ปริศนาทฤษฎีโลกกลวง อาณาจักรลับแลใต้พิภพ -ตอนที่1

<
<



หากย้อนเวลานั่งไทม์แมชชีนกลับไป ในช่วงเวลาประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล เราคงได้เห็นการใช้ชีวิต ที่อยู่ภายใต้แนวคิดที่เชื่อว่าโลกของเราแบน หากเดินทางไปจนสุดขอบโลก มนุษย์จะต้องตกลงไป ดังเรือเดินสมุทรมากมายที่เมื่อเดินทางออกไปในระยะทางไกลที่ต้องหลับหายไปจาก ขอบฟ้า ซึ่งแนวคิดนี้ได้สืบทอดมาอย่างยาวนานด้วยหลากหลายเงื่อนไข

จนกระทั่งมีนักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจที่กบฏต่อความคิดของคนส่วนใหญ่ในขณะนั้น ต่าง ได้พยายามพิสูจน์ว่าโลกหาไม่ได้แบนเป็นแผ่น ขนมเปี๊ยะ แต่มีรูปร่างกลมและสามารถเดินทางเวียนรอบโลกได้หากเก่งกล้าพอ และคนที่กล้าพอ ก็เกิดขึ้น จากหนึ่งคนเป็นสอง จนสุดท้ายคนทั้งโลกก็ต้องยอมรับว่าโลกของเรา “กลม”
แต่หากผมจะบอกว่า โลกของเรามิได้กลมเป็นลูกมะนาว แต่โลกของเรานั้นเหมือนลูกมะพร้าวที่ข้างในมีช่องว่างซึ่งสิ่งมีชีวิตสามารถเข้าไปอยู่ได้ คุณจะเชื่อหรือไม่...ถึงคุณจะไม่เชื่อ แต่ว่าแนวคิดนี้มีอยู่จริง...

ใครบอกว่าโลกแบน ใครบอกว่าโลกตัน
“Our Earth is hollow” พูดเป็นภาษาฝรั่งแบบน้ำเสียงตกใจได้ว่า โลกของเรานี่หรือมันกลวง ความเชื่อ นี้ไม่ใช่เป็นเพียงนิทานปรัมปรา เรื่องเล่า หรือเรื่องเพ้อฝัน เพราะความเชื่อเรื่อง โลกกลวง หรือ Earth hollow หรือSubterranean World คือแนวคิดที่เป็นทฤษฎีมานานหลายศตวรรษแล้ว โดยแผ่ความเชื่อและความลึกลับไปในหลายภูมิภาค ไม่เว้นความเชื่อในประเทศไทยเองก็เคยมีเรื่องราวของมนุษย์ลึกลับที่อยู่ในถ้ำใต้ดินหรือดินแดนลับแลต่าง ๆ
ความเชื่อว่าโลกกลวงนั้นคือ ความเชื่อของกลุ่มคนที่เชื่อว่าลึกลงไปใต้เปลือกโลกจะมีโพรง หรือช่องขนาดใหญ่ซึ่งมีดินแดนที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ โดยบ้างเชื่อว่าเป็นโลกซ้อนโลกและมีดวงอาทิตย์อยู่ภายใน
โดยความเชื่อที่ถือกันว่ามีการเผยแพร่ความเชื่อ และทฤษฎีในทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกคือในปี 1692 โดยนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงด้านดาราศาสตร์ชื่อว่า เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ (Edmund Halley)




ฮัลเลย์กับทฤษฎีโลกกลวง
ฮัลเลย์ เป็นคนแรกที่เชื่ออย่างปักใจว่า โลกของเรานั้นลึกลับกว่าที่มองเห็น เขาอธิบายทฤษฎีที่ลึกลับนี้ ว่า โลกกลวง โดยอธิบายไว้ว่าโลกมีโพรงหรือพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ภายใน อัลเลย์ได้สรุปแล้วแบ่งทฤษฎีสัณฐานของโลกเป็น 4 ชั้น ซึ่งเชื่อว่าสัณฐานของโลกมีเปลือกโลกกั้นด้วยชั้นแรกหนา 800 กิโลเมตรไมล์ หลังจากชั้นนี้ก็จะเป็นพื้นที่โล่งกลวงและชั้นต่าง ๆ แนวความคิดนี้เริ่มจากความสงสัยในขั้วแม่เหล็กโลก จึงเชื่อว่าภายใต้โพรงยักษ์นั้นประกอบด้วยขั้วแม่เหล็กหลายขั้วด้วยกัน เสมือนมีโลกอีกใบซ้อนอยู่ซึ่งหมุนด้วยความเร็วที่ต่างกัน
หลักการที่เป็นแบบแผนอันน่าประหลาดในแบบของฮัลเลย์ ถูกสร้างขึ้นมาด้วยการคาดเดาของเขา โดยเชื่อว่ากลุ่มก๊าซที่พุ่งในปรากฏการณ์ Aurora Borealis หรือ แสงเหนือแสงใต้ ที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ คือสิ่งที่เกิดมาจากโลกซ้อนโลกที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พื้นพิภพนั่นเอง

