ทางการจีนเข้าร่วมวงกับการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากต่างดาวกับเขาด้วยเต็มตัว ด้วยการใช้เงินมหาศาลสร้าง "กล้องโทรทรรศน์วิทยุ" หรือ "เรดิโอ เทเลสโคป" ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นทางตอนใต้ของประเทศ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีหน้า เพื่อทำหน้าที่ควานหาสัญญาณวิทยุจากต่างกาแล็กซี และติดตามร่องรอยของประวัติศาสตร์จักรวาล
การก่อสร้างกล้องโทรทรรศน์ขนาดยักษ์ดังกล่าวกำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและรุดหน้าไปมากแล้วในหุบเขาแห่งหนึ่งของมณฑลกุ้ยโจวทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนซึ่งมีลักษณะเป็นหุบเขารูปชามอ่างโดยธรรมชาติ และตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองที่ใกล้ที่สุดไม่น้อย ทำให้ไม่มีสัญญาณเสียงจากสภาพแวดล้อมมารบกวน โครงการนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "ไฟว์-ฮันเดรด-มีเตอร์ อะเพอร์เจอร์ สเฟียริคอล เทเลสโคป" เรียกสั้นๆ ว่า "ฟาสท์"
ตัวจานสำหรับสะท้อนสัญญาณเสียงมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 500 เมตร โดยประกอบจากแผงชิ้นส่วนมากถึง 4,450 แผง แต่ละแผงมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมทำนองชิ้นพายที่ตัดแบ่ง ความยาวมากถึง 11 เมตร ทางการจีนประเมินว่าการก่อสร้างน่าจะแล้วเสร็จภายในปีหน้า เมื่อแล้วเสร็จกล้องโทรทรรศน์วิทยุแห่งนี้จะกลายเป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ทำลายสถิติเดิมของหอสังเกตการณ์ อาเรซิโบ ออบเซอร์เวทอรี ซึ่งมีจานรับสัญญาณที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 300 เมตรลง และจะมีขีดความสามารถในการตรวจสอบลึกเข้าไปในห้วงอวกาศไกลกว่าอาเรซิโบ ราว 3 เท่าตัว
หนาน เหรินตง หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำโครงการฟาสท์ของจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานหอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์แห่งชาติ ในสังกัดสถาบันวิชาการวิทยาศาสตร์จีน เปรียบเทียบว่าหอสังเกตการณ์ด้วยสัญญาณวิทยุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ เหมือนหูของคนเราที่มีความไวต่อเสียงสูงมาก ดังนั้น จึงสามารถรับฟังและจำแนกเสียงที่มีความหมายออกจากเสียงทั่วๆ ไปได้ ซึ่งศาสตราจารย์หนานอุปมาว่า เหมือนการฟังและจำแนกเสียงของจั๊กจั่นที่ส่งเสียงร้องท่ามกลางเสียงพายุฝนฟ้าคะนองออกมาได้
จานรับสัญญาณยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าใดยิ่งช่วยให้สามารถรับสัญญาณวิทยุอ่อนๆได้มากขึ้นเท่านั้นทำให้นักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามควานหาสัญญาณวิทยุจากต่างดาวอย่าง เช่น โครงการเซติ หรือโครงการ "เบรกทรู ลิสเซน" สามารถตรวจสอบสัญญาณที่ต้องการได้ยินจากห้วงจักรวาลอันไพศาลกินอาณาบริเวณกว้างมากขึ้นและไปไกลมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ความสามารถในการรับสัญญาณเสียงจากระยะไกลมากๆในห้วงจักรวาลทำให้เรารับรู้ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ จุดนั้นได้ก่อนหน้าที่เสียงจะเดินทางมาถึงโลก ซึ่งเท่ากับว่าเราสามารถสืบค้นสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของจักรวาลได้ย้อนหลังกลับไปไกลมากขึ้นกว่าเดิม
"การมีกล้องโทรทรรศน์ที่มีความไวสูงมากๆทำให้เราสามารถได้รับสัญญาณอ่อนๆรวมถึงสัญญาณวิทยุที่มาจากจุดที่ห่างไกลกว่าได้ดีขึ้น" นายอู๋ เซียงผิง ผู้อำนวยการสมาคมดาราศาสตร์จีน ระบุ
ซึ่งนั่นหมายความว่า เราสามารถสำรวจต้นกำเนิดจักรวาลและหาสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาวได้ดีขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
ที่มา : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1438833609
____________________
หนาน เหรินตง หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำโครงการฟาสท์ของจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานหอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์แห่งชาติ ในสังกัดสถาบันวิชาการวิทยาศาสตร์จีน เปรียบเทียบว่าหอสังเกตการณ์ด้วยสัญญาณวิทยุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ เหมือนหูของคนเราที่มีความไวต่อเสียงสูงมาก ดังนั้น จึงสามารถรับฟังและจำแนกเสียงที่มีความหมายออกจากเสียงทั่วๆ ไปได้ ซึ่งศาสตราจารย์หนานอุปมาว่า เหมือนการฟังและจำแนกเสียงของจั๊กจั่นที่ส่งเสียงร้องท่ามกลางเสียงพายุฝนฟ้าคะนองออกมาได้
จานรับสัญญาณยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าใดยิ่งช่วยให้สามารถรับสัญญาณวิทยุอ่อนๆได้มากขึ้นเท่านั้นทำให้นักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามควานหาสัญญาณวิทยุจากต่างดาวอย่าง เช่น โครงการเซติ หรือโครงการ "เบรกทรู ลิสเซน" สามารถตรวจสอบสัญญาณที่ต้องการได้ยินจากห้วงจักรวาลอันไพศาลกินอาณาบริเวณกว้างมากขึ้นและไปไกลมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ความสามารถในการรับสัญญาณเสียงจากระยะไกลมากๆในห้วงจักรวาลทำให้เรารับรู้ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ จุดนั้นได้ก่อนหน้าที่เสียงจะเดินทางมาถึงโลก ซึ่งเท่ากับว่าเราสามารถสืบค้นสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของจักรวาลได้ย้อนหลังกลับไปไกลมากขึ้นกว่าเดิม
"การมีกล้องโทรทรรศน์ที่มีความไวสูงมากๆทำให้เราสามารถได้รับสัญญาณอ่อนๆรวมถึงสัญญาณวิทยุที่มาจากจุดที่ห่างไกลกว่าได้ดีขึ้น" นายอู๋ เซียงผิง ผู้อำนวยการสมาคมดาราศาสตร์จีน ระบุ
ซึ่งนั่นหมายความว่า เราสามารถสำรวจต้นกำเนิดจักรวาลและหาสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาวได้ดีขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
ที่มา : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1438833609
____________________
ดาวเคราะห์น้อยมูลค่ากว่า 5ล้านล้านเหรียญ
