ยิ่งดูก็ยิ่งประหลาดเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตที่หลุดมาจากภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ เนื้อหาในต้นฉบับบทความบอกว่าพวกมันมีรูปร่างเหมือนพิณ หรือเหมือน หวี
สำนักข่าวต่างประเทศเผยแพร่ภาพทะเลสาบสีเลือดที่เกิดขึ้นในเมือง กามาร์เกอ (Camargue) ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งสีแดงราวกับสีของเลือดนั้นเกิดจากปริมาณเกลือในทะเลสาบที่มีปริมาณสูง เกิดการลอยตัวขึ้นมา
ที่หาด บอนได ในเมืองซิดนีย์ของออสเตรเลีย กำลังกลายเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว เนื่องจากจู่ๆน้ำทะเลก็กลายเป็นสีแดง ซึ่งเรียกปรากฎการณ์ทางธรรมชาตินี้ว่า “สาหร่ายสะพรั่ง” สีแดง เกิดจากการเจริญเติบโตมากผิดปกติของสาหร่ายสีแดงในน้ำ
นักวิทยาศาสตร์แห่งนาซา หวั่นเยาชนฆ่าตัวตายหนีวันโลกแตก ตามความเชื่อที่มีคนตีความปฏิทินมายาผิด ใช้สังคมออนไลน์ปลอบประโลมเด็ก ชี้เป็นเพียงเรื่องจินตนาการที่สร้างกันเอง...
นักวิทยาศาสตร์ผู้ร่วมปฏิบัติการในโครงการของนาซาเผย พบหลักฐานใหม่ว่ามีน้ำแข็งอยู่บนดาวพุธ ทั้งยังพบสารประกอบอินทรีย์บนดาวพุธด้วย...
เป็นภาพถ่ายกาเล็กซี่ทางช้างเผือก (Milky Way) นั่นเอง
ที่ถ่ายโดยกล้องเทโลสโคปของ European Southern Observatory
แล้วนำมาอัพโหลดให้คนทั่วไปได้ดาวน์โหลดมารับชมกัน
ซึ่งภาพนี้เป็นภาพถ่ายขนาด 108,200 x 81,500 พิกเซล หรือความละเอียดสูงถึง 9,000 ล้านพิกเซล
และหากนำมาปริ้นในขนาด 100% แล้ว ภาพนี้จะมีความสูง 23 ฟุต และกว้าง 30 ฟุต เลยทีเดียว
!!! เน็ตใครแรงๆ ก็ลองโหลดภาพ 100% มาดูกันได้นะครับ
ภาพนี้ถ่ายจากโลกของเรานี้แหละครับ โดยเล็งไปยังศูนย์กลางของกาแลกซี่ (ระบบสุริยะของเราอยู่บริเวณขอบของกาแลกซี่พอดี เมื่อมองจากโลกของเราจึงเห็นแนวยาวของกาแลกซี่ซึ่งเรียกกันว่า
ภาพนี้ถ่ายจากโลกของเรานี้แหละครับ โดยเล็งไปยังศูนย์กลางของกาแลกซี่ (ระบบสุริยะของเราอยู่บริเวณขอบของกาแลกซี่พอดี เมื่อมองจากโลกของเราจึงเห็นแนวยาวของกาแลกซี่ซึ่งเรียกกันว่า
ทางช้างเผือก เพราะเป็นแนวยาวๆขาวๆ เหมือนทางเดินอะไรทำนองนั้น)
ชมภาพขนาดใหญ่กว่านี้ คลิกที่นี่
หรือดาวน์โหลดภาพเต็ม (Original) ขนาดไฟล์ 21 GB. คลิกที่นี่ http://www.eso.org/public/archives/i...l/eso1242a.psb
ที่มา :
โลโป
ภาพถ่ายกาเล็กซี่ทางช้างเผือก ความละเอียดสูง 9,000 ล้านพิกเซล
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ซีบีเอส - เผยครั้งหนึ่ง นีล อาร์มสตรอง และ บัซ อัลดริน เคยเกือบไม่มีดวงจันทร์ให้เหยียบเสียแล้ว หลังสื่อมวลชนหลายสำนักออกมาแฉว่าสหรัฐฯ เคยมีแผนจุดชนวนระเบิดนิวเคลียร์บนดาวบริวารของโลกดวงนี้ ช่วงทศวรรษที่ 1950
ใครบางคน ทดลองพลังพีระมิดด้วยการเอาเนื้อสัตวเข้าไปไว้ พบว่าไม่เน่า แล้วเค้ารู้หรือเปล่า ว่าถ้ามันอยู่เปล่าๆมันจะเป็นยังไง ถ้ามันอยู่ในรูปทรงอื่นมันจะเป็นยังไง ในฤดูกาลดังกล่าวมันเป็นอย่างไร
ประสบการณ์หลังความตาย วิญญาณลอยจากร่าง อุโมงค์แสง อธิบายได้
มีรายงานว่าผู้ป่วยที่ฟื้นจากความตายรู้สึกเหมือนตอนเองลอยออกจากร่างของตนเองที่นอนสงบนิ่งอยู่เบื้องล่าง บ้างก็ว่ารู้สึกเหมือนถูกดึงสู่อุโมงค์อันมืดมิที่มีแสงสว่างไสวอยู่ปลายทาง ลองดูว่าวิทยาศาสตร์มีคำตอบกับรายงานพวกนี้ว่าอย่างไร
Cueva de los Cristales หรือ ถ้ำคริสตัลยักษ์ ถ้ำคริสตัลยักษ์ 1 ใน ถ้ำ ที่ สวยที่สุดในโลก แปลกที่สุด แห่งหนึ่งในเม็กซิโก ( Mexico ) ที่พึ่งถูกค้นพบเมื่อปี 2000 มันถูกค้นพบทุกคนต่างตกตะลึงที่พบเห็นคริสตัลมากมาย แต่ที่แตกต่างจากถ้ำอื่นๆ คือ คริสตัลถายในถ้ำนั้นใหญ่โต อย่างประหลาด เพราะคริสตัลบางอันมีขนาดยาวถึง 11 เมตร และหนักกว่า 55 ตัน
ธิเบตจัดเป็นดินแดนที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก และเราก็ได้ยินฉายาของดินแดนนี้บ่อยๆว่า เป็นดินแดนที่เป็นหลังคาโลก แม้ว่าภูมิอากาศจะแห้งแล้งกันดาร และติดต่อกับดินแดนอื่นๆได้ยาก มีความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ
"เกาะแซนดี้"ปรากฎอยู่บนกูเกิล แมปส์และแผนที่โลกต่างๆ โดยมันตั้งอยู่ระหว่างออสเตรเลียกับนิวแคลิโดเนีย ดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส
เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 19 พ.ย. ผู้สื่อข่าว “เดลินิวส์” ได้รับแจ้งจาก นายประเทืองวิทย์ โชติสุริยา อายุ 44 ปีอยู่บ้านเลขที่ 77 ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ ว่า เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับครอบครัว เนื่องจากมารดาที่เพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในเม็ดเลือดรักษาตัวอยู่ที่ห้องอายุรกรรมหญิงชั้น 5 รพ.สิรินธร ซอยอ่อนนุช 90 ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเมื่อมีนักร้องเพลงลูกทุ่งชื่อดัง “สายัณห์ สัญญา” มาเยี่ยม ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบ
นักวิจัย UFO หลายคนเชื่อว่า นี่คือ UFO ของจริง และเป็นภาพที่มาจากทาง นาซ่า
จากลิ้ง ที่อยู่ภาพ ระบุวันที่ 17/11/2555, 2:25:00
ซึ่งในภาพนี้ เผยให้เห็นวัตถุเปล่งแสง อยู่ 2 จุด แต่ก็ไม่สามารถระบุได้แน่ชัด ว่าคืออะไร
ในปัจจุบันมีทฤษฎีทางฟิสิกส์หลายทฤษฎีที่บอกถึงความเป็นไปได้ที่จะมี โลกคู่ขนาน หรือ เอกภพคู่ขนาน (Parallel Universe) โดยในแต่ละทฤษฎีก็จะทีมาที่ไป และความหมายของคำว่าเอกภพคู่ขนานแตกต่างกันไป ซึ่งพอจะจำแนกทฤษฎีเหล่านี้ออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ Quantum parallel universe, Inflation multi-universes และ String theory multi-universes
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายมูรแกน ซาเล็ม อัล โกฮารี หัวหน้ากลุ่มจีฮัด ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นอียิปต์ขู่จะจะทำลายตัวสฟิงซ์และพีระมิดกิซ่าแห่งอียิปต์ เพราะสิ่งเหล่านี้สร้างความหลงไหลงมงายซึ่งขัดต่อคำสอนในคัมภีร์อัลกุรอาน
ดาวหางจำนวนเรือนล้านที่อยู่รอบๆดาวฤกษ์ ในกลุ่มดาวเซตุสได้ก่อการจลาจล ปะทะชนกันจนแตกทำลายอยู่ทุกๆ 6 วินาที มานานเป็นเวลาหลายล้านปีมาแล้ว
นักวิจัยพบเครือข่ายคลองมากมายทีบนเส้นทางจากแหล่งสกัดหินทรายที่อยู่ตีนภูเขาใกล้ๆ ซึ่งใกล้กว่าเส้นทางลำเลียงผ่านแม่น้ำ และคาดว่าคือเส้นทางในการขนส่งก้อนหินขนาดมหึมา ( Alexey Stiop/ไลฟ์ไซน์)
มีการเผยแพร่คลิปวีดิโอในเว็บไซต์ยูทูป โดยผู้ใช้ชื่อว่า Larudiass ระบุว่าเป็นภาพเหตุการณ์ก่อนจะเกิดแผ่นดินไหว 6.8 ริกเตอร์ ที่มัณฑะเลย์ ประเทศพม่า ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 13 ราย เจ็บกว่า 40 คน
จากปฏิบัติการ อพอลโล 16 ส่งมนุษย์สำรวจดวงจันทร์ ของนาซ่า
หลายๆครั้งที่ อดีตนักบินอวกาศอพอลโล 14 ดร.เอ็ดการ์ มิทเชลล์ ออกมาแฉเกี่ยวการมีตัวตนอยุ่จริงของมุนษย์ต่างดาว
ล่าสุด เมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2012 มีผู้โพสท์คลิป ลงใน Youtube เผยแพร่ภาพถ่าย ลักษณะคล้ายกับยานอวกาศบนพื้นผิวดวงจันทร์
โดยอ้าง เป็นภาพลับจาก ปฏิบัติการ อพอลโล 16
ที่จับภาพวัตถุประหลาด บนพื้นผิวดวงจันทร์ ซึ่งวัตถุนี้มีความยาวประมาณ 2,5 กิโลเมตร และดูเหมือนว่าเจ้าสิ่งนี้ตกลงกระแทกกับพื้นดวงจันทร์ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ซึ่งเราสามารถเห็นได้ชัดเจน จากหลุมขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหลังวัตถุ
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=KSTVO5Rr7Yc#!
http://realufos.ning.com/photo/guyot-crater-anomaly________________________________
เป็นภาพที่ผมไม่แน่ใจนักว่าสิ่งนั้นคืออะไรครับ
ซึ่งถ่ายได้ 2 รูปติดกันเลย ประมาณเกือบ 6 ปีที่แล้ว
ซึ่งถ่ายได้ 2 รูปติดกันเลย ประมาณเกือบ 6 ปีที่แล้ว
บันทึกส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณ ในการรับชม
ช่วงสมัยเรียน ผมเคยพาเพื่อนไปเที่ยวบนเขาแห่งหนึ่ง
ซึ่งมีวัดอยู่บนเขาแห่งนั้น และที่แน่นอน มีวัดย่อมมีสุสาน
ผมไปนั่งบนศาลาที่ใกล้กับบัว ที่เก็บกระดูก
ด้วยความที่เป็นคนบ้ากล้อง คิดว่าตัวเองนั้นหล่อ
จึงได้โพสต์ท่าตัวเองถ่ายไว้หลายรูป
ตอนถ่ายแรกๆนั้นผมก็ได้พูดเล่นๆว่า...บางทีเราอาจะถ่าย
ภาพติดวิญญาณก็ได้ (ตามกระแสหนังชัตเตอร์ในช่วงนั้น)
หลังจากที่ผมถ่ายเสร็จ จนหนำใจ ก็ได้เปิดดูรูปทีละรูป มีรูปหนึ่งที่สะดุดตา
------------------------------
คือมีผืนสีขาวตรงคอผม เหมือนเกลื้อน ขนาดเท่านิ้วโป้ง
ผมซูมมองไปใกล้ๆ แล้ว เลื่อนไปตรงพุ่มไม้ข้างๆบริเวณตรงบัวพอดี
ถึงกับสะดุ้งขนลุก เพราะภาพที่เห็น ตรงพุ่มไม้เหนือบัวนั้น
คือ ลักษณะเหมือนลิง โหนต้นไม้อยู่รูปร่างผอมบางลำตัวสีออกเทาๆปนเขียว
มีดวงตาสีดำใหญ่เฉียงขึ้นเล็กน้อย และมีเขา 2 เขาสีดำที่ตรงหัว
เห็นได้อย่างชัดเจน และตอนนั้นด้วยความที่ไม่แน่ใจกับสิ่งที่เห็น
ผมจึงได้ถ่ายบริเวณนั้น อีกที ใกล้เคียงกับมุมกล้องเดิม
ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อ ผมซูมมองตรงจุดนั้น
ผมจึงรีบโกยออกจากที่นั้นทันที
แต่น่าเสียดายครับรูปนั้นนอยู่ในเครื่องคอมเก่าของผม
