แบตเตอรี่ยืดได้ 3 เท่า รองรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่ (บีบีซีนิวส์)
นักวิจัยสาธิตแบตเตอรี่ยืดได้ 3 เท่าของขนาดเดิมแต่ประสิทธิภาพไม่ลด ตอบโจทย์ความต้องการแบตเตอรี่ที่รองรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องยืดหยุ่นและยืดขยายขึ้น
บีบีซีนิวส์รายงานว่า แบตเตอรี่แนวคิดใหม่นี้อาศัยกลุ่มวัสดุสำหรับจุพลังงานที่กระจายเป็นจุดๆ บนแผ่นพอลิเมอร์ที่ยืดขยายได้ และยังสามารถชาร์จไฟแบบไร้สายได้ โดยทีมวิจัยได้ตีพิมพ์งานวิจัยนี้ลงวารสารเนเจอร์คอมมิวนิเคชันส์ (Nature Communications)
จอห์น โรเจอร์ส (John Rogers) จากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ในเออร์บานา-แชมเปญ(University of Illinois at Urbana-Champaign) สหรัฐฯ นักวิจัยอาวุโสในงานพัฒนาแบตเตอรี่ยืดขยายได้นี้ กล่าวว่าเป็นเรื่องค่อนข้างท้าทาย เพราะการการทำให้แบตเตอรี่ยืดขยายได้โดยไม่ลดประสิทธิภาพนั้นเป็นเรื่องยาก
“เราศึกษามาหลายวิธี ตั้งแต่การเก็บเกี่ยวพลังงานจากคลื่นวิทยุไปจนถึงพลังงานแสงอาทิตย์” ศ.โรเจอร์สกล่าว
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ศ.โรเจอร์สได้ทำงานร่วมกับทีมจากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น (Northwestern University) สหรัฐฯ โดยพุ่งความสนใจไปที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยืดได้ในหลายๆ แบบ โดยอาศัยสถาปัตยกรรมที่พวกเขาเรียกว่า “ป็อป-อัพ” (pop-up")
แนวคิดในการทำอุปกณ์อิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวคือการฝังวงจรไฟฟ้าเล็กขนาดเล็กที่มีพื้นที่กว้างๆ ลงในพอลิเมอร์ที่ยืดได้ และเชื่อต่อวงจรไฟฟ้านั้นด้วยสายไฟที่ “เด้งขึ้น” เมื่อพอลิเมอร์ถูกยืดออก
หากแต่แบตเตอรี่กลับไม่รองรับแนวคิดดังกล่าว ซึ่งตามปกติแล้วแบตเตอรี่มักจะมีขนาดใหญ่กว่าชิ้นส่วนอื่นๆ ของวงจรไฟฟ้า หรือแม้ว่าจะทำแบตเตอรี่ขึ้นจากชิ้นส่วนเล็กๆ ต่อเชื่อมเข้าด้วยกัน แต่หากจะผลิตแบตเตอรี่ขนาดเล็กที่ให้พลังงานอย่างเพียงพอ ชิ้นส่วนต่างๆ ต้องถูกวางไว้ชิดกับวงจรป็อป-อัพมากขึ้น
ทีมงานจึงมีแนวคิดในการเชื่อมสายไฟในลักษณะขดไปมาเหมือนงูเป็นรูปตัว S เล็กและวนซ้ำเป็นรูปตัว S ตัวใหญ่อีกตัว ทำให้เซลล์แสงอาทิตย์ที่ถูกฝังลงในพอลิเมอร์สามารถยืดออกได้ถึง 3 เท่า โดยการยืดที่เอสตัวใหญ่ก่อน และเมื่อถูกดึงอีกตัวเอสเล็กก็จะยืดออกอีก และแบตเตอรี่นี้ยังชาร์จไฟได้แบบไร้สายในระยะสั้นๆ ได้ โดยอาศัยการเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้า
อย่างไรก็ดี แบตเตอรี่นี้ยังเป็นเพียงต้นแบบ และชาร์จได้เพียง 20 รอบเท่านั้น ซึ่งยังต้องพัฒนาต่อไปเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์
ภาพขยายวงจรให้เห็นสายไฟที่ถูกขดไปมาเป็นรูปตัวเอส (บีบีซีนิวส์)
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000025394
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เว็บไซต์เวลส์ออนไลน์ ได้เผยภาพของสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่มีรูปร่างประหลาดนอนเกยตื้นตายปริศนา อยู่ริมชายฝั่งในแคว้นเวลส์ ของสหราชอาณาจักร ซึ่งซากสัตว์ประหลาดตัวนี้ ถูกพบโดยนายปีเตอร์ เบลลีย์ หนุ่มวัย 27 ปี ที่กำลังเดินจูงสุนัขอยู่บริเวณดังกล่าวพอดี เขาจึงไม่พลาดที่จะเก็บภาพและส่งให้สำนักข่าวท้องถิ่น