Asteroid 2011 UW-158 ก็คือดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งที่กำลังจะโคจรผ่านโลกในระยะห่างเพียงประมาณ 1.5ล้านไมล์หรือประมาณ 2.4 ล้านกิโลเมตรในวันนี้ (18 กรกฎาคม 2015) การโคจรของดาวเคราะห์น้อย UW-158 ที่เข้ามาใกล้โลกของเราครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อโลกของเราในทุกๆด้าน
แต่ที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจเป็นพิเศษก็เพราะ แกนของดาวเคราะห์น้อย UW-158 เป็น Platinum ที่มีมูลค่าประมาณ 180 ล้านล้านบาท ($5ล้านล้านเหรียญ)
Asteroid 2011 UW-158 มีขนาดประมาณหนึ่งกิโลเมตร นักวิทยาศาสตร์จัดให้อยู่ในกลุ่ม X-Type Asteroid ซึ่งมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นโลหะ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า X-Type Asteroid คือส่วนที่เหลือของดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ซึ่งเปลือกนอกหลุดออกจนเหลือแต่แกนโลหะเพราะแรงปะทะในยุคเริ่มต้นของสุริยะจักรวาล ปัจจุบันมีการค้นพบ X-Type Asteroid มากกว่าสิบดวง
ข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์คาดว่าโลหะบนดาวเคราะห์น้อย UW-158 เป็น Platinum น้ำหนักประมาณ 90 ล้านตันซึ่งมีมูลค่าประมาณ180 ล้านล้านบาท หรือ $5ล้านล้านเหรียญ
Asteroid 2011 UW-158 มีขนาดประมาณหนึ่งกิโลเมตร นักวิทยาศาสตร์จัดให้อยู่ในกลุ่ม X-Type Asteroid ซึ่งมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นโลหะ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า X-Type Asteroid คือส่วนที่เหลือของดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ซึ่งเปลือกนอกหลุดออกจนเหลือแต่แกนโลหะเพราะแรงปะทะในยุคเริ่มต้นของสุริยะจักรวาล ปัจจุบันมีการค้นพบ X-Type Asteroid มากกว่าสิบดวง
ข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์คาดว่าโลหะบนดาวเคราะห์น้อย UW-158 เป็น Platinum น้ำหนักประมาณ 90 ล้านตันซึ่งมีมูลค่าประมาณ180 ล้านล้านบาท หรือ $5ล้านล้านเหรียญ
แน่นอนว่ามูลค่ามหาศาลขนาดนี้ทำให้เริ่มมีความคิดที่จะขุดแร่นี้มาใช้ประโยชน์ โดย Planetary Resources บริษัทที่ทำธุรกิจด้านอวกาศเริ่มวางโครงการพัฒนาอุปกรณ์สำรวจแร่บนดาวเคราะห์น้อยซึ่งเป็นโครงการระยะยาวที่อาจใช้เวลาหลายสิบปี
ที่มา : http://www.amazingglobe.info/2015/07/asteroid-2011-uw-158-platinum.html
____________________
________________________________
ที่มา : http://www.amazingglobe.info/2015/07/asteroid-2011-uw-158-platinum.html
____________________
________________________________
"ยานฟิเล" ที่ร่อนลงจอดบนดาวหางสำเร็จ อาจนำสิ่งมีชีวิตต่างดาวกลับมายังโลกหลังพื้นผิวดาวอาจเป็นแหล่งกำเนิดสิ่งมีชีวิต
ยาน ฟิเล หรือ (ฟายลี/Philae) ร่อนลงจอดที่ดาวหาง 67พี/ชูรีวมอฟ-เกราซีเมนโค ได้สำเร็จ คือปรากฏการณ์ที่องค์การอวกาศยุโรปเฝ้ารอมานานเกิน 10 ปี
ล่าสุด ยานลำนี้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อนักชีวดาราศาสตร์ที่ร่วมวางแผนภารกิจนี้เผยว่า มีความเป็นไปได้ที่ดาวหางดังกล่าวจะเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กนอกโลก ซึ่งอาจส่งผลให้ในอนาคต ยานลำนี้อาจนำสิ่งมีชีวิตต่างดาวกลับมาที่โลกมนุษย์ด้วย
ข้อสันนิษฐานนี้มีขึ้นหลังจากที่ฟิเลร่อนลงจอดบนพื้นผิวเมื่อปลายปีที่แล้ว และได้ถ่ายภาพของพื้นผิวดาวส่งกลับมายังจุดรับสัญญาณบนโลก
จากการศึกษา พบพื้นผิวที่เป็นไฮโดรคาร์บอนสีดำ มีชั้นน้ำแข็งอยู่ด้านล่าง ซึ่งมีลักษณะเหมือนทะเลน้ำแข็ง และมีพื้นที่คล้ายแอ่งที่มีของเหลวเยือกแข็งที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ ซึ่งตามปกติแล้ว สิ่งมีชีวิตสามารถจะอยู่ได้ แม้จะมีอุณหภูมิต่ำถึง -40 องศาเซลเซียส
ภาพ เอเอฟพี
ที่มา : posttoday.com
____________________
มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก เชื่อว่า วันหนึ่งข้างหน้า มนุษย์โลกจะมีโอกาส ถ่ายทอดความคิด สื่อสารทางโทรจิตถึงกันโดยตรง โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวเชื่อม และนี่คือทิศทางของเฟซบุ๊กในอนาคตข้างหน้า
“มันจะเป็นเหมือนกับว่า เวลาคุณกำลังคิดถึงอะไร เพื่อนของคุณก็จะรับรู้ถึงสิ่งที่คุณคิดในทันที และนี่คือที่สุดของเทคโนโลยีการสื่อสาร”
ซัคเกอร์เบิร์ก เปิดเผยเรื่องนี้ระหว่างการตอบคำถามจากผู้ใช้ ซึ่งถามว่าแผนระยะยาวของเฟซบุ๊ก จะเป็นเช่นไร
ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เฟซบุ๊กพัฒนาบริการเพื่อตอบสนองการสื่อสารของผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นจากบริการหน้าโปรไฟล์ธรรมดา จนไปถึงการแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ แถมการกดไลค์ Like แบ่งกลุ่มเพื่อน ตลอดจนบริการอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริการของเฟซบุ๊กเริ่มขยับจากการแชร์ข้อมูลสาธารณะ เป็นเน้นการสื่อสารส่วนบุคคลมากขึ้น นั่นเป็นที่มาของการเข้าซื้อกิจการแอพพลิเคชั่นข้อความสนทนา “วอทส์แอพ” WhatsApp ด้วยมูลค่า กว่า 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เช่นเดียวกับการเข้าซื้อกิจการ Oculus ผู้ผลิตอุปกรณ์สวมใส่ที่ใช้แสดงภาพ 3 มิติเสมือนจริง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า เฟซบุ๊กกำลังเดินหน้าเข้าสู่บริการเสมือนจริง เพื่อยกระดับการสื่อสารผ่านเฟซบุ๊กขึ้นไปอีกขั้น
ความจริงแล้ว การสื่อสารผ่านทางโทรจิตหรือการถ่ายทอดความคิดส่งตรงถึงกัน (Telepathy) นั้น มิใช่เรื่องใหม่ ที่อยู่ห่างไกลอีกต่อไป
มีนักวิทยาศาสตร์หลายแขนง กำลังคิดค้นการใช้คอมพิวเตอร์ถ่ายทอดความคิดของบุคคล เพื่อส่งตรงถึงกันโดยใช้ศักยภาพของคอมพิวเตอร์ในการแปลงคลื่นสมองเป็นข้อมูล
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/509357
____________________
วันที่ 2 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวัน UFO โลก !!!