และมันก็เจ้งเสียแล้ว ข้อมูลในฮาร์ดิสของถูกฟอแมตหมดเลย
ผมพยายามหารูปนั้น อยู่หลายปี แต่ก็ยังไม่เจอเลย
เลยวาดภาพให้ดูคราวๆครับ
ผมคิดๆดูแล้วภาพนี้น่าพิศวง เหมือนกับไม่อยากให้เผยให้ใครรู้
ที่น่าแปลก มือถือเครื่องที่ถ่ายนั้น เพื่่อนกลับทำหายไป หลังจากวันนั้นไม่กี่วัน
คอมที่เก็บรูปไว้ก็ดันเสีย แถมโดน ฟอแมตฮาร์ดิสอีก
----------------------------------------
หากรูป นั้น ยังอยุ่ ผมเชื่อว่า นี่คงจะเป็น รูปมนุษย์ต่างดาว
หรือต่างมิติ ที่น่าเชื่อถือ ค่อนข้างมาก
เพราะผม ถ่ายไว้ 2 รุป ในอิริยาบถ ที่ต่างกัน
แต่ความพยายามล้มเหลว หลังจากหาภาพ ใน แผ่น CD อยุ่หลายปี (เผื่อไรท์ เก็บไว้) แต่กลับไม่เจอรูปนี้
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ช่วงสมัยเรียน ผมเคยพาเพื่อนไปเที่ยวบนเขาแห่งหนึ่ง
ซึ่งมีวัดอยู่บนเขาแห่งนั้น และที่แน่นอน มีวัดย่อมมีสุสาน
ผมไปนั่งบนศาลาที่ใกล้กับบัว ที่เก็บกระดูก
ด้วยความที่เป็นคนบ้ากล้อง คิดว่าตัวเองนั้นหล่อ
จึงได้โพสต์ท่าตัวเองถ่ายไว้หลายรูป
ตอนถ่ายแรกๆนั้นผมก็ได้พูดเล่นๆว่า...บางทีเราอาจะถ่าย
ภาพติดวิญญาณก็ได้ (ตามกระแสหนังชัตเตอร์ในช่วงนั้น)
หลังจากที่ผมถ่ายเสร็จ จนหนำใจ ก็ได้เปิดดูรูปทีละรูป มีรูปหนึ่งที่สะดุดตา
------------------------------
คือมีผืนสีขาวตรงคอผม เหมือนเกลื้อน ขนาดเท่านิ้วโป้ง
ผมซูมมองไปใกล้ๆ แล้ว เลื่อนไปตรงพุ่มไม้ข้างๆบริเวณตรงบัวพอดี
ถึงกับสะดุ้งขนลุก เพราะภาพที่เห็น ตรงพุ่มไม้เหนือบัวนั้น
คือ ลักษณะเหมือนลิง โหนต้นไม้อยู่รูปร่างผอมบางลำตัวสีออกเทาๆปนเขียว
มีดวงตาสีดำใหญ่เฉียงขึ้นเล็กน้อย และมีเขา 2 เขาสีดำที่ตรงหัว
เห็นได้อย่างชัดเจน และตอนนั้นด้วยความที่ไม่แน่ใจกับสิ่งที่เห็น
ผมจึงได้ถ่ายบริเวณนั้น อีกที ใกล้เคียงกับมุมกล้องเดิม
ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อ ผมซูมมองตรงจุดนั้น
เห็นสิ่งนั้นกำลังชูสองนิ้วเหมือนกำลังโพสต์ท่าถ่ายรูปอยู่
ผมจึงรีบโกยออกจากที่นั้นทันที
แต่น่าเสียดายครับรูปนั้นนอยู่ในเครื่องคอมเก่าของผม
และมันก็เจ้งเสียแล้ว ข้อมูลในฮาร์ดิสของถูกฟอแมตหมดเลย
ผมพยายามหารูปนั้น อยู่หลายปี แต่ก็ยังไม่เจอเลย
เลยวาดภาพให้ดูคราวๆครับ
ผมคิดๆดูแล้วภาพนี้น่าพิศวง เหมือนกับไม่อยากให้เผยให้ใครรู้
ที่น่าแปลก มือถือเครื่องที่ถ่ายนั้น เพื่่อนกลับทำหายไป หลังจากวันนั้นไม่กี่วัน
คอมที่เก็บรูปไว้ก็ดันเสีย แถมโดน ฟอแมตฮาร์ดิสอีก
----------------------------------------
หากรูป นั้น ยังอยุ่ ผมเชื่อว่า นี่คงจะเป็น รูปมนุษย์ต่างดาว
หรือต่างมิติ ที่น่าเชื่อถือ ค่อนข้างมาก
เพราะผม ถ่ายไว้ 2 รุป ในอิริยาบถ ที่ต่างกัน
แต่ความพยายามล้มเหลว หลังจากหาภาพ ใน แผ่น CD อยุ่หลายปี (เผื่อไรท์ เก็บไว้) แต่กลับไม่เจอรูปนี้
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
Admin ไปเจอมา คล้ายกันเดะกับในบทความนี้
เวียดพบปลาประหลาด .. ปลาหัวงู โดนเขี่ยแยกเขี้ยวขู่ฟ่อเหมือนงู
ชื่อวิทยาศาสตร์ Anguilla bengalensis วงศ์ ปลาตูหนา
พิกัด X = 391759 พิกัด Y = 2134370
ลักษณะโดยทั่วไป
ปลาสะแงะ หรือที่เรียกกันว่าปลาไหลมีหู เป็นปลาชนิดเดียวกับที่ทางภาคใต้เรียกว่า ปลาตูหนา มีลำตัวกลมยาวแบบปลาไหล ส่วนหัวเป็นรูปกรวย ด้านบนราบแบน ตาเล็ก ปากกว้าง ริมฝีปากหนา มีจมูกเป็นท่อ ฟันเล็กละเอียด และแหลมคม เพดานปากแคบ ครีบหูกว้างกลมมน ส่วนโคนครีบหลังอยู่ใกล้รูก้นมากกว่าเหงือก เกล็ดเล็กฝังใต้ผิวหนังตลอดลำตัว ลำตัวมีสีเหลืองอมเทาเป็นลายหินอ่อน ท้องมีสีจาง ครีบคล้ำ เป็นปลากินเนื้อ ออกหากิน ตอนกลางคืน (บุญศรี วิจิตร :12/09/2550; ปานนุ สมบูรณ์ชัย : 12/09/ 25 50)
ปลาสะแงะ ยัง มีลักษณะสำคัญคือ มีลำตัวยาว หัวเรียวมน ปากกว้างมีริมฝีปากหนา มีรูจมูกเป็นท่อสั้น ครีบหลัง ครีบหางและครีบก้นต่อเนื่องกัน ครีบอกมน มีเกล็ดเล็กละเอียดฝังใต้ผิว มีแถวฟันบนเพดานเป็นรูปหัวลูกศร แต่มีร่องบนแฉกด้านข้าง และแฉกอันกลางสั้นกว่าด้านข้างครีบ
หลังอยู่ค่อนไปด้านหน้าของครีบก้น ตัวมีสีเทาหรือสีน้ำตาล มีลายด่างสีเหลืองดำ ท้องสีจาง ขนาดพบยาวถึง 1 เมตร เป็นปลาเศรษฐกิจในท้องที่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพราะเป็นปลาที่จับยากและมีราคาค่อนข้างแพง พบมาก บริเวณแม่น้ำที่เป็นน้ำไหล น้ำลึกได้แก่ แม่น้ำปาย แม่น้ำสาละวิน มีราคากิโลกรัมละประมาณ 180 – 200 บาท
พิกัด X = 391759 พิกัด Y = 2134370
ลักษณะโดยทั่วไป