ทั้งนี้เมื่อภาพดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไปก็ทำให้มีเสียงวิจารณือย่างกว้างขวางว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ แต่มีบางส่วนที่สัณนิษฐานว่ามันอาจเป็นเพียงซากซากสิงโตทะเล หรือไม่ก็เป็นสุนัขที่ลอยอืดในน้ำมาหลายวันเท่านั้น สำหรับสัตว์ประหลาดที่ถูกพบตัวนี้ มีรูปร่างคล้ายกับหมูป่า แต่มีฟันและกรงเล็บที่แหลมคมด้วย
ที่มา : http://news.mthai.com/world-news/220988.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
พบซากปลากระเบนโมบูลากว่า 100 ตัว เกยหาดตายอย่างไม่ทราบสาเหตุที่ปาเลสไตน์ ชาวประมงแห่ขนไปขายในตลาด
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า วันที่ 27 ก.พ. (วานนี้) พบซากกระเบนเกยตื้นตายนับร้อยตัวที่หาดเมืองกาซาซิตี ปาเลสไตน์ โดยซากกระเบนที่พบคือฝูงกระเบนโมบูลา (Mobula Ray Fish)เป็นปลาในตระกูลเดียวกับกระเบนราหู ชาวประมงบริเวณนั้นเผยว่าไม่เคยพบ ซากกระเบนเกยตื้นนานกว่า 6 ปีและยังไม่ทราบสาเหตุของการตายของกระเบนเหล่านี้ ล่าสุดชาวบ้านในพื้นที่ได้นำรถบรรทุกมาขนซากกระเบนไปขายในตลาด ราคาราว 41 บาทต่อหนึ่งปอนด์
ที่มา : http://news.mthai.com/world-news/220901.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
มือถือโปร่งใส ใช้ได้จริง ราคาถูกกว่า ไอโฟน 5 เทคโนโลยีโพลีทรอน ของไต้หวัน (ภาพเอเยนซี)
เอเยนซี - ไต้หวันพัฒนาโทรศัพท์โปร่งใสใช้งานได้เช่นเดียวกับสมาร์ทโฟน คาดผลิตในปีนี้ ราคาถูกกว่าไอโฟน 5
สื่อต่างประเทศรายงาน (23 ก.พ.) ว่า "โพลีทรอน เทคโนโลยี" ในไต้หวัน ซึ่งเป็นหน่วยงานของสหรัฐฯ ได้พัฒนาอุปกรณ์สื่อสารชนิดโปร่งใส
ที่จะสามารถทำงานได้เหมือนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน โดยผู้ผลิตกล่าวว่า ซุ่มพัฒนาอุปกรณ์สื่อสารล้ำยุคนี้ มานานกว่า 6 ปี จนกระทั่งสำเร็จ
และจะเริ่มกระบวนการผลิตภายในปีนี้ เพื่อวางจำหน่ายปลายปี แต่ยังไม่มีกำหนดเกี่ยวกับราคา อย่างไรก็ตามผู้ผลิตแย้มว่า ราคาถูกกว่าไอโฟน 5
รายงานข่าวกล่าวว่า โทรศัพท์ดังกล่าวผลิตจากวัสดุสื่อพลังงาน มีน้ำหนักเบา และโปร่งใส และทำงานได้เทียบเท่าโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน
ประกอบด้วยอุปกรณ์และแบ็ตเตอรี่ทึบแสง ซึ่งจะพัฒนาให้ใช้แบ็ตเตอรี่ที่มีขนาดเล็กลงกว่านี้ได้อีก
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของบริษัทฯ อธิบายว่า หน้าจอของมือถือใสเครื่องนี้ เป็นกระจกนำไฟฟ้า ที่แม้จะหนาเพียงครึ่งเซนติเมตร
แต่ก็แข็งแรงกันกระเทือน ไม่แตกง่าย และเมื่อเทียบกับไอโฟน 5 ต้องบอกว่าเครื่องต้นแบบนี้ มีน้ำหนักเบากว่าร้อยละ 25
ขณะที่มีหน้าจอใหญ่กว่า (ขนาด 4.3 นิ้ว) เป็นระบบสัมผัสด้านเดียว แต่แสดงผลได้ทั้งด้านหน้าและหลัง
ทั้งนี้ เทคโนโลยีโพลีทรอนนี้ ผู้ผลิตเกาหลีใต้ ได้เคยพัฒนาใช้กับชุดคีย์บอร์ดของโทรศัพท์มือถือมาแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่ชาวเน็ตฯ แม้จะฮือฮา
แต่ก็ออกความเห็นว่า ความใสนี้น่าจะเป็นการพัฒนาไปใช้กับหน้าจออย่างอื่นในบ้าน มากกว่าเป็นโทรศัพท์มือถือ เพราะเวลาหยิบหาจะยากสักหน่อย