เพื่อให้ตระหนักถึงการมีอยู่ของ Unidentified Flying Objects หรือ UFO ซึ่งหมายถึง วัตถุบินที่ไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ได้
เป็นวันที่เหล่าผู้คนที่สนใจ ค้นคว้า UFO มารวมตัวกันเฝ้ามองท้องฟ้าเพื่อค้นหา UFO
และเพื่อสนับสนุน ให้รัฐบาลประเทศต่างๆทั่วโลก เปิดเผยการพบเจอ UFO ตลอดช่วงเวลที่ผ่านมา
อ้างอิง : http://mono29.mthai.com/
________________________________
วานนี้ (พุธ) องค์การการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ หรือนาซา เปิดเผยภาพถ่ายล่าสุดจากยานสำรวจ "ดอว์น" ที่กำลังสำรวจพื้นผิวดาวเซเรส ดาวเคราะห์แคระที่โคจรอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสสบดี พบว่ามีสิ่งที่ดูคล้ายกับ ภูเขาพีระมิด บนดาวดวงนี้
โดยภาพถ่ายเหล่านี้ ยานสำรวจดอว์นบันทึกภาพไว้เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา จากระยะห่างประมาณ 4,320 กิโลเมตร สำหรับภูเขานี้เป็นลักษณะพื้นผิวที่มีความลาดชันสูงขึ้นไป คล้ายกับพีระมิด มีความสูงจากพื้นผิวประมาณ 5 กิโลเมตรและมีแสงสว่างปริศนาออกมาจากตรงกลาง เช่นเดียวกับแสงสว่างจากพื้นผิวตรงจุดอื่นๆ ที่ยานสำรวจดอว์น เคยบันทึกภาพไว้ได้ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
บรรดาผู้ติดตามความเคลื่อนไหวในแวดวงวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ต่างลงความเห็นว่า ภาพที่เห็นนี้คล้ายกับสิ่งปลูกสร้าง หรือพีระมิดของมนุษย์ต่างดาว หรือไม่ก็แสงสว่างนั้นอาจเป็นลำแสงของยานอวกาศที่ลงจอดอยู่บนดาวดวงนี้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นชุมชนเอเลี่ยน เพราะเมื่อลองเทียบดูแล้วมีความสว่างพอๆกับแสงของเมืองลาสเวกัส ในสหรัฐถ้าเรามองจากนอกโลกเลยทีเดียว
ขณะที่บางคนแย้งว่า นี่อาจจะเป็นลักษณะพื้นผิวที่ดูแปลกไป และเป็นปรากฎการณ์แปลกที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวของดาวเท่านั้น ด้านองค์การนาซ่าระบุว่า กำลังเร่งไขปริศนาจากภาพถ่ายที่ยานสำรวจดอว์นกำลังจะส่งมาเพิ่มเติม ก่อนที่เชื้อเพลิงของยานลำนี้จะหมดลงในเร็วๆนี้
ที่มา : http://www.thairath.co.th/clip/20853
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ทอม วากก์ กำลังทำงานหาประสบการณ์ที่มหาวิทยาลัยคีล โดยได้ค้นพบว่ามีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งทำให้แสงของดาวแม่ลดลงไปเมื่อดาวเคราะห์ดวงนี้โคจรผ่านหน้าดาวแม่
"ผมตื่นเต้นมากที่ได้ค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ และผมก็ประทับใจที่ผมสามารถหามันเจอทั้งที่มันไกลออกไป" ทอม ที่ปัจจุบันอายุ 17 ปีเผย โดยได้ใช้เวลาสองปีสำรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ค้นพบนั้นเป็นดาวเคราะห์จริงๆ
ทอมค้นพบดาวเคราะห์โดยดูที่ข้อมูลที่รวบรวมมาจากโครงการค้นหาดาวเคราะห์มุมกว้าง (WASP) ที่มีการสำรวจท้องฟ้ายามค่ำคืนเพื่อติดตามดูดวงดาวหลายล้านดวงเพื่อหาร่องรอยของการเคลื่อนที่ผ่านหน้า (การทรานซิต) ที่เกิดจากดาวเคราะห์โคจรผ่านหน้าดาวฤกษ์ดวงแม่
ดาวเคราะห์ของทอมมีชื่อว่า WASP-142b เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 142 ที่ถูกค้นพบในโครงการ WASP อยู่ทางกลุ่มดาวไฮดราทางซีกฟ้าใต้ ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ทั่วโลกค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะกว่า 1,000 ดวงแล้ว แต่ทอมน่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ค้นพบดาวเคราะห์
"ซอฟต์แวร์ของ WASP น่าประทับใจมาก ทำให้ผมสามารถค้นหาดาวเคราะห์จากดาวแม่หลายร้อยดวงได้ หาเพียงแค่ไม่กี่ดวงที่มีดาวเคราะห์" ทอมเผย
ดาวเคราะห์ดวงที่พบนั้นมีขนาดเท่ากับดาวพฤหัส แต่โคจรรอบดาวแม่โดยใช้เวลาเพียงสองวัน ด้วยระยะที่สั้นเท่านี้จึงทำให้เกิดการทรานซิตบ่อย ทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้พบได้ง่าย
แม้ดาวเคราะห์ดวงนี้จะอยู่ไกลออกไปจนไม่สามารถเห็นได้โดยตรง ศิลปินก็ได้จินตนาการว่าหน้าตาของดวงดาวจะเป็นอย่างไรและได้วาดภาพออกมา ท้องฟ้าของดาวเคราะห์มีดาวแม่ที่ร้อนและแผ่รังสีไปสู่ดาว ในขณะที่อีกด้านหนึ่งของดาวมีความหนาวกว่ามาก
ทอม เป็นนักเรียนที่โรงเรียน Newcastle-under-Lyme มีความสนใจในด้านวิทยาศาสตร์ จึงได้หาประสบการณ์ทำงานหลังเลิกเรียนที่มหาวิทยาลัยคีลหลังทราบว่าที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีโครงการสำรวจดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ
"ทอมพยายามจะเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และการสอนเขาให้ค้นหาดาวเคราะห์ก็เป็นเรื่องง่าย" ศาสตราจารย์โคล เฮลลิเออร์ หัวหน้าโครงการ WASP ที่คีลเผย โดยทอมนั้นมีต้องการจะเข้ามาศึกษาฟิสิกส์ต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้
ดาวเคราะห์ดวงนี้จัดเป็น"ดาวพฤหัสร้อน"ชนิดหนึ่ง กล่าวคือ ไม่เหมือนกับดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเรา เพราะมีวงโคจรที่ใกล้ดาวแม่มาก คาดว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆของดาวแม่นี้ผลักให้เข้ามาในวงโคจรข้างใน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า ดาวเคราะห์ของทอมนี้ไม่ได้เป็นดวงเดียวที่โคจรรอบดาวแม่ดวงนี้
ดาวเคราะห์ดวงนี้ยังไม่ได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ แต่สหพันธ์ดาราศาสตร์สากลได้เริ่มประกวดชื่อแล้ว ทอมก็กำลังตั้งชื่อดาวของเขาเองด้วยเช่นกัน
ที่มา : http://www.vcharkarn.com/vnews/502438
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ในวงการดาราศาสตร์ เมื่อยานสำรวจพบแก้วบนดาวอังคาร นักดาราศาสตร์เชื่อ เป็นอีกหนทางในการหาสิ่งมีชีวิต
วันนี้ (11 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยานอวกาศ "มาร์ส รีคอนเนสเซนซ์ ออร์บิเตอร์" (MRO) ขององค์การนาซาที่ส่งขึ้นไปสำรวจบนดาวอังคาร ได้ค้นพบวันสดุที่เป็นแก้ว ปนอยู่กับเถ้าถ่านภูเขาไฟบนพื้นผิวดาวอังคาร ซึ่งนับเป็นการค้นพบครั้งสำคัญในวงการดาราศาสตร์ และอาจทำให้เราเข้าใจความเป็นมาของดาวอังคารมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยบราวน์ มลรัฐโรดไอแลนด์ เผยว่า ก่อนหน้านี้ การสำรวจและศึกษาดาวอังคารจะมุ่งไปที่การค้นหาร่องรอยของแหล่งน้ำจากตะกอนในชั้นหิน ที่เชื่อกันว่าอาจมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวอังคารจริงหรือไม่ แต่เมื่อได้พบวัสดุแก้วดังกล่าว ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อาจเป็นเส้นทางใหม่ในการค้นหาสิ่งมีชีวิตก็เป็นได้
นอกจากนี้ นายบิลล์ นาย ประธานบริหารองค์การด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ในสหรัฐฯ ที่มีชื่อว่า "เดอะ แพลเนแทรี โซไซตี" ยังได้ให้ความเห็นว่า หากสามารถนำวัสดุแก้วกลับมายังโลกเพื่อตรวจสอบได้ จะเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อวงการวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์
ที่มา : http://disaster.tnews.co.th/content/147007/