ปลาสะแงะ หรือที่เรียกกันว่าปลาไหลมีหู เป็นปลาชนิดเดียวกับที่ทางภาคใต้เรียกว่า ปลาตูหนา มีลำตัวกลมยาวแบบปลาไหล ส่วนหัวเป็นรูปกรวย ด้านบนราบแบน ตาเล็ก ปากกว้าง ริมฝีปากหนา มีจมูกเป็นท่อ ฟันเล็กละเอียด และแหลมคม เพดานปากแคบ ครีบหูกว้างกลมมน ส่วนโคนครีบหลังอยู่ใกล้รูก้นมากกว่าเหงือก เกล็ดเล็กฝังใต้ผิวหนังตลอดลำตัว ลำตัวมีสีเหลืองอมเทาเป็นลายหินอ่อน ท้องมีสีจาง ครีบคล้ำ เป็นปลากินเนื้อ ออกหากิน ตอนกลางคืน (บุญศรี วิจิตร :12/09/2550; ปานนุ สมบูรณ์ชัย : 12/09/ 25 50)
ปลาสะแงะ ยัง มีลักษณะสำคัญคือ มีลำตัวยาว หัวเรียวมน ปากกว้างมีริมฝีปากหนา มีรูจมูกเป็นท่อสั้น ครีบหลัง ครีบหางและครีบก้นต่อเนื่องกัน ครีบอกมน มีเกล็ดเล็กละเอียดฝังใต้ผิว มีแถวฟันบนเพดานเป็นรูปหัวลูกศร แต่มีร่องบนแฉกด้านข้าง และแฉกอันกลางสั้นกว่าด้านข้างครีบ
หลังอยู่ค่อนไปด้านหน้าของครีบก้น ตัวมีสีเทาหรือสีน้ำตาล มีลายด่างสีเหลืองดำ ท้องสีจาง ขนาดพบยาวถึง 1 เมตร เป็นปลาเศรษฐกิจในท้องที่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพราะเป็นปลาที่จับยากและมีราคาค่อนข้างแพง พบมาก บริเวณแม่น้ำที่เป็นน้ำไหล น้ำลึกได้แก่ แม่น้ำปาย แม่น้ำสาละวิน มีราคากิโลกรัมละประมาณ 180 – 200 บาท
ที่มา :
http://www.taiyai.org/index.php?name=animals&file=readanimals&id=1
http://salweenfish.blogspot.com/
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
อันนี้เป็นข่าวนานแล้วครับ เคยเห็นแต่รูป พอดีไปเจคลิปมา น่าสนใจดีเลยนำมาให้ชมกัน
เรื่องนี้เกิดใน จ.ลำปาง เรื่องมีอยู่ว่า...
........วันลอยกระทงที่ผ่านมา หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งได้ตั้งวงสังสรรค์กันภายในห้องพัก หนุ่มสาวทั้งหมดนี้
ทุกคนทำงานในอมตะนคร ในขณะที่นั่งดื่มกินกันอยู่ ก็มีชายสองคนขับรถมอไซด์ออกไปข้างนอก
เพื่อไปหาซื้อเครื่องดื่มมาเพิ่ม 1 ใน 2 คนที่ออกไปเป็นสามีของหญิงเสื้อแดงที่อยู่ด้านซ้ายมือ
ทุกคนที่นั่งอยู่หารู้ไม่ว่าเพื่อนทั้ง 2 คนที่ออกไป ได้เกิดอุบัติเหตุ คนที่เป็นแฟนคนเสื้อแดง ได้เสียชีวิตคาที่
ส่วนคนที่ไปด้วยมีคนนำส่งโรงพยาบาล เพื่อนกลุ่มนี้ก็ยังนั่งสังสรรค์กันต่อไปและได้มีการนำมือถือมาถ่ายคลิป
........หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนมาแจ้งข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทุกคนจึงแยกวงและไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล
........หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป ก็มีการนำคลิปมาเปิดดู ปรากฏว่า...เหมือนกับมีส่วนเกินอยู่ในคลิปด้วย
ซึ่งหญิงเสื้อแดง เธอก็ยืนยันว่า นั่นคือวิญญาณของสามีเธอเอง เพราะสภาพศพวันที่เสียชีวิตคาที่ ลักษณะมีเลือด
โชกเต็มหน้า คล้ายๆกับในคลิป นั่นก็แสดงว่า ชายคนนั้นหลังจากเสียชีวิต วิญญาณของเขาก็กลับมาที่ห้อง
โดยที่เพื่อนๆแม้กระทั่งแฟนไม่มีใครมองเห็นเขาซักคน...แต่มีภาพของเขาติดอยู่ในคลิปได้อย่างไร???(ให้สังเกตุด้านหลังของชายที่นั่งติดประตู)เรื่องนี้จะจริงหรือเท็จก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคล หรือถ้ามีใครอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ ก็ให้ติดตามชมคลิปนี้ได้
ในรายการ...เรื่องจริงผ่านจอ ที่จะออกอากาศวันพฤหัสที่ 27 พ.ย 2551 นี้ (เขาบอกมา)
..........เรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็นอุทาหรณ์อยู่อย่างนึงคือ ในขณะที่ดื่มสุราเข้าไปแล้ว ไม่ควรขับขี่ยวดยานพาหนะ เพราะตอนเมาก็จะทำให้ขาดสติ
รถจะแรงผิดปกติ โดยเฉพาะตอนนี้กำลังรณรงค์เรื่อง Safety กันอยู่ ซึ่งก็เป็นเรื่องไกล้ตัวสำหรับพนักงานทุกคน
ชมคลิป
ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=b8xQ5iMP3G0
ภาพจาก: kapook.com
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดแสดงให้เห็นธารน้ำแข็งที่ลดจำนวนอย่างน่าตกใจ
อุณหภูมิโลกที่พุ่งสูงขึ้นจากผลของภาวะโลกร้อน กำลังส่งผลต่อธารน้ำแข็งที่ปกคลุมยอดเขาคิลิมันจาโร ประเทศแทนซาเนีย ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปแอฟริกา นักวิจัยอากาศ “นาซา” เตือน ธารน้ำแข็งบนยอดเขา “คิลิมันจาโร” อาจหายไปหมดภายในปี 2060
จุดที่ทหารอินเดียเห็น UFO กว่า 100 ครั้งนับแต่เดือนสิงหาคมจนถึงปัจจุบัน ในบริเวณชายแดนรัฐอรุณาจัลประเทศและแคว้นแคชเมียร์ส่วนที่ติดกับจีน (ภาพ-เอเยนซี่)
ตะลึง เมื่อช่างภาพมือสมัครเล่น ดาซิลวาอดัม ถ่ายภาพเปลวเพลิง ปรากฎเป็นรูปนก ฟีนิกซ์ (Phoenix) ขณะกองไฟเพื่อการเฉลิมฉลอง กับครอบครัว
ดาซิลวาอดัม กล่าวว่า มันเกิดขึ้นเร็วมาก ประมาณ สองสามวินาที ซึ่งเขาสามารถจับภาพเอาไว้ได้ ได้ใช้กล้อง Canon 7D