ที่มา : http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9560000023647
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ภาพแผ่นทวีปโรดิเนียในอดีต (สีมืด) ขณะกำลังแยกจากกัน โดยเผยให้เห็นส่วนที่แยกไปเป็นทวีปต่างๆ ในปัจจุบันด้วยแถบสีสว่าง (บีบีซีนิวส์)
นักวิจัยพบร่องรอยบางส่วนของแผ่นดินทวีปโบราณที่น่าจะมีอยู่บนโลกระหว่าง 2 พันล้านปีก่อนถึง 85 ล้านปีก่อน อยู่ใต้มหาสมุทรอินเดียในปัจจุบัน
นักวิทยาศาสตร์เรียกแถบทวีปดังกล่าวว่า “มอรีเชีย” (Mauritia) ซึ่งแตกหักและถูกเซาะอยู่ใต้คลื่นตั้งที่ทวีปปัจจุบันเริ่มตั้งตัวใหม่
การค้นพบครั้งนี้บีบีซีนิวส์รายงานว่าเป็นการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์จีโอไซน์ (Nature Geoscience)
เมื่อประมาณ 750 ล้านปีก่อน แผ่นดินใหญ่บนโลกได้รวมกันกลายเป็นทวีปเดียวที่เรียกว่า “โรดิเนีย” (Rodinia) ซึ่งครั้งหนึ่งอินเดียเคยอยู่ติดมาดากัสการ์
แต่ตอนนี้แผ่นดินทั้งสองถูกมหาสมุทรแยกออกจากกันหลายพันกิโลเมตร
ล่าสุดนักวิจัยเชื่อว่าพวกเขาได้พบร่องรอยของแผ่นทวีปบางๆ ที่เรียกว่า “จุลทวีป” (microcontinent) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยแทรกระหว่างทั้งสองแผ่นดิน
ข้อสรุปดังกล่าวบีบีซีนิวส์ระบุว่า ทีมวิจัยได้จากการศึกษาเม็ดทรายจากชายหาดของสาธารณรัฐมอริเชียส (Mauritius)
แม้ว่าจะหาอายุเม็ดทรายได้ว่าเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อประมาณ 9 ล้านปีก่อน แต่ทีมวิจัยก็พบแร่ธาตุที่มีอายุเก่าแก่กว่านั้นมาก
ศ.ทรอนด์ ทอร์สวิก (Prof. Trond Torsvik) จากมหาวิทยาลัยออสโล (University of Oslo) นอร์เวย์ กล่าวว่า พวกเขาพบแร่เซอร์คอน (zircons) ที่สกัดได้จากทรายชายหาด
ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ปกติจะพบในเปลือกทวีป จึงเป็นข้อสรุปว่าแร่ธาตุเหล่านั้นค่อนข้างมีอายุเก่าแก่มาก
อายุของเซอร์คอนตรวจสอบย้อนกลับไปได้ว่ามีอายุระหว่าง 1,970 – 600 ล้านปีก่อน และทีมวิจัยก็สรุปว่า แร่ธาตุเหล่านั้นเป็นเศษที่เหลือของแผ่นดินโบราณ
ซึ่งถูกดึงขึ้นสู่พื้นผิวของเกาะระหว่างการระเบิดของภูเขาไฟ ซึ่ง ศ.ทอร์สวิกเชื่อว่าเศษของมอริเชียนั้นจะพบได้อีกใต้มอริเชียสลงไป 10 กิโลเมตร และภายใต้มหาสมุทรอินเดียด้วย
ทั้งนี้ น่าจะเป็นเวลาหลายล้านปีนับจากมหายุคพรีแคมเบรียน (Precambrian Era) ที่แผ่นดินปราศจากสิ่งมีชีวิต จนมาถึงสมัยที่มีไดโนเสาร์ครองโลก
แต่เมื่อประมาณ 85 ล้านปีก่อน เมื่ออินเดียเริ่มแยกจากมาดากัสการ์มายังตำแหน่งในปัจจุบัน จุลทวีปก็ได้แตกออกและหายไปใต้ระลอกคลื่น แต่ส่วนเล็กๆ น่าจะยังคงอยู่
ศ.ทอร์สวิกอธิบายว่า ในชขณะนี้ประเทศเซเชลส์ (Seychelles) ในปัจจุบันเป็นเพียงแผ่นแกรนิตหรือเปลือกทวีป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของใจกลางมหาสมุทรอินเดีย
แต่เมื่อนานมาแล้วแผ่นดินประเทศนี้อยู่ทางตอนเหนือของมาดากัสการ์ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นแผ่นดินขนาดใหญ่มาก และก็มีเศษแตกหักของทวีปเหล่านี้ที่กระจายอยู่ทั่วมหาสมุทร
“ยังต้องมีงานวิจัยเพื่อศึกษาแผ่นดินที่หายไปอย่างเต็มรูปแบบ โดยทีมวิจัยยังต้องการข้อมูลการสั่นสะเทือน ซึ่งจะใช้สร้างภาพโครงสร้างแผ่นทวีปได้