____________________
ฮือฮา!เม็กซิโกเปิดเผยภาพถ่ายที่ระบุว่าเป็นมนุษ์ต่างดาว ผู้เชี่ยวชาญยันไม่มีการตกแต่งภาพใด
วันนี้ (7 พ.ค. 58) สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน งานเปิดตัวภาพถ่ายของมนุษย์ต่างดาวจัดขึ้นในงานที่มีชื่อว่า "มาเป็นประจักษ์พยาน" ณ หอประชุมแห่งชาติในกรุงเม็กซิโก ซิตี้ ประเทศเม็กซิโก โดยมีนายไฮเม มอสซาน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยูเอฟโอ และจัดรายการเกี่ยวกับยูเอฟโอในเม็กซิโกเป็นพิธีกร เขาได้นำภาพของมนุษย์ต่างดาว หรือเอเลี่ยน ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนมาเปิดเผย เพื่อที่จะยืนยันว่ามนุษย์ต่างดาวนั้นมีอยู่จริง โดยภาพถ่ายที่นำมาให้ดูกันนั้นเป็นของนายเบอร์นาร์ด เอ เรย์ นักธรณีวิทยาที่ถ่ายไว้ในช่วงปี 2490-2492 แสดงให้เห็นถึงร่างของมนุษย์ต่างดาวที่ตายไปแล้ว หลังมีจานบินลึกลับตกที่เมืองรอสเวลล์ รัฐนิวเม็กซิโกของสหรัฐฯ เมื่อปี 2490 จนทำให้ผู้คนตั้งข้อสงสัยกันว่ามีมนุษย์ต่างดาวบนโลกนี้จริงหรือไม่
สำหรับภาพถ่ายทั้งหมดที่นำมาเปิดเผยนี้ พบอยู่ในกล่องที่ห้องใต้หลังคาของบ้านหลังหนึ่งในเมืองเซโดนา รัฐแอริโซนา นายมอสซาน กล่าวว่า ใช้เวลาวิเคราะห์ภาพถึง 5 ปี จึงยืนยันได้ว่าเป็นภาพถ่ายมนุษย์ต่างดาวของจริง เพราะไม่มีการใช้เทคนิคตกแต่งภาพใดๆ แน่นอน และยังไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนอีกด้วย ซึ่งเป็นหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามนุษย์ต่างดาวนั้นมีอยู่จริง
อย่างไรก็ดี เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวนั้น ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน แม้กระทั่งองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ(นาซา) ก็ยังไม่เคยยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเคยพบมนุษย์ต่างดาวบนโลกใบนี้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวของสหรัฐฯ บอกว่าได้เห็นภาพถ่ายแล้ว เชื่อว่าไม่ใช่ซากศพมนุษย์ มัมมี หรือหุ่นจำลอง แต่ต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่า เป็นภาพของมนุษย์ต่างดาวจริงๆ
ที่มา : http://www.tnnthailand.com/news_detail.php?id=64870&t=news
____________________
Paul Hellyer อดีตรัฐมนตรีแคนาดา ได้ร้องขอให้ผู้นำทั่วโลกเปิดเผยเรื่องของสิ่งมีชีวิตที่มาจากนอกโลก(มนุษย์ต่างดาว) เขาได้ออกมาแสดงความคิดเห็นคณะไปบรรยายในมหาวิทยาลัยแคลกะรี รัฐแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา
อดีตรัฐมนตรีเผยว่า สิ่งมีชีวิตจากนอกโลกเดินทางมายังโลกของเราแล้วเป็นเวลากว่าพันๆ ปี และมีบางส่วนที่อาศัยอยู่บนดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดวงจันทร์ของดาวเสาร์ หนึ่งในนั้นถูกเรียกว่า Tall Whites ซึ่งกำลังทำงานร่วมกับกองทัพอากาศสหรัฐ โดยเมื่อปี 2005 ที่ผ่านมาเขาเป็นคนที่ออกมาพูดเรื่องสิ่งมีชีวิตนอกโลกอย่างจริงจัง
ทอร์ ไวท์ คือชื่อที่ใช้เรียกสิ่งมีชีวิตต่างดาว ที่มีลักษณะตัวสูง มีผิวขาวซีด หรือ เอเลี่ยนนั่นเอง ซึ่งเชื่อกันว่ามีความฉลาดและวิทยาการที่พัฒนามากกว่ามนุษย์หลายต่อหลายเท่านัก
เครดิต : http://www.flagfrog.com/canada-man-tell-ufo/
________________________________
มีสิ่งประดิษฐ์อย่างน้อยหนึ่งชิ้นที่พิสูจน์ว่า อารยธรรมหนึ่งในโลกโบราณเป็นเจ้าของเทคนิคที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่คาดถึงมาก่อน มันถูกพบในทะเลนอก เกาะแอนติไกเธอร่า (antikythera) อันเป็นเกาะเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของครีท มันจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่า(Antikythera Machine)
มันถูกค้นพบจากเรือที่อับปางลำหนึ่งที่ถูกค้นพบในปี 1900โดยทีมนักดำน้ำที่ตัดสินใจที่จะลองหาฟองน้ำบนโขดหินนอกเกาะแอนติไกเธอร่า แต่เรือของพวกเขาโดนพายุเล่นงานเข้าอย่างจังจนเรือออกนอกเส้นทาง ในสถาวะสับสนนี้เองกัปตันดีมีทรีออส คอนดอสผู้บังคับเรือเลยคิดเอาเรือไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปบริเวณน้ำนิ่ง ที่ปลายแหลมทางทิศเหนือของเกาะแอนติไกเธอร่า
ดีมีทรีออสจอดเรือพัก คอยแล้วคอยเล่าพายุก็ไม่สงบจนเวลาผ่านไปสองสามวัน จนพวกเขาเบื่อเลยหาอะไรฆ่าเวลา โดยดำน้ำหาฟองน้ำแถวนั้น และแล้วลูกเรือคนหนึ่งชื่ออลายอัส สตาเดียตีสก็พบเรือยุค ค.ศ. 50 ที่บรรทุกรูปปั้นเต็มลำ ในความลึก 140 ฟุต
ต่อมาการค้นพบในครั้งนี้ทำให้รัฐบาลกรีกยืนมาช่วยเหลือ(กรีกกับกริซเป็นคนละประเทศนะครับ ขอบอกไว้ก่อน)ได้ยื่นมือกู้สมบัติ กว่าจะกู้หมดใช้เวลา 9 เดือน พวกเขาก็นำเอารูปปั้นหินอ่อนและบรอนซ์ขึ้นมา และนำพวกมันไปยังพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติในกรุงเอเธนส์ เพื่อทำความสะอาดและบูรณะ
พนักงานของพิพิธภัณฑ์ตื่นตาตื่นใจในความงามและปริมาณที่มีอยู่มากมายของสิ่งของ ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจที่ต้องใช้เวลาหลายเดือน ก่อนที่จะมีใครมองดูซากบรอนซ์ที่ผุกร่อนสองสามชิ้นที่ถูกค้นพบมาพร้อมกันอย่างใกล้ชิด เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1902นักโบราณคดีชั้นนำผู้หนึ่ง คือ วาเลอริออส สตาอิส ได้ตรวจพบมันในที่สุด เขาสังเกตเห็นสมบัติที่งมขึ้นมีชิ้นเดียวที่ถูกละเลยกองรวมรูปหล่อบรอนซ์และรูปสลักหินอ่อนไม่สมบูรณ์อื่นๆ แถวรูปร่างของมันคล้ายนาฬืกามีโครงร่างซี่ล้อผุพัง ในไม่ช้าก็มีการโต้เถียงกันขึ้น ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่ามันเป็นล้อฟันเฟืองของจานกลุ่มดาว ซึ่งนักดาราศาสตร์ใช้ในการวัดการขึ้นของดวงอาทิตย์
ต่อมามีการเรียกสมบัติชิ้นนี้ว่า เครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่า(Antikythera Machine)
วาเลอริออสได้ประกาศสิ่งที่เขาพบว่านี้คือเครื่องกลไกทางดาราศาสตร์โบราณ แต่ก็มีการโต้เถียงในเวลาต่อมา เพราะหลายคนไม่เชื่อว่าคนสมัยก่อนไม่น่าจะมีหัวคิดในเรื่องกลไกลสลับซับซ้อนแบบนี้ได้ แม้จะเก่งเรื่องคณิตศาสตร์ก็ตาม
บางคนก็แย้งคำกล่าวนั้น สิ่งที่แน่นอนคือ ข้อความที่เขียนไว้บนสิ่งนั้นชี้ให้เห็นว่าเครื่องจักรกลนั้นถูกสร้างขึ้นในราวปีที่ 80 ก่อนคริสตกาล แต่ก็ยังต้องรอจนกระทั่งปี 1958 เครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่าจึงได้รับการตรวจสอบเป็นครั้งแรกโดยชายผู้หนึ่ง ที่ได้เปิดเผยระดับเทคนิคของผู้ที่สร้างมันต่อโลก
ดีเรค เอด ซอลลา ไพรซ์ ชาวอังกฤษผู้ที่ขณะนั้นเป็นศาสตรจารย์ในสาขาประวัติศาสตร์-วิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเยล อเมริกา เขาพบเครื่องจักรกลขณะที่กำลังศึกษาประวัติของเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์อยู่ เขาได้ไปเยือนพิพิธภัณฑ์เอเธนส์ เขาตกตลึงในสิ่งที่เขาเห็น "ไม่มีอะไรที่เหมือนเครื่องมือนี้ถูกเก็บรักษาเอาไว้ที่ใดเลย" เขาเขียน "ไม่มีอะไรที่จะเทียบกับมันได้เลย ทั้งจากสิ่งของที่เป็นที่รู้จักจากตำราวิทยาศาสตร์หรือวรรณคดีโบราณ ตรงกันข้ามจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เรารู้จักของยุคเฮเลนนิสติกทั้งหมด เราน่าที่จะเข้าใจว่าสิ่งประดิษฐ์เช่นนี้ไม่อาจที่จะมีอยู่"