อันนี้เป็นสิ่งที่ Admin ถอดรหัสได้เอง เมื่อ 3 ปี ก่อน ครับ
ตอนนั้นทำงาน งานเกี่ยวกับ การถอดแบบและออกแบบเฟอร์เจอร์ และต้องคำนวนหาค่าแผ่นไม้สำเร็จรูป ว่าจะต้องตัดได้กี่ชิ้นงาน ต่องานแต่ละตัว และแต่ละล๊อต
(ซึ่งค่อนข้างปวดหัวเลยมากทีเดียว)
ระหว่างที่กำลังหามุมผ่อนคลายจากหน้าคอมจากตารางคำนวน Excel
ตัวเลขก็ยังผุดวนเวียนในหัวเลข ไม่รู้คิดยังไง(ตอนนั้น) เลยสงสัย สูตร คูณแม่ 9
ที่เห็น ผลคูณ เลขท้ายเรียงลำดับกันอย่างน่า อัศจรรย์ ตั้งแต่ 9-0 แล้วเรียงใหม่ 9-0
เลยพิมพ์ลงใน Excel สุดท้าย มันก็มีแต่ 9-0 เลขสงสัยนำตัวเลขผลคูณแต่ละหลัก มาบวกกัน
จนเหลือหลักเดียว สุดท้าย ลงเอยได้ 9 ทั้้งหมด (แปลกดี)
ก่อนหน้านี้เคยดู ราการ (ประมาณ 4 ปีก่อน ) ที่สอนกี่ การคำนวน สูตรด้วยนิ้ว
นั้นคือ
- ให้แบฝามือหันหน้าหาตัวเอง กางนิ้ว ทั้ง 10 นิ้ว
- (ผมชอบนับจากซ้าย ไปขวา นั้นคือ วิสัยทัศน์ ของคนทั่วไป) ต่อมาให่พับโป้งซ้าย ลง นั้นหมายถึง 9x1 ดูจำนวนนิ้วที่เหลือ เท่ากับ 9
- 9x2 ให้พับนิ้ว ชี้ซ้่ายลง (เอานิ้วโป้ง ซ้ายขึ้น) หลังจากนิ้วที่พับเป็นหลักสิบ ก่อนนิิ้วพับเป็นหลักหน่วย ก็จะได้ 18 (นิ้วที่พับไม่นับ)
- 9x13 ให้พับนิ้วกลางซ้่ายลง (หลังจากที่วนครบ ซ้ายไปขวา หน่วยของค่าหลักนนิ้วโป้งซ้ายจะเท่ากับหลักร้อย ถัดจากนิ้วโป้งไปจนถึงนิ้วที่พับ จะกลายเป็นหลักสิบ ก็จะได้ 117 เป็นต้น
ทุกอย่างล้วนตั้งอยู่ ใน 10 นิ้ว ที่ พับ 1 นิ้ว (ไม่นับ) นั้นหมายถึง 9 นั้นเอง ....
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ก็เห็นรายการทางช่อง 9 ใช้วิธี ค้นหา คำตอบ จากผู้คนหลายคน ซึ่งจะตอบคำถามเหมือนกันดังนี้ คือ
- ให้นึกหมายเลข ตั้งแต่ 1-9 จำไว้ในใจ แต่ละคนจำไว้
- ให้คูณด้วยด้วย 9 (เริ่มเข้าเค้า)
- จากนั้นให้นำผล คูณแต่ละหลัก บวกกกัน จนเหลือหลักเดียว (แน่นอน = 9 )
- ให้นำตัวเลขหลักเดียว จากผลบวกเมื่อกี้ มา - 5 (เอ๊ะ ไปไหนต่อ 9-5 = 4)
- ให้นำตัวเลขนั้น แทนลำดับอักษร ภาษา อังกฤษ เช่น A=1 B=2 ( 4=D แน่นอน ^_^)
- ให้นำตัวอักษรนั้น เขียนชื่อประเทศ ( admin ลุุกขึ้น ตอบเสียงดัง ก่อนที่รายการจะดูคำตอบจากผู้ตอบคำถาม {เพื่อนข้างหา admin บ้าไผแล้ว} )
- และคำตอบจากผู้ที่ตอบคำถาม ในรายการทุกคนคืน เดนมาร์ก (เพื่อน อึ้ง 555 )
(สาเหตุ ที่ผู้ถาม ให้เลือก D นั้นเพราะ เดนมาร์ค เป็นชื่่อประเทศลำดับแรกๆที่นึกได้ ที่ขึ้นต้นด้วย D )
ใครมีชื่อ ประเทศ อื่นบอก Admin ด้วยนะ
ที่มา : admin เอง
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
สำหรับชาวสหรัฐอเมริกา ต่างก็รู้กันดีว่า ภูเขาอดัมส์ (Mount Adams)รัฐ ออริกอน เป็นแหล่งชุกชุม แห่ง UFO ที่ผู้คนพบเห็น UFO กันมาหลายปี
ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทางตะวันตกของประเทศ ใกล้กับ ECETI ซึ่งมีการพบเห็น UFO บริเวณภูเขาแห่งนี้ค่อนข้างบ่อยกันเลยทีเดียว
วันนี้ allmysteryworld นำเสนอ ภาพแปลกๆ บริเวณ ภูเขาลูกนี้ ล่าสุด 2 พฤศจิกายน 2012 มีคน ใช้ flashearth โดยนักศึกษา แห่งวอชิงตันสหรัฐอเมริกา
ส่่องดูภูเขาลูกนี้ ถึงกับผงะ เมื่อเห็นภาพความผิดเพิ้ยน บริเวณเขาอดัมส์ ซึ่งคล้ายกับการ "อำพรางตัว" ทำให้แสงที่สะท้อนกับวัตวถุ หักเหผิดเพี้ยนไป
สามารถส่งดูได้ที่ http://www.flashearth.com/
ภาพ UFO ที่มีการบันทึกบริเวณ ภูเขาอดัมส์
ชมคลิป UFO
ชมคลิปจากผู้พบเห็น
ที่มา :
____________________
เครดิต :
________________________________
อ้างอิง :
http://phantomsandmonsters.wetpaint.com/page/UFO+%2F+Paranormal+Activity+Near+Mt.+Adams+and+Trout+Lake,+WA
http://www.realufos.net/2008/09/mount-adams-ufos-orbs-testimonials-from.html
http://www.ufosightingsdaily.com/2012/11/alien-base-entrance-discovered-on-mount.html
http://www.examiner.com/article/ufo-nocturnal-aerial-lights-filmed-over-mt-adams-wa
________________________________
พบทะเลสาบแปลกประหลาดที่สุดในโลก มีน้ำเป็นน้ำยาซักฟอก และมีความเป็นด่างอย่างแรง รีบส่งนักวิทยาศาสตร์ไปสำรวจ เพื่อค้นหาชีวิตที่อาจจะมีอยู่ได้ และเชื่อว่าอาจจะเป็นพิมพ์เดียวกับของชีวิตต่างโลก
มาดูเลื้อยคลานประหลาดๆ 4 กันครับ
อันนี้เป็นข่าวข่าวเก่าแต่น่าสนใจดี
ชาวบ้านพบสัตว์ประหลาดบนเทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร รูปร่างคล้ายงู แต่มี 4 ขา มีนิ้วเท้าข้างละ 5 นิ้ว ลายเหมือนงูเหลือม หางคล้ายงูสามเหลี่ยม นำไปให้ปศุสัตว์จังหวัดพิสูจน์ชี้คล้ายจิ้งเหลนเรียว ขาเล็ก