อันจะเป็นการประเมินว่าข้อพิสูจน์เป็นจริงหรือเปล่า ไม่เช่นนั้นก็ขุดดินลงไปให้ลึก แต่นั่นหมายถึงการใช้เงินมหาศาล” ศ.ทอร์สวิกกล่าว
ที่มา : http://fix.gs/linkout.php?http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000023844
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
นักฟิสิกส์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ เตรียมประกาศข่าวใหญ่ของโครงการค้นหาสสารมืดในอวกาศ ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า หลังจากได้รับผลการตรวจสอบของเครื่องตรวจสเปกตรัมอัลฟาแม็กเนติก...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ว่า ซามูเอล ติง นักฟิสิกส์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT)
และหัวหน้าโครงการค้นหาปฏิกิริยาสสารในอวกาศด้วยเครื่องตรวจสเปกตรัม อัลฟาแม็กเนติก (Alpha Magnetic Spectrometer : AMS)
เผยว่าจะมีการประกาศเรื่องใหญ่ในโครงการค้นหา ดาร์ก แมทเทอร์ หรือสสารมืด (Dark Matter) ในอีกสัปดาห์ข้างหน้า
นายติงกล่าวที่งานประชุมประจำปีของ สมาคมความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกาว่า ข้อมูลแรกที่ได้จากเครื่อง AMS
จะถูกตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า โดยในรายงานฉบับแรกนี้จะเป็นการระบุว่า
พบปฏิกิริยาอนุภาคอิเล็กตรอนและโพซิตรอนอย่างละเท่าไร และพลังงานของทั้งสองอนุภาคเป็นอย่างไร
แต่เขายังไม่ยอมบอกว่า อะไรคือผลลัพธ์การทดลองนี้ค้นพบกันแน่ ระบุเพียงว่า ผลลัพธ์ที่ได้มีผลกระทบต่อปริศนาของสสารมืด ที่เป็นความลับมานาน
"มันไม่ใช่กระดาษแผ่นเล็กๆ" นายติงกล่าว และว่า การค้นพบครั้งนี้สำคัญขนาดที่นักวิทยาศาสตร์ ต้องเขียนสรุปผลใหม่ถึง 30 รอบจึงมั่นใจในคำตอบ
ทั้งนี้ เครื่อง AMS ถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยค่าใช้จ่ายถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.97 หมื่นล้านบาท) เพื่อตรวจจับการก่อตัวของโพซิตรอนและอิเล็กตรอน
จากการประลัยของสสารมืดในทางช้างเผือก เครื่องนี้ถูกติดตั้งที่สถานีอวกาศนานาชาติเมื่อเดือนพ.ค. 2011
และตรวจจับปฏิกิริยาอนุภาคได้แล้วถึง 2.5 หมื่นล้านครั้ง รวมถึงปฏิกิริยาอนุภาคของอิเล็กตรอนและโพซิตรอนอีกราว 8 พันล้านครั้ง
อย่างไรก็ดี นายติงย้ำว่า ผลที่ได้เป็นเพียงก้าวเล็กๆ ในการไขปริศนาตัวตนของสสารมืด และอาจจะไม่ใช้คำตอบสุดท้ายด้วย
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/oversea/327539
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
นายอัมรินทร์ สุขพุทธกิจ ชาวบ้าน หมู่ที่ 8 ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ อุ้มก้อนวัตถุขนาดความยาว 33 เซนติเมตร กว้างประมาณ 22 เซนติเมตร น้ำหนัก 10.11 กิโลกรัม เป็นลักษณะคล้ายก้อนหิน สีดำมัน โดยอ้างว่าเป็นอุกกาบาต ที่พบและเก็บไว้เมื่อ 8 ปีก่อน โดยเล่าว่าขณะกำลังนำรถแบคโฮไปขุดภูเขาเพื่อหาหินนำไปสร้างรีสอร์ท
ก็ขุดเจอวัตถุประหลาดนี้ที่มีลักษณะแตกต่างจากก้อนหินและดินโดยรอบอย่างสิ้นเชิง ประกอบกับบริเวณดัวกล่าวมีลักษณะเป็นหลุมคล้ายกับของหนักตกลงมาจากที่สูง หลังจากนั้นจึงแอบเก็บรักษาก้อนหินประหลาดนี้ไว้ กลัวจะถูกยึดเป็นของหลวง และเริ่มศึกษาเรื่องของอุกกาบาตอย่างจริงจัง
