ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่ม พยายามที่จะศึกษาค้นคว้าในเรื่องราวชีวิตหลังความตาย
โดยอาศัยคำถามง่าย ๆ จากมนุษย์ทั่วทุกมุมโลกว่า “ตายแล้วไปไหน ?”
จนในที่สุดก็ได้หลักฐานที่บ่งชี้ได้ว่า ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดที่ความตาย หากแต่มีชีวิตใหม่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เพียงแต่มนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสพื้นฐาน จึงเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์
และสรุปออกมาให้น่าเชื่อถือได้
ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องท้าทายแก่วงการวิทยาศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะวงการแพทย์ที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับการเกิดและการตาย
ดังนั้นรายงานที่อ้างว่า พบผู้มีประสบการณ์หลังความตาย จึงมักมาจากนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้เป็นหลัก
ซึ่งไม่น้อยกว่านักวิญญาณศาสตร์ที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณและชีวิตหลังความตายโดยเฉพาะ รวททั้งนักฟิสิกส์บางท่านที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังในเรื่องนี้ เพราะเมื่อใดที่เราเข้าใจเรื่องชีวิตหลังความตายดีขึ้น ต่อไปมนุษย์คงไม่ใช่เพียงรับรู้ถึงความเป็นจริงในมิตินี้เท่านั้น หากแต่รู้ถึงจุดหมายปลายทางที่แท้จริงด้วย
ผลจากความค้นคว้าวิจัยทำให้ตรวจพบพลังงานของจิตที่ไม่ได้สูญหายไปหลังจากเสียชีวิต
หรือหลังจากกายเนื้อถูกทำลายลง ซึ่งพลังงานดังกล่าวที่ค้นพบมีสภาพเป็นพลังเสมือนแม่เหล็กไฟฟ้า และเชื่อว่ามีพลังนอกเหนือจากนี้ซ่อนอยู่ ซึ่งทางด้านนักฟิสิกส์สามารถค้นพบความจริงในระดับที่ละเอียดกว่านั้น จนสามารถพิสูจน์พลังงานนั้นในทางคณิตศาสตร์ และสามารถอธิบายถึงความสัมพันธ์ของร่างกายและจิตวิญญาณได้ จนเกิดเป็น ปรจิตวิทยา (Parapsychology) ซึ่งเป็นอีกสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่มุ่งเน้นศึกษาเรื่องชีวิตหลังความตายเป็นหลัก
[อิงโก สวอนน์]
ในปี ค.ศ. 1950 สหรัฐอเมริกาได้ก่อตั้งสถาบันค้นคว้าทางด้านจิตวิญญาณขึ้นที่เมืองเดอร์แฮม รัฐนอร์ทแคโรไลนา ชื่อมูลนิธิค้นคว้าวิจัยด้านพลังจิต ( Psychical Research Foundation) สถาบันแห่งนี้มุ่งเน้นวิจัยในเรื่องของการถอดกายทิพย์และพลังจิตเป็นหลัก และหนึ่งในเจ้าหน้าที่ขององค์กรนี้ มีผู้ที่สามารถถอดกายทิพย์ได้ นั่นคือ อิงโก สวอนน์ (Ingo Swann) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในสหประชาชาติ เขามีความสามารถพิเศษที่ถูกค้นพบเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ระหว่างที่เข้ารับการผ่าตัดต่อมทอนซิล
หลังจากนั้น 2-3 ปี เขาจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เพราะเขาสามารถถอดกายทิพย์ (astral projection) ได้ และสามารถควบคุมพลังจิตของตัวเองได้อีกด้วย