การเตรียมการทำงานกับส่วนประกอบซากบรอนซ์ ได้เปิดเผยถึงส่วนประกอบย่อยๆ ด้านนอกประกอบด้วยหน้าปัทม์ที่ติดตั้งในกล่องไม้ และภายในมีล้อเฟืองอย่างน้อย 20 อัน ตัวกล่องปกคลุมด้วยคำจารึก ซึ่งรวมถึงปฏิทินทางด้านดาราศาสตร์ แต่ชิ้นที่น่าสนใจที่สุดของทั้งหมดคือเครื่องจักรกลที่รวบรวมระบบฟันเฟืองที่แตกต่างกันโดยอย่างสิ้นเชิง นี่คือสิ่งที่ทำให้ไพรส์ตกตะลึง เพราะตามประวัติศาสตร์ได้มีการคิดระบบฟันเฟืองที่ซับซ้อนถึงเช่นนี้ปรากฏเป็นครั้งแรก ในตัวเรือนนาฬิกาที่สร้างขึ้นในปี 1575
มากกว่าหนึ่งทศวรรษที่ไพรส์ได้บากบั่นประกอบเครื่องจักรกลจากส่วนประกอบที่ผุกร่อน แต่จนกระทั่งปี 1971 ภาพถ่ายนเอ็กซ์เรย์ได้ถ่ายภาพให้ไพรส์ โดยคณะพลังงานอะตอมของกรีก ซึ่งในที่สุดก้อได้เปิดเผยเครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่า ที่ประกอบฟันเฟืองเข้ากันอย่างสมบูรณ์ นับแต่นาฬิกาบอกเวลาจากศตวรรษที่ 13 ซึ่งเรารู้จักกันก็ยังมีระบบเฟืองที่ธรรมดากว่า ปฏิกิริยาของไพรส์เป็นความเข้าใจ "ผมจำเป็นต้องสารภาพว่า มีหลายครั้งในช่วงเวลาของการสืบเสาะ ผมต้องตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนและสงสัยว่ามีวิธีการประกอบหรือไม่จากตำรา, คำจารึก , บันทึกทางดาราศาสตร์ และรวมไปถึงทุกสิ่งที่บ่งชี้ไปจนถึงศตวรรษแรกก่อนคริสตกาลด้วย"
ไม่มีใครรู้ว่าเครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่าใช้อย่างไร หรือมันไปทำอะไรในเรือที่บรรทุกรูปปั้น แต่ตัวของไพรส์คิดว่ามันอาจเป็นตัวแทนของจักรวาลเป็นงานศิลปมากกว่าที่จะเป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เขายังเชื่อว่ามันอาจเป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอดเทคนิคการติดตั้งเฟืองที่ตกทอดให้แก่คนรุ่นหลัง จากกรีก โบราณให้กับผู้รับช่วงชาวมุสลิม และท้ายที่สุดก็ออกดอกออกผลมาเป็นนาฬิกาทางดาราศาสตร์ของชาวยุโรปผู้ยิ่งใหญ่ในยุคกลาง และเครื่องจักรกลแอนดิคีเธอร่าต้องจัดให้เป็นอย่างที่ไพรส์กล่าวว่า"เป็นหนึ่งในประดิษฐกรรมพื้นฐานทางด้านเครื่องจักรกลทางเวลาทั้งหมด"
อย่างไรก็ตามการค้นพบ เครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่า(Antikythera Machine) นั้นเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญชิ้นแรก ที่จุดประกายให้มีการลบล้างความเข้าใจดั้งเดิมที่เชื่อๆ กันว่าคนโบราณนั้นฉลาดเหลือเชื่อ(หรือเป็นผลงานของมนุษย์ต่างดาวกันแน่
ล่าสุดละ
ใน 2006 ทีข้อสันนิษฐานใหม่คือ เครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่าเป็นเครื่องบอกตำแหน่งจักรวาล
ในปี 2008 การคาดว่าเครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่าเป็นเครื่องบอกที่ตั้งของ"ดาวเคราะห์โดยเสมือนหนึ่งหนังสือโบราณ
ที่มา :
hxxp://en.wikipedia.org/wiki/Antikythera_mechanism++
hxxp://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php…____________________
เครดิต :
hxxps://www.facebook.com/NiyayXeaMaChaer?fref=photo________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ในสมัยก่อน ผู้คนมักจินตนาการรูปร่างของสัตว์ คน และสิ่งอื่นๆ จากการจัดเรียงตัวของดวงดาวยามค่ำคืนที่อยู่บนท้องฟ้า เมื่อรวมๆ กันจะกลายเป็นกลุ่มดาว ในตอนนี้นักบินอวกาศได้นำรูปภาพที่คล้ายกับหน้าพร้อมกับรอยยิ้มในศูนย์กลางของภาพนี้มาเปิดเผย ซึ่งภาพนี้ถูกถ่ายโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิ้ล
ใบหน้านั้นอยู่ในกลุ่มของกาแล็กซี่ ซึ่งเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ของดวงดาว นักบินอวกาศได้ให้ชื่อกลุ่มดวงดาวนี้ซึ่งยากต่อการจดจำว่า SDSS J1038+4849
ดวงตาสองดวงที่เป็นสีส้มนั้นลอยอยู่เหนือกับจมูกที่เป็นแสงสีขาว ตาสองข้างนั้นจริงๆ แล้วเป็นกาแล็กซี่ที่มีความสว่างมากๆ ซึ่งอยู่ไกลประมาณ 4.5 พันล้านปีแสง รอยยิ้มและขอบของใบหน้านั้นไม่ได้มีอยู่จริงๆ เส้นที่เป็นส่วนโค้งเหล่านั้นเป็นแสงที่เกิดการบิดเบี้ยว ซึ่งมาจากผลกระทบที่เราเรียกกันว่า gravitational lensing ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จาก National Aeronautics and Space Administration and the European Space Agency (ESA) ได้อธิบายไว้
กลุ่มของกาแล็กซี่นั้นมีขนาดใหญ่มาก ในความจริงแล้ว พวกมันเป็นสิ่งที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในจักรวาล แรงโน้มถ่วงนั้นทำตัวคล้ายกับเลนส์ของแว่นตาที่มีความหนาหรือที่เรียกว่ากล้องโทรทรรศน์ แต่ gravitational lens นั่นมีความรุนแรงมากกว่าซึ่งมันไม่เพียงสามารถขยายแต่ยังบิดแสงด้านหลังของมันได้ด้วย “การค้นพบที่มากมายของกล้องฮับเบิ้ลนั้นเป็นไปได้ที่เกิดจากเลนส์แบบนี้” NASA ชี้แจงไว้
กว่าร้อยปีที่ผ่านมา Albert Einstein เป็นผู้เสนอคนแรกว่า แสงสามารถบิดโค้งได้โดยแรงโน้มถ่วงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฏีสัมพันธภาพ หลังจากนั้นอีก 21 ปี Einstein ได้เขียนวารสารทางวิชาการอธิบายเกี่ยวกับภาพของแสงที่ถูกบิดโค้งนั้นว่าสามารถเกิดขึ้นได้ มันได้รับขนานนามว่า Einstein ring เมื่อวัตถุขนาดใหญ่บางชนิดทำตัวคล้ายกับเลนส์ แสงที่โค้งอาจจะปรากฏขึ้นในลักษณะที่โค้งเป็นบางส่วนหรือเป็นวงกลม
ในภาพนี้ ภาพของแสงที่บิดโค้งได้ถูกสร้างขึ้นเป็นส่วนโค้งของรอยยิ้มและรูปโครงหน้า โดยดวงตานั้นทำให้เกิดเลนส์ขึ้นซึ่งทำให้เกิดรอยยิ้มเช่นนี้ แสงของมันมาจากแสงที่อยู่ด้านหลังของดวงตาซึ่งไกลกว่า 3 พันล้านปีแสง
นักบินอวกาศจับภาพลักษณะนี้ไว้ได้ในขณะที่ใช้กล้องฮับเบิ้ลสองตัว ศิลปิน Judy Schmidt ได้นำภาพนี้เข้าประกวดในงาน ESA’s Hubble’s Hidden Treasures contest
ที่มา : http://www.vcharkarn.com/vnews/501760
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ปรมาจารย์วิชาฟิสิกส์ชื่อดังของโลก อาจารย์ สตีเฟน ฮอว์กินส์, กล่าวเตือนย้ำอีกว่าระวังมนุษย์ต่างดาวจะบุกโลก ทำลายอารยธรรมและมนุษยชาติจนหมดสิ้น พร้อมกับเร่งเร้าเพิ่มการเดินทางในอวกาศเผื่อว่ามนุษย์จะพบที่หลบภัยใหม่
นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องชี้ว่า การเดินทางในอวกาศ นอกจากจะเป็นอนาคตระยะไกลแล้ว ยังเป็นหลักประกันของมนุษยชาติด้วย โดยได้อธิบายว่าการส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์นั้น เป็นการเปลี่ยนอนาคตของมนุษยชาติในทางที่ยังไม่สู้จะเข้าใจนัก มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาบนโลกได้ทันตา แต่มันก็ทำให้เราได้เห็นมิติใหม่ และรู้จักมองดูทั้งข้างในข้างนอก
“ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า อนาคตระยะไกลของชาติพันธุ์มนุษย์ จะต้องฝากความหวังไว้กับอวกาศ มันจะเป็นหลักประกันการอยู่รอดของเราในวันหน้าในฐานะเครื่องป้องกันการสูญหายของมนุษยชาติ จากการตกเป็นอาณานิคมของดาวเคราะห์ดวงอื่น” เขากล่าว.