จนมีความรู้พอสมควรและมั่นใจว่าน่าจะเป็นอุกกาบาตที่ตกลงมาจากท้องฟ้า เพราะมีน้ำหนักมากกว่าก้อนหินทั่วไปที่มีขนาดเดียวกันถึง 2 เท่า เชื่อว่าน่าจะมีส่วนผสมของนิเกิล และแร่เหล็กมาก บางจุดของหินก้อนนี้สามารถใช้แม่เหล็กดูดติดได้ แต่บางส่วนก็ไม่ติด ผิวเป็นมันสีดำ ขรุขระบางจุด ส่วนด้านล่างมีความโค้งมนมากกว่า เชื่อว่าน่าจะเป็นส่วนทื่ตกกระทบ และเสียดสีกับผิวโลก
โดยหลังจากเก็บไว้แล้วช่วงหนึ่งจึงตัดสินใจที่จะสอบถามผู้รู้ว่าหากนำออกมาแล้วยังมีสิทธิ์เป็นเจ้าของอยู่หรือไม่ จึงได้นำก้อนอุกกาบาตไปให้กับผู้เชี่ยวชาญ อย่าง ดร.เบญจวรรณ รัตนเลิศ อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
โดยหลังจากเก็บไว้แล้วช่วงหนึ่งจึงตัดสินใจที่จะสอบถามผู้รู้ว่าหากนำออกมาแล้วยังมีสิทธิ์เป็นเจ้าของอยู่หรือไม่ จึงได้นำก้อนอุกกาบาตไปให้กับผู้เชี่ยวชาญ อย่าง ดร.เบญจวรรณ รัตนเลิศ อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ขณะนั้น และได้รับแจ้งว่าน่าจะเป็นอุกกาบาตแต่จะต้องตัดเฉือนชิ้นส่วนไปตรวจสอบโดยละเอียด ซึ่งตนเองไม่ยอม วันนี้จึงได้อุ้มก้อนหินนี้มาให้ผู้สื่อข่าวได้ชม รวมทั้งขอให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยตรวจสอบว่าเป็นอุกกาบาตจริงหรือไม่ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามตัดหรือเฉือนอนอุกกาบาตุของตน ขณะนี้ยังไม่มีการตีมูลค่าออกมาจนกว่าจะพิสูจน์แล้วเสร็จ
อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องเล่าจากชาวบ้านในอำเภอแม่แจ่มหลายคน ว่าเมื่อหลายปีก่อนมีวัตถุประหลาดตกลงมาจากท้องฟ้า เชื่อกันว่าเป็นอุกกาบาต บางจุดบางพื้นที่ยังเชื่อว่าจะมีร่องรอย และชิ้นส่วนที่ชาวบ้านเก็บไว้ได้ด้วย
ที่มา : http://www.krobkruakao.com
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องเล่าจากชาวบ้านในอำเภอแม่แจ่มหลายคน ว่าเมื่อหลายปีก่อนมีวัตถุประหลาดตกลงมาจากท้องฟ้า เชื่อกันว่าเป็นอุกกาบาต บางจุดบางพื้นที่ยังเชื่อว่าจะมีร่องรอย และชิ้นส่วนที่ชาวบ้านเก็บไว้ได้ด้วย
ที่มา : http://www.krobkruakao.com
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชาวเมืองซานโต อันโตนีโอ ดา พลาตินา ประเทศบราซิลต่างฮือฮากับเหตุการณ์ประหลาด เมื่อจู่ๆฝูงแมงมุมนับพันตัว ชักใยและไต่อยู่ใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ขึงระหว่างสายไฟฟ้า ราวกับว่าพวกมันตกลงมาจากท้องฟ้า
โดยนายอีริค เรย์ส นักออกแบบเว็บไซต์วัย 20 ปี ผู้บันทึกคลิปดังกล่าว เล่าว่า ตนไม่เคยเห็นปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ แมงมุมจำนวนมากมายมหาศาลกำลังไต่ใยแมงมุมขนาดใหญ่ ใครที่กลัวแมงมุมอยู่แล้วอาจจะต้องหวาดผวาเมื่อได้มาเห็น
อย่างไรก็ตาม มาร์ทา ฟิสเชอร์ นักชีววิทยาผู้สนใจศึกษาเกี่ยวกับแมงมุมระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และสามารถพบเห็นได้ตามเมืองเซาเปาโล ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเปิดเผยว่า แมงมุมดังกล่าวมีชื่อว่า Anelosimus eximius เป็นพันธุ์ที่หายาก ซึ่งโดยธรรมชาติของมันแล้วจะอยู่กันเป็นกลุ่ม ตามต้นไม้ในตอนกลางวัน และชักใยขนาดใหญ่เพื่อดักจับแมลงในตอนเย็น
ที่มา : MThai News