มันคืออะไรกันแน่ งูหรือปลา? หรือปลาหัวงู? ชาวบ้านใน จ.หว่าบี่ง (Hoa Binh) พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เคยบพบเห็นปลาน้ำเจืดพันธุ์นี้มาก่อน ในเวียดนามนั้นยังมีอะไรให้ประหลาดใจได้อีกมากมาย. -
Vera Rubin นักดาราศาสตร์หญิงผู้เป็นคุณแม่ลูก 4 และพบว่าในเอกภพมีสสารที่มองไม่เห็น
ตั้งแต่สมัยของ Galileo คือเมื่อ 400 ปีก่อน นักดาราศาสตร์ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ศึกษาธรรมชาติของดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ดาวหาง ดาวเคราะห์น้อย กาแล็กซี ฯลฯ ซึ่งเป็นดาวบนท้องฟ้าที่กล้องโทรทรรศน์สามารถเห็นได้ แต่ปัจจุบันโลกมีนักดาราศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังค้นหาสสารที่ตามองไม่เห็น และบุคคลหนึ่งที่เป็นผู้บุกเบิกการวิจัยเรื่องนี้ คือ Vera Rubin
Vera Cooper เกิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ.1928 ที่เมือง Philadelphia ในสหรัฐอเมริกา บิดา Phillip Cooper มีอาชีพเป็นวิศวกรไฟฟ้า ส่วนมารดาเป็นพนักงานทำงานที่บริษัท Bell Telephone Company เมื่อ Vera มีอายุ 10 ปี ครอบครัว Cooper ได้อพยพไปอยู่ที่กรุง Washington DC
Vera เป็นคนที่สนใจดาราศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เมื่อบิดาเห็นว่าเธอสนใจและชอบดูดาวมาก จึงช่วยเธอสร้างกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กเพื่อใช้ดูดาวที่บ้าน และบิดามักพาเธอไปร่วมประชุมกับนักดาราศาสตร์สมัครเล่นที่เป็นผู้ใหญ่คนอื่นๆ โดยจะนั่งเป็นเพื่อนเธอตลอดการบรรยาย เพราะเธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่สมควรอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ชายทั้งหมด
Vera เล่าให้ฟังว่า การที่เธอเป็นนักดาราศาสตร์ได้เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัวเป็นอย่างมาก แต่ไม่ได้รับแรงกระตุ้นจากครูที่โรงเรียนเท่าที่ควร เพราะครูวิทยาศาสตร์มักให้ความสนใจในเด็กผู้ชายมากกว่า สำหรับครูแนะแนวนั้นก็ได้พยายามบอกเธอว่า ชีวิตเธอจะก้าวหน้า ถ้าไม่คิดจะเป็นนักดาราศาสตร์
Vera สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาเมื่ออายุ 16 ปี ตลอดเวลาที่เรียนระดับมัธยมศึกษา เธอชอบอ่านตำราดาราศาสตร์และชอบคณิตศาสตร์ ยามว่างจะเล่นเปียโน ทำงานศิลปะ ปั่นจักรยานในชั่วโมงกีฬา เธอไม่คบเพื่อนชายหลายคน เพราะเธอชอบผู้ชายที่ฉลาด และรู้สึกตลอดเวลาว่าเธอมีนิสัยแตกต่างจากเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ตรงที่เธอสนใจดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นความต้องการที่ “ผิดปกติ” ของคนในสมัยนั้น
ในระดับอุดมศึกษา Vera ต้องการจะเรียนต่อที่ Swarthmore College ในรัฐ Pennsylvania แต่เจ้าหน้าที่สัมภาษณ์คิดว่า เธอน่าจะเรียนวิชาวาดภาพดาวมากกว่า เธอจึงสมัครไปเรียนต่อที่ Vassar College ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Poughkeepsie ในรัฐ New York เพราะที่นั่นเป็นวิทยาลัยแห่งเดียวในสหรัฐฯ ที่อนุญาตให้ผู้หญิงเรียนดาราศาสตร์ในระดับปริญญาตรีได้ นอกจากเหตุผลนี้แล้ว เธอก็ยังรู้ว่า Vassar เป็นวิทยาลัยที่เคยมีนักดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อ Maria Mitchell เป็นครูสอนด้วย เพราะในปี 1847 Mitchell วัย 29 ปี ได้พบดาวหาง Mitchell โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ที่บิดาสร้างให้ และผลงานนี้ทำให้เธอได้รับเลือกเป็นสมาชิกของสมาคม American Academy of Arts and Sciences ในปี 1848 รวมถึงเป็นศาสตราจารย์และผู้อำนวยการแห่งหอดูดาวที่ Vassar ด้วย
เพราะครอบครัว Cooper ไม่มีฐานะดี ดังนั้น Vera จึงต้องหาทุนเรียนที่ Vassar ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่สอนเฉพาะผู้หญิง เธอเล่าว่า ในห้องเรียนมีเธอเป็นนิสิตเพียงคนเดียว ดังนั้นการเรียนการสอนจึงเป็นไปในลักษณะตัวต่อตัวกับอาจารย์ ซึ่งนับเป็นเรื่องดีเพราะเธอได้รับความสนใจจากอาจารย์ 100% เต็ม
Vera Rubin รับรางวัลเกียรติยศจาก Bill Clinton