พระอาทิตย์มีสองดวง
ดา แคมป์ และ เลย์ สองนักสำรวจที่มีบทบาทมากกลุ่มแรกที่เสนอทฤษฎีโลกกลวง โดยพวกเขาได้เสนอต่อเซอร์ จอห์น เลสซี นักคณิตศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ว่าโครงสร้างของโลกกลวงนั้นภายในจะมีดวงอาทิตย์ 2 ดวง มีชื่อว่า พลูโตและโปรเซ็ปไพน์ ซึ่งการเสนอในครั้งนี้ทำให้ จอห์น เลสซี ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อในทฤษฎีโลกกลวงคนแรก ๆ ในช่วงศตวรรษที่ 18
ปี 1818 จอห์น เคลเวส ซิมเมส จูเนียร์ (Cleves Symmes Jr.) เชื่อว่าโลกกลวงจะอยู่ภายใต้พื้นดินที่ความลึก 1,300 กิโลเมตร โดยมีช่องทางเขากว้างถึง 2,300 กิโลเมตร ที่บริเวณขั้วโลกทั้ง 2 ด้าน และโลกกลวงมีสัณฐาน 4 ชั้น เช่นเดียวกับที่ฮัลเลย์เคยเสนอ ซึ่งนับเป็นบุคคลที่เสนอความเชื่อในทฤษฎีโลกกลวงที่มีชื่อเสียงมากในช่วงเริ่มต้นศตวรรษที่ 18 นี้ เพราะนอกจากเสนอข้อสันนิษฐานแล้วเขายังเป็นแรกกระตุ้นให้เกิดการสำรวจช่องทางเข้า แต่ทว่าโครงการนี้ก็ถูกระงับไปโดยแอนดรูว์ แจ็กสัน (Andrew Jackson) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น และซิมเมสก็เสียชีวิตไปก่อนที่จะได้เดินทางสำรวจข้อสันนิษฐานของตนเอง
ภายหลังที่ ซิมเมส ได้เสียชีวิตลง ทฤษฎีของเขาก็ไม่ได้สูญสิ้นไปด้วย เพราะมีนักเขียนได้นำมารวบรวมเป็นทฤษฎีที่ชื่อว่า Symmes' Theory ซึ่งเป็นข้อเขียนที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักสำรวจรุ่นหลังมากมาย

การเดินทางสู่โลกซ้อนโลก
หลังจากที่ยังไม่มีใครสามารถสำรวจไปถึงขั้วโลกเพื่อหาประตูสู่โลกภายในได้ เจเรไมห์ เรย์นอด์ส (Jeremiah Reynolds) ซึ่งเป็นนักข่าวผู้ติดตามความเชื่อเกี่ยวกับโลกกลวงมา ได้เขียนบทความและข้อเขียนถึงความเป็นไปได้ของทฤษฎีนี้ และด้วยความช่วยเหลือ จากรัฐบาลสหรัฐฯ เขาได้เปิดศักราชการค้นหาประตูสู่โลกกลวง โดยเดินทางสู่แอนตาร์กติกาในปี 1838 แต่ การเดินทางครั้งนี้ก็ล้มเหลวเช่นเคย เพราะทีมสำรวจไม่พบจุดที่เป็นช่องทางหรือประตูแต่อย่างใด
ปี 1846 มีการค้นพบบางสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่าโลกกลวงมีอยู่จริง โดยมีการค้นพบซากฟอสซิลช้างแมมอธ ที่มีความสมบูรณ์มากถูกแช่แข็งบริเวณไซบีเรีย โดย มาร์แชลล์ การ์ดเนอร์ (Marshall Gardner) ผู้ค้นพบซากแมมมอธเห็นด้วยกับทฤษฎีที่ว่า ภายในโลกมีพระอาทิตย์อีกดวง และเชื่อว่าช้างที่เขาค้นพบไม่ได้มาจากอดีตหรือยุคโบราณแต่อย่างใด เพราะความสมบูรณ์นี้จึงทำให้เชื่อว่ามันตายไปเมื่อไม่นานนี่เอง และเขายังเชื่ออีกว่า สัตว์ต่าง ๆ ที่ว่าสูญพันธุ์ไปแล้วจากอดีตมันซ่อนตัวอยู่ในโลกกลวงนี้

ภายใต้พื้นพิภพมีผู้คนอาศัยอยู่
มีทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจและมีการกล่าวถึงอย่างมากคือ ทฤษฎีของดอกเตอร์ไซรัส รีด ทีด (Dr.Cyrus Read Teed) ทฤษฎีนี้เกิดจากคาดการณ์และสันนิษฐาน ที่เชื่อว่าภายในโลกอันกลวงนี้มีช่องว่างที่อำนวยต่อ การอาศัย มีคนอาศัยอยู่ และมีพระอาทิตย์ที่มีลักษณะแสงสว่างครึ่งลูก โดยโคจรหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดช่วงเวลากลางวัน-กลางคืน กับชั้นบรรยากาศที่ถูกปิดทับโดยพื้นผิวโลกทำให้มันถูกซุกซ่อนจากผู้คนบนโลกได้ ที่น่าทึ่งกว่านั้นแบบจำลองสัณฐานของเขาที่เขียนขึ้น ไม่มีใครสามารถคิดค้นหาแนวคิดมาหักล้างหรือพิสูจน์ได้ว่ามันไม่จริง
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการกล่าวถึงอาวุธโดยนักเขียนชื่อว่า อีเนส ซูนเดล (Ernst Zundel) และการทำสงครามของลิตเลอร์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ โลกซ้อน โดยกล่าวว่าฝ่ายนาซีมีการใช้อาวุธและยานพาหนะลึกลับที่เชื่อกันว่าเชื่อมโยงกับยูเอฟโอ ซึ่งในช่วงสุดท้ายก่อนนาซีพ่ายแพ้ได้ถอยร่นมาจนถึง อาร์เจนตินา แล้วหลบหนีเพื่อตั้งฐานลับที่ใต้พื้นพิภพ โดยมีช่องทางที่ขั้วโลกใต้





ที่มา : www.unmuseum.org 
             www.2012.com.au  
____________________
เครดิต : http://scimag.info
________________________________

บทความที่เกี่ยวข้อง:

"Lacerta" ชาวโลกอีกเผ่าพันธุ์นึง ตอนที่ 1
loading...

คุณรู้สึกอย่างไรกับบทความนี้

Tags: , ,
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...