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
(19 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรับแจ้งว่า มีผู้พบซากสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายลูกไดโนเสาร์หรือสัตว์ประหลาดต่างดาว (ตัวเอเลี่ยน)
ที่บ้านเลขที่ 49 หมู่ 5 ต.ห้วยยางโทน อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นบ้านของนายชัยพล สว่างพื้น อายุ 30 ปี
จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบนายชัยพล กำลังนั่งดูซากสัตว์ประหลาดที่นำมาเก็บไว้ในกล่องพลาสติกอย่างดี
โดยนายชัยพลบอกว่าเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาได้เดินไปดูพื้นที่นา ติดกับป่าละเมาะ และพบซากลูกสัตว์ดังกล่าวที่บริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ปะปนกับใบไม้แห้ง
เมื่อมองดูแล้วมีลักษณะประหลาดจึงได้เก็บมาให้กับญาติ ๆ ดู หลายคนก็บอกว่าไม่เคยเห็นและบอกให้เก็บไว้ให้ดีอาจจะมีโชค
ลูกสัตว์ประหลาดที่พบนั้นมีลักษณะแห้ง ไม่เน่าไม่เปื่อยคล้ายมัมมี่ ลำตัวยาวตั้งแต่หัวจรดหางประมาณ 15 เซนติเมตร ลำตัวกว้างประมาณ 4 เซนติเมตร
บริเวณส่วนหัวมีกระโหลกยาวคล้ายวัว ลำตัวมีซี่โครงเรียงเป็นชั้น ๆ มีกระดูกสันหลังยาวตลอดจนถึงหาง ที่เท้าจะมีกลีบเล็กๆ หลายกลีบ และมีรกติดอยู่ด้วยชาวบ้านที่มาดูต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา บ้างว่าลูกสัตว์ประหลาดตัวนี้มีลักษณะคล้ายลูกหมูหรือลูกวัว
แต่มีลักษณะตัวเล็กผิดปกติ บางคนบอกว่ามีลักษณะคล้ายลูกไดโนเสาร์ โดยเฉาะนายชัยพล
ซึ่งเป็นผู้ที่ไปพบซากลูกสัตว์ประหลาดตัวนี้บอกว่ามีลักษณะคล้ายกับตัวเอเลี่ยน เพราะมีลูกตาและหัวโต
และอยากให้มีหน่วยงานใดก็ได้เข้าไปพิสูจน์ว่าลูกสัตว์ประหลาดที่พบนั้นเป็นอะไรกันแน่.
ที่มา : เดลินิวส์
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักท่องเที่ยวในมลรัฐแคลิฟอร์เรีย สหรัฐ ต้องตกตะลึง เมื่อพบกับโลมากว่า 10,000 ตัว รวมฝูงและว่ายน้ำอยู่นอกชายฝั่งซานดิเอโก
โดยเหตุการณ์นี้ ผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถบอกถึงสาเหตุได้ว่าเกิดจากอะไร เนื่องจากปกติแล้วโลมาเป็นสัตว์สังคม อยู่รวมกันเป็นฝูงประมาณ 15 ถึง 200 ตัวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ซาราห์ วิลกินส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ทะเล แสดงความเห็นถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า บางทีอาจเป็นเพราะพื้นที่แถบนี้มีปลาซาดีน ปลาทูและหมึก ซึ่งเป็นอาหารของโลมาอยู่เป็นจำนวนมาก
ที่มา : http://news.mthai.com/world-news/218953.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ค้นพบปลาไหลสายพันธุ์ใหม่ (Eelpout) ใกล้เกาะเคอร์มาเด็ก ในทะเลประเทศนิวซีแลนด์ โดยมันอาศัยอยู่ในทะเลลึกประมาณ 4,250 เมตร ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระบุว่ามันเป็นปลาตาบอดเนื่องจาก ไม่มีแสงส่องถึง แม้ว่าพวกมันจะมีเส้นประสาทตาก็ตาม
ดร.อลัน เจมีสัน ผู้นำทีมสำรวจ ระบุว่า ทีมของพวกเขาทำงานกันอย่างหนักตลอดทั้ง 14 เดือนที่ผ่านมา โดยการปล่อยอวนลงไป 50 ชุด และหวังว่าจะพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่ในระดับที่ลึกลงไปอีก