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/483053
____________________
ต้องขอเกลิ่นนำก่อนว่า ฮิตเลอร์ สุดยอดผู้นำเผด็จการ มีความเชื่อในเรื่องของพลังเหนือธรรมชาติอยู่แล้ว เขาเชื่อว่าผู้ที่ได้ครอบครองพลังเหล่านั้นจะเป็นคนที่ถูกมอบหมายให้บริหารโลกนี้แต่เพียงผู้เดียว ฮิตเลอร์เชื่อในเรื่องเผ่าพันธ์เขามองว่า เผ่าอารยันที่มีผมสีทอง ตาสีฟ้า จะเป็นคนที่เข้ามาจัดการกับโลกนี้ให้ไปในเส้นทางที่ถูกต้อง
ฮิตเลอร์ ได้เสนอทฤษฏีที่ว่า ชาวเยอรมันนั้นมีต้นกำเหนิดมาจากชาวแอตแลนติส ที่เอาตัวรอดมาจากยุคน้ำแข็งได้สำเร็จจนมาสร้างความเกรียงไกรได้ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นชาวอารยันจึงมีความสำคัญต่อโลกในทุกๆทาง ทั้งการวิทยาศาสตร์ ศาสนา การเอาตัวรอด และการสงคราม นั่นนำมาสู่ความเชื่อและการกระทำที่ต้องคัดกรองมนุษย์ให้เหลือแต่อารยันแท้ๆ เท่านั้นที่สำคัญ ส่วนยิว หรือเผ่าอื่นๆต้องตายหรือถูกกำจัดไป
อย่างไรก็ตาม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นักวิทยาศาสตร์ของนาซีได้เข้าร่วมโครงการทดลองด้านอวกาศของสหรัฐฯเป็นจำนวนมาก โดยมีทางด้าน โจเซฟ แอนเดรียส์ วิศวกรคนหนึ่งของโครงการเปิดเผยว่า กองทัพนาซีสร้าง UFO ต้นแบบไว้ถึง 15 ลำ โดยห้องนักบินจะอยู่ส่วนกลางของตัวเครื่อง และมีปีกที่ปรับหมุนได้แผ่ออกเป็นวงกลม ซึ่งช่วยให้เครื่องสามารถลอยขึ้นได้
นอกจากนี้ อิกอร์ วิตคอว์สกี อดีตนักข่าวและนักประวัติศาสตร์การทหารชาวโปแลนด์ เขียนในหนังสือ “Prawda O Wunderwaffe” ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2000 ว่า กองทัพนาซีเคยสร้างเครื่องบินลักษณะคล้ายระฆังคว่ำ และ ฮิตเลอร์ สั่งให้รวบรวมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรมาช่วยงานกองทัพเป็นจำนวนมาก ซึ่งโครงการดังกล่าวของนาซีมีชื่อว่า “ชรีเวอร์-ฮาแบร์โมล” ทำการทดลองในกรุงปรากระหว่างปี 1941-1943 โดยมีรูดอล์ฟ ชรีเวอร์ เป็นวิศวกรและนักบินทดลอง และ ออตโต ฮาแบร์โมล เป็นวิศวกรคนที่ 2
ขณะเดียวกัน “พีเอ็ม” นิตยสารด้านวิทยาศาสตร์ ของประเทศ เยอรมัน ยังเปิดเผยอีกว่า กองทัพนาซีได้ทำลายบันทึกการทดลองทางวิทยาศาสตร์ไปเป็นจำนวนมาก แต่ในปี 1960 ผู้เชี่ยวชาญด้าน UFO ในแคนาดาได้ทดลองสร้างวัตถุดังกล่าวขึ้นใหม่ และพบว่ามันสามารถ บินได้จริง
ที่มา : http://www.flagfrog.com/top-secreat-ufo-hitler-plan/
____________________
พิษณุโลก-ชาวบ้านเนินมะปรางพบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์อายุกว่า360ล้านปี
พิษณุโลก-ชาวบ้านเนินมะปรางพบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์อายุกว่า360ล้านปี
เมื่อวันที่13ก.พ. มีชาวบ้านพบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์ ภายในคลองห้วยผึ้ง หมู่ 10 บ้านศาลเจ้า ต.บ้านน้อยซุ้มขี้เหล็ก อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ซึ่งอยู่ภายในไร่ของนายณัฐพงษ์ แก้วนวล อายุ 40 ปี อาชีพเกษตรกร
ที่เกิดเหตุพบชาวบ้านและนักอนุรักษ์กลุ่มเรารักเนินมะปราง กำลังจับกลุ่มยืนมุงดูซากฟอสซิลของพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์ที่เกาะตามโขดหิน และซอกหินจำนวนมาก หลังจากก่อนหน้านี้สภาพอากาศแห้งแล้ง ทำให้น้ำในลำคลองห้วยผึ้งแห้งขอดและลดลง และพบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์โดยบังเอิญ จึงได้แจ้งไปยังนักอนุรักษ์กลุ่มเรารักเนินมะปรางให้รับทราบเรื่องดังกล่าว
จากการตรวจสอบพบว่า ภายในคลองห้วยผึ้งบริเวณจุดที่พบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์ มีหินปูนขนาดใหญ่ จำนวน 4 ก้อน ซึ่งทุกๆ ก้อน เจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันใช้แปรงขัดและใช้น้ำราดชะล้างทำความสะอาดจนคราบตะไคร่น้ำออกจนหมด เผยให้เห็นถึงซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายเปลือกหอยแบนยาวประมาณ 5 – 10 ซม. เกาะติดฝังแน่นอยู่กับหินปูนทั่วทั้งก้อน
นอกจากนี้ยังพบว่า ที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาท่าพล ที่มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ ต.เนินมะปราง ต.บ้านน้อยซุ้มขี้เหล็ก ต.บ้านมุง ของ อ.เนินมะปราง โดยมีเนื้อที่ทั้งหมด 1,775 ไร่ ซึ่งอยู่ห่างจากคลองห้วยผึ้งจุดที่สำรวจพบซากฟอสซิลในวันนี้ ประมาณ 5 กม. โดยพื้นที่เป็นถ้ำและภูเขาหินปูน ก็มีการสำรวจพบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์เช่นกัน
สำหรับภูเขาผาท่าพลนั้นจัดเป็นเขาหินปูน อยู่ในมหายุคพาลีโอซีน (Palaeocene) และอยู่ในยุคย่อยคาร์บอนิฟอรัส (Caboniferus) มีอายุราว 286-360ล้านปีมาแล้ว เป็นภูเขาที่ทอดตัวยาวตามแนวเหนือ-ใต้ ภูเขาหินปูนบริเวณนี้
ส่วนมากเกิดจากการทับถมของเปลือกหอย พลับพลึงทะเล หรือปะการัง เมื่อตายแล้วถูกฝังในดินโคลน หรือทราย ก่อนจะเน่าเปื่อย และถูกฝังรักษาไว้ในหิน บางครั้งเปลือกหรือกระดูกของสัตว์ก็จะถูกแทนที่ด้วยแร่ธาตุ แต่ยังคงรูปร่างไว้เช่นเดิม จากการศึกษาและจำแนกซากดึกดำบรรพ์ทำให้ทราบว่า บริเวณนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน
ซึ่งหลังจากวันนี้ได้มีการสำรวจค้นพบซากฟอสซิลพลับพลึงทะเลดึกดำบรรพ์แล้ว จะได้ติดต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้ามาดูแล และตรวจสอบหาอายุของซากฟอสซิลที่ค้นพบอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมทั้งจะประสานไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อหารือและปรับพื้นที่สำรวจพบเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ให้ประชาชนทั่วไป นักเรียน และนักศึกษา ได้เข้ามาศึกษาค้นคว้าประวัติความเป็นมาของวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้อีกด้วย
ที่มา : posttoday.com
____________________
ภาพวัตถุ ในเงามืด บนดาวอังคาร เมื่อลองปรับแสงสว่าง ถึงกับผงะ!!!
