปักอยู่ในดิน จึงกล่าวได้ว่าโบราณสถานแห่งนี้น่าจะเป็นวัด หรือสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
เมื่อนําลักษณะของอิฐที่พบนั้นมาเปรียบเทียบ จะพบว่าลักษณะของอิฐน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นอย่างน้อยในสมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 21) เป็นต้นมา ประกอบกับหลักฐานจากเอกสารต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเมืองเก่าชัยบุรีแห่งนี้ น่าจะเป็นเมืองที่มีความสําคัญ และใกล้ชิดกับเมืองหลวงอีกเมืองหนึ่ง เนื่องจากได้รับการออกแบบผังเมือง กําแพงเมือง และป้อมปราการ โดยมองสิเออร์เดอ ลาร์มา วิศวกรชาวฝรั่งเศส ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2299)
ที่มา : http://www.matichon.co.th/news/54173
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________