นอกจากนี้ทีมสำรวจยังพบปลาหางหนู (Rattail Fish) และปลาไหล Cusk Eel ในระดับความลึกใกล้เคียงกัน ปัจจุบันถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Museum of Mew Zealand
ที่มา : http://news.mthai.com/world-news/219107.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
เหตุอุกกาบาตติดไฟ ตกในเขตเชลยาบินสก์ เทือกเขาอูราล ทางภาคกลางของรัสเซีย มีผู้ได้รับบาดเจ็บนับพันคน สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถพยากรณ์ได้ และสร้างความเสียหายกับตึกรามบ้านช่องไปกว่า 6 เมือง ในเขตเชลยาบินสก์ หลายคนตั้งคำถามว่า เหตุดังกล่าว จะเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกหรือไม่ และจะเกิดอะไรขึ้นหากเกิดในพื้นที่ที่พวกเราอาศัยอยู่
เพียงไม่นานก็มีการเผยแพร่ภาพดวงไฟเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เหนืออ่าวซานฟรานซิสโก สหรัฐ จนหวั่นกันว่า จะเกิดเหตุการณ์เหมือนกับเหตุอุกกาบาตตกในรัสเซีย แต่สุดท้าย ดวงไฟลึกลับก็หายไปในความมืดโดยไม่มีรายงานเกิดความเสียหายใด ขณะที่สื่อมวลชนท้องถิ่นในประเทศคิวบา ระบุว่า เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 15 ก.พ.ชาวบ้านยังพบเห็นมีวัตถุประหลาดขนาดใหญ่เทียบเท่ารถบัส พุ่งลงมาจากท้องฟ้า และเกิดระเบิดเสียงดังสนั่นก่อนที่วัตถุนั้นจะตกถึงพื้นดิน ทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญต่างเร่งตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวเพื่อระบุให้ชัดเจนว่าวัตถุดังกล่าวใช่อุกกาบาตแบบเดียวกับที่ตกในรัสเซีย หรือเป็นอะไรกันแน่
แน่นอนว่า หากไม่เกิดอุกกาบาตตกที่รัสเซีย ข้อสันนิษฐานจากดวงไปข้างต้นจะถูกโยงไปถึงมนุษย์ต่างดาว หรือยานที่มาจากนอกโลก ที่มีการถกเถียงกันมาโดยตลอด โดยมีคลิปและภาพเป็นหลักฐานให้เห็นอยู่เรื่อยมา แต่ทว่า เมื่อเกิดเป็นกระแสอุกกาบาตขึ้นมาก็มีความตื่นตระหนกไปตามๆกัน
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกว่า ไม่พบวัตถุพยานสำคัญสักชิ้น จึงมีการตั้งทีมค้นหาซากอุกกาบาตกันระนาว ซึ่งชาวรัสเซียจำนวนหนึ่งไม่เชื่อว่าเป็นการระเบิดของอุกาบาตขณะตกสู่โลก พร้อมตั้งคำถามด้วยความแคลงใจว่า เป็นการทดลองอาวุธชนิดใหม่ของสหรัฐ หรือไม่
ซึ่งทางโฆษกกองทัพรัสเซียยังได้แถลงด้วยว่าพบรอยแตก กว้าง 6 เมตรที่บริเวณผิวน้ำแข็ง และได้ส่งชุดประดาน้ำ 6 คนดำลงไปสำรวจเมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย สั่งห้ามประชาชนเข้าใกล้ พร้อมขอคืนหากเก็บได้เพื่อนำไปศึกษาวิจัย “นาซา”
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดวันนี้(18ก.พ.) มีการค้นพบชิ้นส่วนของอุกกาบาตบนทะเลสาบน้ำแข็งใกล้กับเมืองเชอบาร์กุน เขตเชอยาบินส์ แล้ว โดยนายวิกเตอร์ แห่งมหาวิทยาลัยแห่งรัฐอูราลเปิดเผยต่อสื่อรัสเซียว่า อุกกาบาตชิ้นส่วนดังกล่าวมีส่วนผสมของเหล็กราว 10% ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบต่อไป
ขณะที่ นายมาร์กอส โรดริเกซ นักมานุษวิทยาชาวเมืองโดดาส คิวบาระบุว่า สิ่งที่เห็นไม่น่าจะเป็นอย่างอื่น นอกจากการแตกระเบิดของลูกอุกกาบาต โดยทาง นักวิทยาศาสตร์ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐ (นาซา ) เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มเกิดขึ้นแค่ในทุก 100 ปีเท่านั้น