ในปี ค.ศ. 1972 อิงโก สวอนน์ ได้รับการติดต่อจาก ดร.คาร์ลิส โอซิส (Karlis Osis) นักวิทยาศาสตร์จากสมาคมการค้นคว้าวิจัยด้านพลังจิตของอเมริกา (American Society for Psychical Research)
เมื่อขอทำการศึกษาทดลองถึงพลังจิตที่เขาสามารถควบคุมได้
ซึ่งจากการทดลองขั้นพื้นฐานหลายครั้ง มีข้อสรุปว่า อิงโก สวอนน์ มีความสามารถพิเศษนี้จริง
และต่อจากนั้นสถาบันค้นคว้าวิจัย Stanford Research Institute ที่มีชื่อเสียงของแคลิฟอร์เนียก็มาทำการทดสอบเขาเช่นกัน ซึ่งได้รับผลการทดลองที่น่าประหลาดใจ โดยสวอนน์ สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาสามารถถอดกายทิพย์ได้จริง ด้วยการทายว่ามีอะไรอยู่ในกล่องที่ถูกเอาไปซ่อนไว้อีกห้องหนึ่งได้ถูกต้องทั้งหมด ไม่ว่าในกล่องนั้นจะใส่สิ่งที่เกินคาดเดาแค่ไหนก็ตาม เพราะเขาถอดกายทิพย์ไปดูนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีผู้ที่มีความสามารถด้านพลังจิตอีกคนหนึ่งคือ แฮโรลด์ เชอร์แมน (Harold Sherman)
ซึ่งมีความสามารถเช่นเดียวกับสวอนน์ และอาวุโสกว่า ทั้งคู่มีความคิดที่ตรงกันว่า ความสามารถนี้น่าจะใช้ในการค้นคว้าเกี่ยวกับจักรวาล และความลับของดวงดาวต่าง ๆ ได้ จึงมีผู้สนับสนุนให้ทั้งสองร่วมงานกันอยู่ไม่น้อย
[แฮโรลด์ เชอร์แมน]
จนในที่สุด วันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1973 ทั้งสองก็ได้มีโอกาสร่วมงานกันจริง ๆ โดยทั้งเชอร์แมน
และสวอนน์ ได้ถอดจิตไปสำรวจดาวพฤหัสบดี (Jupiter) รวมถึงบริเวณรอบ ๆ ดาวดังกล่าว
โดยการทดลองครั้งนี้อยู่ในความควบคุมดูแลของนักฟิสิกส์แห่งสถาบันค้นคว้าวิจัยสแตนฟอร์ดอย่างใกล้ชิด เมื่อผลการสำรวจออกมา ก็ได้นำข้อมูลไปเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ได้จากยานสำรวจ Pioneer10 (ยานสำรวจนี้ไม่มีนักบินควบคุม) ขององค์การนาซ่า (NASA)
ผลการสำรวจด้วยการถอดกายทิพย์ของทั้งสอง ให้ข้อมูลว่า บนดาวพฤหัสฯ มีชั้นบรรยากาศที่ร้อนระอุตลอดเวลา มีลมพายุ และจุดแดงคล้ายการระเบิดขนาดใหญ่ นอกจากนั้นชั้นบรรยากาศยังทำให้เกิดการเบี่ยงเบนของคลื่นสัญญาณวิทยุจากยาน Pioneer10 ทำให้คลื่นวิทยุลงไม่ถึงพื้นผิว
ยานจึงไม่สามารถบอกลักษณะพื้นผิวของดาวพฤหัสฯได้
แต่นักพลังจิตทั้งสองสามารถบอกได้ ว่าที่นั้นมีภูเขาและมีสภาพพื้นผิวเป็นอย่างไร
ต่อมาทั้งสองได้ถูกขอให้สำรวจดาวพุธ ด้วยวิธีทางจิตเหมือนเช่นครั้งก่อน
แต่ครั้งนี้จะทำก่อนที่ยาน Pioneer10 จะไปถึง ซึ่งทั้งสองก็เห็นด้วย เพราะดาวพุธไม่ค่อยมีข้อมูลให้ศึกษาเท่าไหร่ เนื่องจากครั้งที่ไปสำรวจดาวพฤหัสฯ มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าทั้งสองอาจอ่านข้อมูลต่าง ๆ จากในหนังสือมาก่อน เท่ากับความสามารถพิเศษนั้นอาจไม่เป็นเรื่องจริง
และในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1974 ทั้งสองก็ทำการสำรวจจักรวาลอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มีลักษณะการทำงานต่างจากครั้งก่อนคือ ทั้งสองจะต้องแยกกันอยู่คนละรัฐ และไปทำการสำรวจในเวลาเดียวกัน
(สวอนน์ อยู่นิวยอร์ก ส่วนเชอร์แมน อยู่อาร์คันซอ ถอดกายทิพย์พร้อมกันเวลา 21.00 น.)