ในปี 1948 Vera วัย 20 ปีสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และได้เข้าพิธีสมรสกับ Robert Rubin ซึ่งเป็นนักเคมีฟิสิกส์ ที่กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัย Cornell Vera Rubin จึงได้ติดตามสามีไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Cornell และได้เรียนกับนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น Philip Morrison, Richard Feynman กับ Hans Bethe จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทในปี 1951 ด้วยวิทยานิพนธ์เรื่อง ลักษณะการเคลื่อนที่ของกาแล็กซี จำนวน 109 กาแล็กซี แต่เมื่อเธอนำผลงานวิจัยนี้ไปเสนอในที่ประชุมครั้งที่ 84 ของ American Astronomical Society (AAS) ไม่มีใครให้ความสนใจมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะข้อมูลของเธอยังไม่สมบูรณ์ เธอรู้สึกท้อแท้ แต่สามีก็ยังให้กำลังใจสู้ต่อ โดยบอกเธอว่า การเรียนจบปริญญาโททางดาราศาสตร์มิได้หมายความว่า เธอได้เป็นนักดาราศาสตร์แล้ว เธอจึงมุ่งมั่นจะเรียนปริญญาเอกต่อ
เมื่อครอบครัว Rubin ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ที่ Washington DC Vera Rubin ได้ตัดสินใจเรียนดาราศาสตร์ต่อในระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย Georgetown ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก ที่นั่นเธอได้พบ George Gamow นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ผู้มีส่วนในการเสนอทฤษฎี Big Bang ของเอกภพ และ Gamow ได้แนะนำให้เธอศึกษาการกระจายตัวของกาแล็กซีในเอกภพว่า มีรูปแบบอย่างไรหรือเป็นแบบสะเปะสะปะ ขณะนั้นเธอมีลูก 2 คนแล้ว จึงต้องขอร้องบิดา มารดาของเธอให้มาช่วยดูแลลูกยามที่เธอไปเรียน เธอขอให้สามีขับรถเพื่อไปส่งเธอเข้าฟังการบรรยายทันเวลา จนเธอสำเร็จปริญญาเอกเมื่ออายุ 26 ปี
จากนั้นก็ได้เริ่มอาชีพอาจารย์สอนที่ Montgomery County Community College ซึ่งงานนี้เป็นงานที่เธอขอรับเงินเดือนเพียง 2 ใน 3 เพราะเธอจะได้มีเวลาขับรถไปรับลูกๆ ที่โรงเรียนทัน อีก 2 ปีต่อมาก็ได้งานอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Georgetown
จุดหักเหในชีวิตของ Vera Rubin เกิดขึ้นในปี 1963 เมื่อเธอได้ทุนวิจัยไปฝึกงานกับ Margaret และ Geoffrey Burbridge ที่มหาวิทยาลัย California ที่ San Diego เป็นเวลา 1 ปี โดยใช้กล้องขนาด 82 นิ้วดูดาวที่ McDonald Observatory ที่ Texas เพื่อวัดความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของกาแล็กซีเป็นครั้งแรกในประวัติดาราศาสตร์
ครั้นเมื่อกลับจาก San Diego Vera Rubin ได้ไปติดต่อสมัครงานที่ Carnegie Institute ในตำแหน่งอาจารย์ที่ภาควิชา Terrestrial Magnetism ในการสัมภาษณ์แทนที่หัวหน้าภาควิชาจะถามคำถามวิชาการ เขากลับยื่นแผ่นฟิล์มภาพ spectrum ของดาวฤกษ์ แล้วบอกให้เธอวัดความเร็วของดาวเหล่านั้น ซึ่งเธอก็ทำได้ จึงได้เข้าทำงานร่วมกับ W. Kent Ford ผู้เป็นนักฟิสิกส์ที่เชี่ยวชาญการออกแบบ image tube spectrograph ที่สามารถถ่ายภาพดาวด้วยวิธีเก็บแสงได้ดีกว่า และเร็วกว่า spectrograph ธรรมดา ความสามารถของ Ford ในการออกแบบเครื่องมือ และความสามารถของ Rubin ในการวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้คนทั้งสองมีผลงานตีพิมพ์ร่วมกันมากมาย
ถึงปี 1965 Rubin วัย 37 ปี ได้เป็นสตรีคนแรกที่ได้รับอนุญาตให้ใช้กล้องดูดาวขนาด 200 นิ้ว (ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลกขณะนั้น) ที่ภูเขา Palomar ใน California โดยเธอได้เสนอโครงการวิจัยจะวัดความเร็วของดาวฤกษ์ที่อยู่ ณ ตำแหน่งต่างๆ ในกาแล็กซี Andromeda M31 ซึ่งเป็นกาแล็กซีที่อยู่ใกล้โลกที่สุด (2.2 ล้านปีแสง) และสุกใสที่สุด
เกียรติประวัติที่ได้เป็นสตรีคนแรกที่ทำงานที่หอดูดาวเป็นเรื่องไม่ธรรมดาสำหรับคนทั่วไป เพราะหอดูดาว Palomar มีแต่ผู้ชาย จึงทำให้สถานที่เสมือนเป็น “วัด” แม้แต่ห้องน้ำก็มีป้ายปักไว้หน้าห้องว่า “MEN” จน Vera Rubin ต้องหาห้องน้ำเล็กๆ ใช้ แต่เธอก็ไม่ได้ระบุว่าสำหรับ “WOMEN” ขณะทำงานที่นั่น เธอเป็นคนควบคุมทิศของกล้อง ระยะเวลาที่ส่อง อีกทั้งต้องระบุด้วยว่าเธอต้องการใช้อุปกรณ์ใดบ้างในการบันทึกภาพที่ศึกษา ฯลฯ
ในการวิจัยเรื่องนี้ ความรู้วิทยาศาสตร์พื้นฐานที่นักดาราศาสตร์ทั่วไปต้องใช้ในการอธิบายคือ ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของ Newton ซึ่งแถลงว่า สสารทุกชนิดดึงดูดกันด้วยแรง ซึ่งแปรผกผันกับระยะห่างระหว่างมวลยกกำลังสอง และแปรโดยตรงกับผลคูณระหว่างมวลทั้งสองนั้น ในการใช้สูตรนี้ในระบบที่มีดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์จะได้สูตร GM = V2r เมื่อ G คือ ค่าคงตัวโน้มถ่วงสากล M คือ มวลของดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์มีความเร็ว = V และ r คือ ระยะห่างระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์