แต่กระนั้น ชาวรัสเซียหลายคนต่างผวานึกถึงคำพยากรณ์ของนักบุญมาลาไค และนอสตราดามุส ที่ทำนายไว้เมื่อ 400 ปีก่อน ที่ระบุตรงกันว่า คริสตจักรนิกายโรมันแคทอลิก จะมีสมเด็จพระสันตะปาปา 112 พระองค์ และก่อนถึงจุดจบโลกจะมีสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์สุดท้ายจะเป็นชาวโรมัน หรือชาวยุโรป คำทำนายดังกล่าวสอดคล้องกับการประกาศสละตำแหน่งของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ที่ 111 และเป็นชาวเยอรมัน ทำให้ชาวแคทอลิกจำนวนไม่น้อยมองว่า นี่คือลางบอกเหตุจุดจบของโลกหรือไม่
ที่มา : http://news.mthai.com/hot-news/218719.html
___________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
Tardigrades หรือที่รู้จักกันในชื่อ หมีน้ำ( Water Bear ) เป็นสัตว์ขนาดเล็กเมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวประมาณ 1.5 มิิลลิเมตร
มีแปดขา ที่สามารถพบได้ทั่วไปทั่วโลก และสามารถดำรงณ์ชีวิตได้เกือบทุกสถาวะ จนเข้าขั้นกึ่งอมตะ
หมีน้ำถูกค้นพบครั้งแรกโดย Johann August Ephraim Goeze ในปี 1773
คำว่า Tardigrades มีความหมายว่า เจ้าตัวเดินช้า( Slow Walker )
ส่วนชื่อ หมีน้ำ ( Water Bear ) นั้นมาจากท่าทางการเดินของพวกมัน
เมื่อโตเต็มที่มีขนาดเพียง 1.5 มิลลิเมตร ส่วนตัวที่เล็กที่สุดมีขนาดเพียง 0.1 มิลลิเมตร ส่วนในช่วงตัวอ่อนมีขนาดเพียง 0.05 มิลลิเมตร
หมีน้ำมีมากกว่า 1000 สายพันธุ์ โดยมากเป็นพวกกินพืช ส่วนน้อยกินแบคทีเรีย และกินสัตว์
หมีน้ำสามารถพบได้ทั่วโลก ตั้งแต่ที่ยอดเขาหิมาลัย(Himalayas) ที่ความสูงกว่า 6,000 เมตร
จนถึงในทะเลลึกถึง 4,000 เมตร ไม่ว่าจะเป็นที่ขั้วโลก หรือในบริเวณเส้นศูนย์สูตร
หมีน้ำชอบอาสัยอยู่ที่ต้นมอส และพวกเห็ด รา ต่างๆ แต่ยังสามารถพบได้ตาม ทราย ชายหาด
ดิน แร่ธาตุ และในตะกอนน้ำ
ร่างกาย เป็นท่อน 4 ท่อน(ไม่รวมส่วนหัว) ในแต่ละท่อนมี 2 ขา ในแต่ละขามีเล็บ
ร่างกาย เป็นท่อน 4 ท่อน(ไม่รวมส่วนหัว) ในแต่ละท่อนมี 2 ขา ในแต่ละขามีเล็บ
- หมีน้ำสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า -272.8°C (ได้ประมาณ 1 นาที ) และที่ -200°C ( อยู่ได้ประมาร 1 วัน )
- หมีน้ำสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 151 °C
- สามารถทนรังสีได้มากกว่ามนุษย์ถึง 1,000 เท่า
- เมื่อปราศจากน้ำพวกมันจะอยู่ในสภาพจำศีลได้กว่า 100 ปี และเมื่อได้รับน้ำพวกมันสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นได้อีกครั้ง
- สามารถอยู่ได้ในสภาพนอกโลก( ในปี 2007 หมีน้ำถูกน้ำนำไปทดสอบในโครงการ FOTON-M3 โดยน้ำไปโคจรในดอวกาศถึง 10 วัน เมื่อนำพวกมันกลับมายังโลกพบว่าพวกมันส่วนใหญ่สามารถรอดชีวิต ทั้งยังมีบางตัววางไข่ ออกลูกได้ ต่างหาก )
- มันมีอายุไข 200 ปี
ที่มา : http://wowboom.blogspot.com/2009/10/water-bears.html
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง : http://fix.gs/linkout.php?http://www.dailymail.co.uk/news/article-2280286/Meet-toughest-animal-planet-The-water-bear-survive-frozen-boiled-float-space-live-200-years.html#ixzz2LEGAG02j
________________________________