ภายใต้การดูแลของ เจเน็ท ลี มิทเชลล์ (Janet Lee Mitchell) ซึ่งเป็นผู้คอยอัดเทปบรรยายของสวอนน์
และฝ่ายผู้ดูแลของเชอร์แมนจะโทรมารายงานผลกับเธอ พร้อมอัดเทปไว้เป็นหลักฐาน
หากทั้งสองให้ข้อมูลที่ตรงกัน และตรงกับผลการสำรวจอย่างเป็นทางการ (อันจะเกิดขึ้นภายหลัง)
ข้อหาต่าง ๆ ที่ติดค้างในใจของหลาย ๆ คนก็จะถูกลบล้างไป
จากการสำรวจของทั้งสองได้ผลออกมาคล้ายกันว่า การเดินทางด้วยจิตของพวกเขาไปถึงที่นั่นพร้อม ๆ กัน แต่ทั้งสองไม่ทราบว่าอีกฝ่ายก็ไปถึงที่นั่นด้วยเช่นกัน พวกเขาเล่าว่ากายทิพย์ของเขาไปถึงที่นั่นในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น
สภาพของบรรยากาศรอบ ๆ ดาวพุธจากคำบอกเล่าของเชอร์แมน คือ บรรยากาศมีความบางเบา
(ก่อนหน้านี้นักดาราศาสตร์เคยให้ทฤษฎีว่า รอบ ๆ ดาวพุธไม่มีสนามแม่เหล็กและชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์)
ส่วนสวอนน์ได้อธิบายว่า สภาพอากาศที่นั่น ท้องฟ้าไม่มีสีฟ้า มีแต่ความมืดปกคลุมไปทั่ว นอกจากตรงที่มีดวงอาทิตย์เท่านั้นที่ไม่มืด และบางครั้งท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมีม่วงแซมด้วยหมอกอันบางเบา…
นอกจากนี้เชอร์แมนยังยืนยันว่า ที่นั่นมีอนุภาค (Particles) และแร่ธาตุต่าง ๆ ผสมผสานปลิวว่อนอยู่รอบ ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากพลังของแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์ที่แผ่รังสีมากระทบ
แล้วก่อให้เกิดการเสียดสีขึ้นระหว่างอานุภาคกับแร่ธาตุต่าง ๆ ทำให้เกิดเป็นความร้อนขึ้นบริเวณพื้นผิวดาวพุธ ซึ่งในคำกล่าวอ้างนี้ สวอนน์ก็เห็นด้วยโดยอ้างจากสิ่งที่เขาเห็น
และเชื่อว่าที่นั่นมีสนามแม่เหล็กหรือที่เรียกว่า “Magnetosphere” คล้าย ๆ กับว่าดาวพุธมีสนามแม่เหล็กอันบางเบาล้อมรอบ และอีกด้านของดาวพุธมีบางอย่างลักษณะเป็นของเหลวคล้ายพลาสม่าแผ่ไปทั่ว โดยหมุนเวียนสวนทางกับวิธีโคจรของดาวพุธ ดูเหมือนสิ่งนี้ด้วยที่ทำให้เกิดความร้อนในบริเวณนั้น…
มิทเชลล์ทำผลการสำรวจของทั้งสองไปตรวจสอบกับแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ทันที แต่ปรากฏว่า ไม่มีแหล่งข้อมูลใด ที่กล่าวว่าที่ดาวพุธมีสนามแม่เหล็ก ซึ่งขัดกับคำให้การของทั้งสอง
หลังจากนั้น มีการส่งยานสำรวจ Pioneer10 ลงพื้นที่สำรวจดาวพุธอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
และเป็นที่น่าประหลาดใจว่า ผลการสำรวจของยาน Pioneer10 นั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ตรงกับข้อมูลของนักพลังจิตทั้งสองเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงมีผู้เสียดสีว่า ผลการสำรวจของทั้งสองคนนั้นช่างไร้สาระ และคล้ายกับข้อสันนิษฐานเดิมที่เคยมีผู้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ก่อนหน้านั้นเสียเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม ทางด้านของนักวิทยาศาสตร์ก็มิได้คล้อยตามหรือต่อต้านอย่างไร้เหตุผล และได้นำข้อมูลนี้ไปเป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้าต่อไปตามกระบวนการที่สมบูรณ์ถูกต้อง และเป็นที่ยอมรับได้ แต่ที่สำคัญพวกเขามีประเด็นใหม่เข้ามาเพิ่มจุดสนใจในวงการวิทยาศาสตร์อีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งก็คือ “เรื่องความสามารถของจิตวิญญาณ” นั่นเอง…
ที่มา : http://www.indepencil.com
___________________
เครดิต :
________________________________
: Pageviews
loading...