เพราะ M ในกรณีของดวงอาทิตย์มีค่าคงตัว และ G เป็นค่าโน้มถ่วงสากล ดังนั้นจากสูตรเราจะเห็นได้ว่าเมื่อ r เพิ่ม V จะลด และในทำนองตรงกันข้าม ถ้า r ลด V ก็จะเพิ่ม ทฤษฎีนี้จึงสามารถอธิบายได้ดีว่า เหตุใดดาวพุธที่โคจรอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์จึงมีความเร็วสูง ในขณะที่ดาวเคราะห์แคระพลูโตซึ่งอยู่ไกลมาก จึงมีความเร็วต่ำ
Vera Rubin อธิบายการค้นพบของเธอ
ในกาแล็กซีซึ่งประกอบด้วยดาวฤกษ์นับแสนล้านดวงโคจรรอบจุดศูนย์กลางของกาแล็กซี ในทำนองเดียวกับในระบบสุริยะที่ดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ ความคาดหวังของนักดาราศาสตร์ทุกคนทั้งโลกจึงมีว่า ดาวฤกษ์ที่อยู่บริเวณขอบของกาแล็กซีจะมีความเร็วน้อย ส่วนดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางของกาแล็กซีจะมีความเร็วมาก
ดังนั้นเมื่อ Vera Rubin พบว่า ดาวฤกษ์ในบริเวณกลางๆ ของกาแล็กซี ล้วนมีความเร็วเท่าๆ กับดาวฤกษ์ที่อยู่บริเวณขอบๆ
นี่จึงเป็นความตื่นเต้นที่นำมาซึ่งการปฏิรูปความรู้ เพราะนั่นหมายความว่า กฎแรงโน้มถ่วงของ Newton ไม่สมบูรณ์ (ผิด) หรือไม่ก็เอกภพยังมีสสารอีกในปริมาณมากที่ตาเปล่ามองไม่เห็น
ในความเป็นจริง Jan Oort นักดาราศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้เคยพบว่า แสงจากกาแล็กซี NGC 3115 ไม่สมนัยกับมวลที่มีในกาแล็กซีนั้น แต่ Oort มิได้พูดถึงสสารมืด (dark matter) อย่างชัดแจ้ง
ลุถึงปี 1933 เมื่อ Fritz Zwicky และ Sinclair Smith ศึกษากระจุกของกาแล็กซี และพบว่า บางกาแล็กซีในกระจกมีความเร็วสูงจนไม่น่าจะอยู่เป็นกระจุกกับกาแล็กซีอื่นได้ คือน่าจะกระเด็นหลุดออกมา เว้นแต่ว่าในกาแล็กซีนั้นจะมีมวลลึกลับที่ไม่มีใครเห็นมาก่อนดึงดูดไว้ ข้อเสนอของ Zwicky และ Smith ไม่ได้รับความสนใจ เพราะไม่มีใครเคยเห็น missing mass ที่ว่านี้เลย
ตัว Vera Rubin เองมีความศรัทธาในความคิดที่ว่า กฎของ Newton ไม่ถูกต้องสมบูรณ์ และสมควรได้รับการแก้ไข แต่นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังยืนกรานในความถูกต้องของกฎแรงโน้มถ่วง ดังนั้นจึงคิดว่า กาแล็กซี Andromeda จะต้องมีสสารมืดแฝงตัวอยู่ภายใน โดยอาจประกอบด้วยอนุภาคชนิดใหม่ที่นักฟิสิกส์ยังไม่รู้จักก็เป็นได้ ณ วันนี้ปัญหานี้จึงเป็นประเด็นวิจัยร้อนที่มีความสำคัญเทียบเท่าการค้นหาอนุภาคพระเจ้า (Higgs particle) เลยทีเดียว การศึกษาในเวลาต่อมา แสดงให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่ Andromeda เท่านั้นที่มีสสารมืด ในกาแล็กซีอื่นๆ ในเอกภพก็มีสสารมืดเช่นกัน
ดังนั้น Vera Rubin จึงคิดว่า ผลงานที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอคือ การพิสูจน์ได้ว่า เอกภพมีสสารมืด
ตลอดชีวิต Rubin มีผลงานวิจัยตีพิมพ์กว่า 200 เรื่อง
ในปี 1981 เธอเป็นนักดาราศาสตร์สตรีคนที่สอง (หลัง Margaret Burbridge) ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ National Academy of Sciences ลุถึงปี 1993 ประธานาธิบดี Bill Clinton ได้มอบเหรียญ National Medal of Science ซึ่งมีศักดิ์ศรีสูงสุดให้แก่เธอ
ในปี 1996 เธอได้รับเหรียญทองจาก Royal Astronomical Society จึงนับเป็นคนที่ 2 ต่อจาก Caroline Herschel (ผู้ซึ่งเป็นน้องสาวของ William Herschel ผู้พบดาวยูเรนัส) ที่เคยได้รับในปี 1828
เธอได้รับปริญญา Doctor of Science จากหลายมหาวิทยาลัยรวมทั้ง Harvard และ Yale รวมถึงได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ Pontifical Academy of Sciences แห่ง Vatican ด้วย
เธอแต่งหนังสือชื่อ Bright Galaxies: Dark Matter ซึ่งจัดพิมพ์โดย American Institute of Physics Press ในปี 1996
นอกจากนี้เธอยังมีดาวเคราะห์น้อย 5276 ชื่อ Rubin ด้วย
สำหรับคำแนะนำของเธอต่อนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังๆ คือ “จงทำในสิ่งที่ชอบ”
ณ วันนี้นักดาราศาสตร์ได้ตรวจพบว่ามวล 96% ของเอกภพ เป็นสสารและพลังงานมืดที่กล้องโทรทรรศน์ไม่เห็น และองค์ความรู้นี้มาจากสตรีชื่อ Vera Rubin ผู้มีลูก 4 คนครับ
ที่มา : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000134084
____________________
เครดิต : สุทัศน์ ยกส้าน
เกี่ยวกับผู้เขียน
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน - ภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสถาน และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์
ประวัติการศึกษา - ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
________________________________
อ้างอิง :
________________________________