เมื่อวัตถุดังกล่าว คล้ายคลึง กับสิ่งมีชวิต หรือหุ่นยนต์ กำลังจ้องมองมาที่ยานสำรวจ
จะเป็นอะไร ต้องใช้ วิจารณญาณ ในการรับชมกันดูครับ
ภาพต้นฉบับ :http://www.midnightplanets.com/web/MERB/image/03789/1N464560442EFFCHT9P0755R0M1.html
____________________
เครดิต :เว็บต่างประเทศ
________________________________
เมื่อวัตถุดังกล่าว คล้ายคลึง กับสิ่งมีชวิต หรือหุ่นยนต์ กำลังจ้องมองมาที่ยานสำรวจ
จะเป็นอะไร ต้องใช้ วิจารณญาณ ในการรับชมกันดูครับ
ภาพต้นฉบับจากยานสำรวจ
ลองปรับแสง และสีเพิ่ม
ภาพต้นฉบับ :http://www.midnightplanets.com/web/MERB/image/03789/1N464560442EFFCHT9P0755R0M1.html
____________________
เครดิต :เว็บต่างประเทศ
________________________________
เป็นคำถามที่พวกเราเฝ้าถามกันมาตลอดว่า “มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่?” บางคนก็ไม่เชื่อ เพราะยังไม่เคยเห็นและยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่บางคนก็เชื่อเพราะจักรวาลนี้มันกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก ซึ่งก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาไม่น้อยกว่าชาวโลกอยู่บ้างแหละ แต่ทฤษฎีหลังนี้น่าจะมีแนวโน้มเป็นจริงมากขึ้น เมื่อมีแหล่งข่าวระดับสูงอ้างว่า
“มนุษย์ต่างดาวมีจริง และอยู่ปะปนกับมนุษย์โลกไม่ต่ำกว่า 80 ปีมาแล้ว”
สำนักข่าวท้องถิ่น เนวาด้าเดลี่เมล์ ได้รายงานเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อนักข่าวคนหนึ่งได้รับการติดต่อจากชายไม่ทราบชื่อ ที่ไม่ยอมบอกว่าตนเองเป็นใครมาจากไหน และได้ขอนัดนักข่าวไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่อาศัยอยู่บนโลก ซึ่งการพูดคุยครั้งนี้ ชายคนดังกล่าวไม่ขอเปิดเผยชื่อ ห้ามบอกรูปลักษณ์ภายนอกของเขา และไม่ยินยอมให้อัดวีดีโอและอัดเสียงเพื่อบันทึกการสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น
หลังจากได้พูดคุยกัน ชายคนดังกล่าว ซึ่งทางสำนักข่าวได้อ้างว่าเป็น “แหล่งข่าวระดับสูง” เคยทำงานอยู่ในแอเรีย 51 แต่ไม่ยอมบอกว่าทำตำแหน่งหน้าที่อะไร ได้เปิดเผยถึงข้อมูลที่ชาวโลกทุกคนสงสัย โดยมีข้อมูลที่สำคัญที่สรุปเอาไว้ได้ทั้งหมด 10 เรื่องดังนี้
แอเรีย 51
1. มนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง และอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์เรามานานกว่า 80 ปี
2. มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ค้นพบพวกเขา แต่พวกเขาติดต่อเรามาเอง
3. ช่วงเวลาที่ติดต่อมาคือ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือปี ค.ศ. 1946
4. หน้าตาของมนุษย์ต่างดาวเหมือนกับคนปกติ !! โดยพวกเขาอ้างว่า จริงๆ แล้วรูปลักษณ์ภายนอกปกติของพวกเขาไม่ได้เป็นแบบคนทั่วไป แต่เขามีวิธีการทำให้ตัวเองมีรูปลักษณ์แบบคนทั่วไปได้ (ข้อมูลตรงนี้ค่อนข้างเหลือเชื่อและขัดกับสิ่งที่เราเข้าใจมาโดยตลอดว่ามนุษย์ต่างดาวจะต้องตัวเล็ก หัวโต มีตาใหญ่ๆ เหมือนเอเลี่ยน)
5. พวกเขาติดต่อผ่านนายทหารระดับสูงของอเมริกาท่านหนึ่ง และหลังจากนั้นนายทหารท่านนั้นก็พาไปพบกับประธานาธิปดีสหรัฐในขณะนั้น (แฟรงคลิน ดี รูสเวลท์)
ภาพมนุษย์ต่างดาวจับมือกับนายทหารท่านหนึ่ง ไม่ทราบแหล่งที่มา แต่คาดเดาว่าไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ที่ชายดังกล่าวพูดถึง
6. ประเด็นที่เข้าพบคือเรื่องของสันติภาพของโลกในอนาคต สาเหตุจากสงครามโลกครั้งที่ 2 (ประเด็นการคุยเรื่องสันติภาจบแค่นี้ เพราะแหล่งข่าวไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า มนุษย์ต่างดาวมาเพื่อให้คำแนะนำหรือมาเพื่อบอกอะไรเราอีก)
7. จริงๆ แล้วมนุษย์ต่างดาวยังมีอีกหลายเผ่าพันธุ์ แต่พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ใกล้กับโลกมากที่สุดและมีสิ่งแวดล้อม แรงดึงดูด เวลาโคจรของดวงดาวใกล้เคียงกันมากที่สุด ส่วนเผ่าพันธุ์อื่นจะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจะโลกค่อนข้างมากและอยู่ไกลเกินกว่าจะมาถึงโลกได้บ่อยๆ แต่ก็มีแวะเวียนมาบ้าง
8. ส่วนเผ่าพันธุ์ของพวกเขาเพิ่งย้ายมาอยู่บนโลกมนุษย์อย่างเป็นทางการเมื่อ 10 มาแล้ว (10 ปีก่อนปี ค.ศ. 1946 ก็คือปี ค.ศ 1936)
9. พวกเขาย้ายมาอยู่บนมนุษย์โลกหลายสิบชีวิต แต่ละชีวิตกระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ บนโลก เป็นชนกลุ่มแรกของดาวเขาที่ทดลองย้ายเข้ามาอยู่เพื่อเรียนรู้และทดลองการใช้ชีวิต (นักวิทยาศาสตร์ในแอเรีย 51 และทีมงานหลายคนคาดเดาว่า อาจเป็นเพราะดาวของพวกเขาประสบปัญหาบางอย่าง และต้องการหาที่อยู่ใหม่)
10. พวกเขาเป็นมิตรกับมนุษย์แน่นอน หลังจากสงครามโลก จนถึงปัจจุบัน (2014) พวกเขาติดต่อกับพวกเรามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ส่วนใหญ่เป็นในการศึกษาและเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ และปัจจุบันก็มีพวกเขากว่า 100 ชีวิตอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
หรือพวกเขาจะมีลักษณะแบบนี้ ? คงไม่ใช่นะ
สำหรับข้อมูลการให้สัมภาษณ์ก็ถูกสรุปไว้เพียงคร่าวๆ เท่านี้ ส่วนคำถามสุดท้ายที่นักข่าวถามกับแหล่งข่าวไปก็คือ “ทำไมคุณถึงมาบอกข้อมูลนี้กับผม?” แหล่งข่าวบอกสั้นๆ แต่เพียงว่า “ถือว่าเป็นของขวัญวันคริสมาสต์สำหรับผมก็แล้วกัน ผมว่ามันถึงเวลาที่ทุกคนควรได้รู้ความจริงเสียที เพราะอีกไม่นานทุกคนก็จะต้องรู้ความจริงนี้อยู่แล้ว และที่สำคัญ ตอนนี้ผมไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกับที่นั่นอีกแล้ว” ชายคนดังกล่าวได้ทิ้งปริศนาเอาไว้
ซึ่งหลังจากที่ข้อมูลดังกล่าวถูกเผยแพร่ลงในเว็บไซต์เพียงไม่ถึง 2 วัน ก็ได้ถูกลบทิ้งไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีคำชี้แจงสั้นๆ ว่าเป็นการเข้าใจผิดของสำนักพิมพ์และต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ หรือว่ามันเป็นเรื่องจริงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการปกปิดเอาไว้หรือไม่ ? แล้วคุณล่ะ อาจแล้วเชื่อหรือไม่ว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริงและอาศัยอยู่บนโลกใบนี้กับเราด้วย !
ที่มา : petmaya.com/ , nevadadailymail
จักรวาล อันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มีอะไรอีกมากมายที่รอ ให้มนุษย์ได้ค้นพบ ล่าสุด แม้ไม่ไช่เรื่องสิ่งแปลกใหม่ แต่น่าทึ่ง ในความใหญ่ของวงแหวน ต่างจากที่เราเคยได้พบเห็น รูปของดาวเสาร์
ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ มีวงแหวนใหญ่กว่าของดาวเสาร์ 200 เท่า นับรวมได้ 30 วง อยู่ห่างจากโลก 430 ปีแสง
อีริก มามาเจก อาจารย์สอนฟิสิกส์และดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ บอกว่า ดาวเคราะห์ ชื่อ J1407b มีขนาดใหญ่กว่า ดาวพฤหัสบดีหรือดาวเสาร์มาก
ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ มีวงแหวนใหญ่กว่าของดาวเสาร์ 200 เท่า นับรวมได้ 30 วง อยู่ห่างจากโลก 430 ปีแสง
อีริก มามาเจก อาจารย์สอนฟิสิกส์และดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ บอกว่า ดาวเคราะห์ ชื่อ J1407b มีขนาดใหญ่กว่า ดาวพฤหัสบดีหรือดาวเสาร์มาก
วงแหวนของมันใหญ่กว่าของดาวเสาร์ประมาณ 200 เท่า “มันคือ โคตรดาวเสาร์”
ทีมวิจัยรายงานว่า ดาวเคราะห์ J1407b มีวงแหวนกว่า 30 วง แต่ละวงมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างหลายสิบล้านกิโลเมตร
นักดาราศาสตร์ค้นพบเจ1407บีเมื่อปี 2555 แต่เพิ่งศึกษาในรายละเอียด และตีพิมพ์ในวารสาร Astrophysical Journal
ดาวเคราะห์ดวงนี้โคจรรอบดาวฤกษ์อายุน้อย ชื่อ J1407 ซึ่งอยู่ห่างจากระบบสุริยะของเราประมาณ 430 ปีแสง นักดาราศาสตร์คำนวณว่า ดาวเคราะห์ดังกล่าวมีมวลมากกว่าดาวพฤหัสบดีราว 40 เท่า วงแหวนของมันมีมวลเท่ากับโลกของเรา
นักวิจัยไม่สามารถมองเห็นวงแหวนได้โดยตรงเนื่องจากความห่างไกล แต่อาศัยเทคนิคตรวจจับปริมาณแสงที่ผันแปรเมื่อดาวเคราะห์โคจรผ่านหน้าดาวฤกษ์เมื่อเรามองมันจากโลก
ทีมวิจัยชักชวนนักดาราศาสตร์ให้ช่วยกันเก็บข้อมูลของดาวเคราะห์ดวงนี้ ซึ่งเชื่อว่ามีดาวจันทร์บริวารอยู่ด้วย.
ที่มา : hxxp://news.voicetv.co.th/world/159885.html
____________________
ทีมวิจัยรายงานว่า ดาวเคราะห์ J1407b มีวงแหวนกว่า 30 วง แต่ละวงมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างหลายสิบล้านกิโลเมตร
นักดาราศาสตร์ค้นพบเจ1407บีเมื่อปี 2555 แต่เพิ่งศึกษาในรายละเอียด และตีพิมพ์ในวารสาร Astrophysical Journal
ดาวเคราะห์ดวงนี้โคจรรอบดาวฤกษ์อายุน้อย ชื่อ J1407 ซึ่งอยู่ห่างจากระบบสุริยะของเราประมาณ 430 ปีแสง นักดาราศาสตร์คำนวณว่า ดาวเคราะห์ดังกล่าวมีมวลมากกว่าดาวพฤหัสบดีราว 40 เท่า วงแหวนของมันมีมวลเท่ากับโลกของเรา
นักวิจัยไม่สามารถมองเห็นวงแหวนได้โดยตรงเนื่องจากความห่างไกล แต่อาศัยเทคนิคตรวจจับปริมาณแสงที่ผันแปรเมื่อดาวเคราะห์โคจรผ่านหน้าดาวฤกษ์เมื่อเรามองมันจากโลก
ทีมวิจัยชักชวนนักดาราศาสตร์ให้ช่วยกันเก็บข้อมูลของดาวเคราะห์ดวงนี้ ซึ่งเชื่อว่ามีดาวจันทร์บริวารอยู่ด้วย.
ที่มา : hxxp://news.voicetv.co.th/world/159885.html
____________________
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ว่า ชาวเมืองชิลีต่างตื่นผวากับสิ่งที่เชื่อว่าเป็น'ตัวดูดเลือดแพะ' หรือ ชูปาคาบรา (Chupacabra)
ขณะที่รายงานระบุว่า ตัว 'chupacabra' ที่มีผิวหนังสีเทาหลังโค้ง มีหางยาว 4 ฟุต และเดินเหมือนจิงโจ้ ขณะที่ชาวบ้านท้องถิ่นอื่น ๆ บอกว่า ตอนนี้ชีวิตพวกเราอาจกำลังถูกคุกคาม เพราะเรามีอาชีพเลี้ยงแพะเป็นหลัก แต่กลับมีตัวดูดเลือดแพะปรากฎขึ้น และแม้ว่าตามความเชื่อจะบอกว่า มันกินแต่เฉพาะสัตว์ แต่ใครจะเชื่อมั่นได้ว่า มันจะไม่ทำร้ายพวกลูก ๆ ของเรา
หลังจากมี การพบซากกระดูกของตัวประหลาดนี้ จากกลุ่มเกษตรกรที่เห็นตัวประหลาดนี้
รายงานระบุว่า ซากตัวประหลาดดังกล่าวถูกพบกลุ่มเกษตรกรกลุ่มหนึ่ง ในเมืองมอนเต้ ปาเตรีย ในประเทศชิลี และสร้าวความหวาดผวาให้แก่พวกเขา รวมทั้งเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน
รายงานระบุว่า ซากตัวประหลาดดังกล่าวถูกพบกลุ่มเกษตรกรกลุ่มหนึ่ง ในเมืองมอนเต้ ปาเตรีย ในประเทศชิลี และสร้าวความหวาดผวาให้แก่พวกเขา รวมทั้งเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน
โดยนายฮาเวียร์ โปรเฮนส์ หนึ่งในเกษตรกรเลี้ยงแพะบอกว่า เขากำลังกินอาหารอยู่กับเพื่อน ๆ ก่อนที่เพื่อนรายหนึ่งจะวิ่งหน้าตั้งมาหาเขา ซึ่งเขาเชื่อว่า ตัวประหลาดนี้จะเป็นสัตว์ดูดเลือดในตำนาน
โดยตอนแรกพวกเขาคิดว่า ตัวประหลาดนี้เป็นค้างคาว แต่เมื่อดูใกล้ ๆ กลับพบว่า หัวของมันใหญ่กว่าค้างคาวมาก และดูเหมือนเป็นสัตว์ลึกลับ หรืออาจเป็นตัวดูดเลือดแพะ ชูปาคาบรา ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนาน